
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 71
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 71
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 71
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 21 มิถุนายน 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราวถึงเราหยุดไม่ได้เด็ดขาด ละไม่ได้เด็ดขาด ก็ให้รู้จักการเจริญสติ หรือว่าสร้างความรู้ตัว อันนี้หลวงพ่อก็เพียงแค่บอกแค่กล่าวแค่ชี้แนะวิธีการแนวทาง
ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ ความรู้ตัวของเราได้สร้างขึ้นมาแล้วหรือยัง ใจที่ปกติเป็นอย่างไร สติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร ความรู้ตัวพลั้งเผลอ เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ เพียงแค่ฝึกตรงนี้ให้เกิดความเคยชินทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่ายจนกระทั่งถึงเวลานี้ ทุกเรื่องในชีวิตของเรา เราต้องศึกษาเราต้องทำความเข้าใจ การหายใจเข้าหายใจออก หายใจเป็นธรรมชาติเป็นลักษณะอย่างนี้ ความรู้ตัวที่ต่อเนื่องที่เรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เป็นลักษณะอย่างนี้
การเกิดของใจนั้นมีกันทุกคน เพราะว่าใจนี้เกิดมานานหลงมานาน เขาหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดแล้วก็หลงมาเกิดมาสร้างภพมนุษย์ หรือว่าอัตภาพร่างกายของเรานี่แหละซึ่งเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ แล้วก็หลงมายึดติดในขันธ์ห้าตรงนี้ แล้วก็เกิดต่อ เกิดทางด้านจิตวิญญาณก็ความคิดของเรานั่นแหละ อาการของขันธ์ห้า ความคิดของเรานั่นแหละ ส่วนนามธรรม เกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลาเขาหลงเขาถึงเกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด
ท่านถึงให้เจริญสติ ก็เพื่อที่จะให้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เข้มแข็ง ก็เพื่อที่จะเอาไปอบรมใจของเรา จนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่าแยกรูปแยกนาม ถ้ายังแยกแยะไม่ได้ เพียงแค่ก็การเจริญสติมันก็ยากนะ ถ้าไม่มีความเพียรกันจริงๆ ต้องเป็นบุคคลผู้มีความเพียรเป็นเลิศหมั่นขัดเกลากิเลสออกจากใจของตัวเรา ความอยากแม้แต่นิดเดียว ความเกิดนั่นแหละแม้แต่นิดเดียวเราก็ไม่ให้เกิด ถ้าจะเกิดก็เป็นเรื่องของปัญญาเข้าไปเกิดเข้าไปทำหน้าที่แทน ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันจะได้ปั๊บ
ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย กายวิเวกเป็นอย่างนี้ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกจากการเกิดใจวิเวกจากกิเลส ใจไม่มีมลทินต่างๆ เขาสะอาดเขาบริสุทธิ์อย่างนี้ เราต้องพยายามนำปฏิบัติให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา มีสติปัญญารู้ลักษณะของใจของเรา ใจของคนเรานั้นเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขาทั้งรู้ทั้งหลงทั้งเกิด เราต้องเจริญสติเข้าไปเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล จนใจยอมรับความเป็นจริงได้ แก้ไขใจของตัวเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่แก้ไขใจเรา ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้เลยนอกจากตัวของเรา
เพียงแค่การเจริญสติก็พยายามทำให้ได้ ทำให้ต่อเนื่อง จะลุก จะก้าว จะเดิน เวลาเราลุกขึ้นมาเราก็สร้างความรู้ตัวอยู่ที่ก้าวแรกนั่นแหละ ความรู้สึกรับรู้อยู่ปัจจุบันหรือว่าเราจะอยู่กับลมหายใจ ถ้าเรามีสติเราก็ดู รู้ใจ รู้การเกิดการดับ รู้การละกิเลส สติปัญญาของเราจะอยู่ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น ถ้ากำลังสติของเราแข็งกล้าเอาไปใช้ประโยชน์ได้ แต่เวลานี้กำลังสติมีไม่เพียงพอ หรือแทบจะไม่มี เพราะว่าไม่เคยทำหรืออาจจะทำบ้างเป็นบางครั้งบางคราว
ส่วนการขัดเกลากิเลสนั้นมีกันทุกคน มีมากมีน้อย ตั้งแต่เกิดโน่นแหละ ตั้งแต่เกิดจากเด็กก็เป็นเด็กเล็ก เด็กโต เด็กใหญ่ ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน อันนี้เป็นการพัฒนาทางด้านรูปธรรม ส่วนทางด้านจิต หรือว่าวิญญาณซึ่งเป็นนามธรรม เขาก็เกิดๆ ดับๆ ไปตามความทะเยอทะยานอยาก ไปตามความหลงอยู่ นอกจากบุคคลที่เจริญสติเข้าไปอบรมใจ ชี้เหตุชี้ผลอบรมใจจนใจอยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเราได้นั่นแหละ
การพูดง่ายอยู่ การตามดูเราต้องรู้จริงๆ ใจที่คลายจากขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างนี้ การตามดูรู้ขันธ์ห้า อนิจจังทุกขังอนัตตา ที่ว่าเป็นกองเป็นขันธ์เป็นอย่างไร ที่นี้เรามาละกิเลสหยาบกิเลสละเอียด การขึ้นสู่ใจที่สะอาดบริสุทธิ์เป็นอย่างไร มีหมดนั่นแหละ ยิ่งเจริญสติไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ยิ่งทำความเข้าใจแล้วค่อยละ ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันได้ปั๊บ
กายวิเวก การเจริญสติเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ กลางคืนโล่งๆ โปร่งๆ เป็นอย่างนี้ ใจของเราเกิดความกลัว เกิดความอยาก เกิดความหิว กายทวารของเราทำหน้าที่อย่างไร ตาทำหน้าที่ดู เราก็ห้ามไม่ได้ หูทำหน้าที่ฟัง เราก็ห้ามไม่ได้ เพียงแค่เราจำแนกแจกแจง แยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากทวารทั้งหกออกจากใจ ทวารทั้งหกก็เป็นทางผ่าน
ถ้าเราไม่ดูเรา แก้ไขเรา ทุกเรื่องๆ จะเล่า อย่างไรมันก็เล่าไม่จบหรอก นอกจากบุคคลที่มาจบที่ตัวของเรา แก้ไขที่ตัวของเรา การพูด การได้ยินได้ฟังก็เป็นเพียงการสื่อความหมายเท่านั้น ถ้าพวกท่านไปทำก็ไม่เข้าใจ อย่าไปโทษคนโน้นโทษคนนี้ ไปอยู่ที่โน่นแล้วไม่รู้เรื่อง ไปอยู่ที่นี่ไม่รู้เรื่องก็เพราะเราไม่รู้เรื่องก็เลยไม่รู้เรื่อง อย่าไปโทษคนอื่นจงโทษตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรากิเลสก็ของเรา เราจะให้ใครคนไหนเขาจะมาละให้นอกจากตัวของเรา ไม่มีใครที่จะทำให้กันได้หรอกนอกจากตัวของเรา เราอาจจะอาศัยกันได้อยู่ในระดับของสมมติ ในระดับของปัจจัยความอนุเคราะห์สมมติต่างๆ แต่ในหลักธรรมแล้วทุกอย่างต้องพลัดพรากจากกันหมด ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตายเพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ของทุกคน คนเราเกิดมาก็มีความเกิดเท่าไหร่ก็ตายเท่านั้นแหละ ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว ถ้าถึงเวลา ถ้าถึงไม่ถึงเวลาจะฉุดจะรั้ง อย่างไรก็ไปไม่ได้ เพราะว่าทุกคนเกิดมาด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม
ทีนี้เราก็ต้องพยายามรู้กรรมภายในกายของเราคือขันธ์ห้านี้แหละเขาเรียกว่า ‘ตัวกรรม’ กายส่วนรูปเขาเรียกว่า ‘ก้อนกรรม’ ไอ้ความคิดไอ้อารมณ์ต่างๆ ที่มาปรุงแต่งนี่เจ้ากรรม กรรมเก่ามาปรุงแต่งใจของเราหลงไปด้วยกัน เหมือนหลงอยู่ในก้อนกรรมตรงนี้ แล้วก็เกิดต่ออยู่อย่างนั้น ขณะยังมีกายอยู่ ถ้ากายเนื้อแตกดับก็กรรมที่มาปรุงแต่งใจนั่นแหละจะเป็นตัวชักนำ ถ้ากรรมดีก็ไปทางกุศลกรรม อกุศลกรรมก็ไปสู่ทางลำบาก
ท่านก็บอกให้ละอกุศลกรรม เจริญกุศลกรรมเสีย สูงขึ้นไปวางหมดไม่ยึด สร้างประโยชน์ สร้างคุณงามความดีอยู่ตลอดเวลา แต่เราต้องรู้เรื่องชีวิตของเรา เราต้องรู้เรื่องการเกิดการดับของจิตวิญญาณของเราให้ได้เสียก่อน เราต้องแยกแยะให้ได้เสียก่อน เราจะละได้หรือละไม่ได้ก็ว่ากัน
บุคคลที่มีสติมีปัญญามีบุญมีกุศลฟังนิดเดียว มาสำรวจตัวเราเอง แต่ละวันใจของเราเป็นอย่างไรบ้าง ใจของเราเกิดกิเลส กิเลสเบากิเลสหยาบกิเลสละเอียด ใจของเราเกิดความทะเยอทะยานอยาก ใจของเราปรุงแต่งหรือความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ ใจเกิดกิเลสสักกี่เที่ยวเราก็จะได้สำรวจตรวจตราดูรู้อยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่ตรวจตราอยู่ไม่ต้องกลัวไม่เข้าใจ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้ธรรม เพียงแค่การกะประมาณในเรื่องความอยากความหิวเราก็พยายามดูให้ชัดเจน ยิ่งฝึกใหม่ๆ นี่ ความอยากความหิวนี่จะชัดเจน กายหิวใจปรุงแต่งความอยาก อยากโน่นอยากนี่สารพัดอยาก ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่มันก็ยิ่งเขาก็โหมกำลังเข้ามาตามทางกิเลส
ถ้าเราอยากจะหาทางดับทุกข์จริงๆ เราก็ต้องแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง ไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวหาที่โน่นหาที่นี่ หาที่โน่นหาที่นี่พอเรารู้จักวิธีการแนวทาง จุดมุ่งหมายของการปฏิบัติก็เพื่อที่จะคลายความหลง ละกิเลส ทำใจให้บริสุทธิ์ จะปฏิบัติคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหนจุดหมายก็คือการละกิเลส การคลายความหลง ไม่จำเป็นต้องไปป่าวโฆษณา เรารู้ด้วยตนเอง แก้ไขด้วยตนเอง แล้วก็ประกาศด้วยตนเองว่าใจของเราอันนี้เป็นอย่างไร ไปอย่างไรมาอย่างไร จิตใจของเรามีความสุขอยู่ในอารยธรรม อยู่ในวิหารธรรมคือความว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากขันธ์ห้า ว่างด้วยปัญญา ยืนเดินนั่งนอนก็ให้เป็นเพียงอิริยาบถ อยู่ในอิริยาบถไหนใจของเราก็มีความสุข ใจของเราอยู่ในวิหารธรรม ใจของเราอยู่ในความบริสุทธิ์
แต่เวลานี้กำลังสติของเรามีก็มีนิดๆ หน่อยๆ แต่ละวันๆ การพูด การคุย การจับกลุ่มเรื่องโน้นเรื่องนี้แทนที่จะเป็นเรื่องของตัวเรา เอาการงานของเราให้ดี ทำหน้าที่ของเราให้ดี เท่านี้ก็มีความสุข อยู่หลายคนหลายท่านอยู่รวมกันยิ่งมีความเมตตาสมัครสมานสามัคคี มีอะไรก็คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่เห็นแก่ความเกียจคร้าน ไม่เห็นแก่ความขี้เกียจ อันโน่นก็ไม่ทำอันนี้ก็ไม่ทำ หนักก็ไม่เอาเบาก็ไม่สู้ ไปอยู่ที่ไหนก็เลยมีตั้งแต่ความลำบาก ถ้าเราแก้ไขปัญหาให้ตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็น งั้นก็ตกอยู่ในความหลงตลอดเวลา
ล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 21 มิถุนายน 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราวถึงเราหยุดไม่ได้เด็ดขาด ละไม่ได้เด็ดขาด ก็ให้รู้จักการเจริญสติ หรือว่าสร้างความรู้ตัว อันนี้หลวงพ่อก็เพียงแค่บอกแค่กล่าวแค่ชี้แนะวิธีการแนวทาง
ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ ความรู้ตัวของเราได้สร้างขึ้นมาแล้วหรือยัง ใจที่ปกติเป็นอย่างไร สติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร ความรู้ตัวพลั้งเผลอ เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ เพียงแค่ฝึกตรงนี้ให้เกิดความเคยชินทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่ายจนกระทั่งถึงเวลานี้ ทุกเรื่องในชีวิตของเรา เราต้องศึกษาเราต้องทำความเข้าใจ การหายใจเข้าหายใจออก หายใจเป็นธรรมชาติเป็นลักษณะอย่างนี้ ความรู้ตัวที่ต่อเนื่องที่เรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ เป็นลักษณะอย่างนี้
การเกิดของใจนั้นมีกันทุกคน เพราะว่าใจนี้เกิดมานานหลงมานาน เขาหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดแล้วก็หลงมาเกิดมาสร้างภพมนุษย์ หรือว่าอัตภาพร่างกายของเรานี่แหละซึ่งเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ แล้วก็หลงมายึดติดในขันธ์ห้าตรงนี้ แล้วก็เกิดต่อ เกิดทางด้านจิตวิญญาณก็ความคิดของเรานั่นแหละ อาการของขันธ์ห้า ความคิดของเรานั่นแหละ ส่วนนามธรรม เกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลาเขาหลงเขาถึงเกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด
ท่านถึงให้เจริญสติ ก็เพื่อที่จะให้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เข้มแข็ง ก็เพื่อที่จะเอาไปอบรมใจของเรา จนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่าแยกรูปแยกนาม ถ้ายังแยกแยะไม่ได้ เพียงแค่ก็การเจริญสติมันก็ยากนะ ถ้าไม่มีความเพียรกันจริงๆ ต้องเป็นบุคคลผู้มีความเพียรเป็นเลิศหมั่นขัดเกลากิเลสออกจากใจของตัวเรา ความอยากแม้แต่นิดเดียว ความเกิดนั่นแหละแม้แต่นิดเดียวเราก็ไม่ให้เกิด ถ้าจะเกิดก็เป็นเรื่องของปัญญาเข้าไปเกิดเข้าไปทำหน้าที่แทน ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันจะได้ปั๊บ
ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย กายวิเวกเป็นอย่างนี้ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกจากการเกิดใจวิเวกจากกิเลส ใจไม่มีมลทินต่างๆ เขาสะอาดเขาบริสุทธิ์อย่างนี้ เราต้องพยายามนำปฏิบัติให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา มีสติปัญญารู้ลักษณะของใจของเรา ใจของคนเรานั้นเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขาทั้งรู้ทั้งหลงทั้งเกิด เราต้องเจริญสติเข้าไปเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล จนใจยอมรับความเป็นจริงได้ แก้ไขใจของตัวเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่แก้ไขใจเรา ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้เลยนอกจากตัวของเรา
เพียงแค่การเจริญสติก็พยายามทำให้ได้ ทำให้ต่อเนื่อง จะลุก จะก้าว จะเดิน เวลาเราลุกขึ้นมาเราก็สร้างความรู้ตัวอยู่ที่ก้าวแรกนั่นแหละ ความรู้สึกรับรู้อยู่ปัจจุบันหรือว่าเราจะอยู่กับลมหายใจ ถ้าเรามีสติเราก็ดู รู้ใจ รู้การเกิดการดับ รู้การละกิเลส สติปัญญาของเราจะอยู่ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น ถ้ากำลังสติของเราแข็งกล้าเอาไปใช้ประโยชน์ได้ แต่เวลานี้กำลังสติมีไม่เพียงพอ หรือแทบจะไม่มี เพราะว่าไม่เคยทำหรืออาจจะทำบ้างเป็นบางครั้งบางคราว
ส่วนการขัดเกลากิเลสนั้นมีกันทุกคน มีมากมีน้อย ตั้งแต่เกิดโน่นแหละ ตั้งแต่เกิดจากเด็กก็เป็นเด็กเล็ก เด็กโต เด็กใหญ่ ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน อันนี้เป็นการพัฒนาทางด้านรูปธรรม ส่วนทางด้านจิต หรือว่าวิญญาณซึ่งเป็นนามธรรม เขาก็เกิดๆ ดับๆ ไปตามความทะเยอทะยานอยาก ไปตามความหลงอยู่ นอกจากบุคคลที่เจริญสติเข้าไปอบรมใจ ชี้เหตุชี้ผลอบรมใจจนใจอยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเราได้นั่นแหละ
การพูดง่ายอยู่ การตามดูเราต้องรู้จริงๆ ใจที่คลายจากขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างนี้ การตามดูรู้ขันธ์ห้า อนิจจังทุกขังอนัตตา ที่ว่าเป็นกองเป็นขันธ์เป็นอย่างไร ที่นี้เรามาละกิเลสหยาบกิเลสละเอียด การขึ้นสู่ใจที่สะอาดบริสุทธิ์เป็นอย่างไร มีหมดนั่นแหละ ยิ่งเจริญสติไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ยิ่งทำความเข้าใจแล้วค่อยละ ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันได้ปั๊บ
กายวิเวก การเจริญสติเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ กลางคืนโล่งๆ โปร่งๆ เป็นอย่างนี้ ใจของเราเกิดความกลัว เกิดความอยาก เกิดความหิว กายทวารของเราทำหน้าที่อย่างไร ตาทำหน้าที่ดู เราก็ห้ามไม่ได้ หูทำหน้าที่ฟัง เราก็ห้ามไม่ได้ เพียงแค่เราจำแนกแจกแจง แยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากทวารทั้งหกออกจากใจ ทวารทั้งหกก็เป็นทางผ่าน
ถ้าเราไม่ดูเรา แก้ไขเรา ทุกเรื่องๆ จะเล่า อย่างไรมันก็เล่าไม่จบหรอก นอกจากบุคคลที่มาจบที่ตัวของเรา แก้ไขที่ตัวของเรา การพูด การได้ยินได้ฟังก็เป็นเพียงการสื่อความหมายเท่านั้น ถ้าพวกท่านไปทำก็ไม่เข้าใจ อย่าไปโทษคนโน้นโทษคนนี้ ไปอยู่ที่โน่นแล้วไม่รู้เรื่อง ไปอยู่ที่นี่ไม่รู้เรื่องก็เพราะเราไม่รู้เรื่องก็เลยไม่รู้เรื่อง อย่าไปโทษคนอื่นจงโทษตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรากิเลสก็ของเรา เราจะให้ใครคนไหนเขาจะมาละให้นอกจากตัวของเรา ไม่มีใครที่จะทำให้กันได้หรอกนอกจากตัวของเรา เราอาจจะอาศัยกันได้อยู่ในระดับของสมมติ ในระดับของปัจจัยความอนุเคราะห์สมมติต่างๆ แต่ในหลักธรรมแล้วทุกอย่างต้องพลัดพรากจากกันหมด ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตายเพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ของทุกคน คนเราเกิดมาก็มีความเกิดเท่าไหร่ก็ตายเท่านั้นแหละ ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว ถ้าถึงเวลา ถ้าถึงไม่ถึงเวลาจะฉุดจะรั้ง อย่างไรก็ไปไม่ได้ เพราะว่าทุกคนเกิดมาด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม
ทีนี้เราก็ต้องพยายามรู้กรรมภายในกายของเราคือขันธ์ห้านี้แหละเขาเรียกว่า ‘ตัวกรรม’ กายส่วนรูปเขาเรียกว่า ‘ก้อนกรรม’ ไอ้ความคิดไอ้อารมณ์ต่างๆ ที่มาปรุงแต่งนี่เจ้ากรรม กรรมเก่ามาปรุงแต่งใจของเราหลงไปด้วยกัน เหมือนหลงอยู่ในก้อนกรรมตรงนี้ แล้วก็เกิดต่ออยู่อย่างนั้น ขณะยังมีกายอยู่ ถ้ากายเนื้อแตกดับก็กรรมที่มาปรุงแต่งใจนั่นแหละจะเป็นตัวชักนำ ถ้ากรรมดีก็ไปทางกุศลกรรม อกุศลกรรมก็ไปสู่ทางลำบาก
ท่านก็บอกให้ละอกุศลกรรม เจริญกุศลกรรมเสีย สูงขึ้นไปวางหมดไม่ยึด สร้างประโยชน์ สร้างคุณงามความดีอยู่ตลอดเวลา แต่เราต้องรู้เรื่องชีวิตของเรา เราต้องรู้เรื่องการเกิดการดับของจิตวิญญาณของเราให้ได้เสียก่อน เราต้องแยกแยะให้ได้เสียก่อน เราจะละได้หรือละไม่ได้ก็ว่ากัน
บุคคลที่มีสติมีปัญญามีบุญมีกุศลฟังนิดเดียว มาสำรวจตัวเราเอง แต่ละวันใจของเราเป็นอย่างไรบ้าง ใจของเราเกิดกิเลส กิเลสเบากิเลสหยาบกิเลสละเอียด ใจของเราเกิดความทะเยอทะยานอยาก ใจของเราปรุงแต่งหรือความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ ใจเกิดกิเลสสักกี่เที่ยวเราก็จะได้สำรวจตรวจตราดูรู้อยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่ตรวจตราอยู่ไม่ต้องกลัวไม่เข้าใจ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้ธรรม เพียงแค่การกะประมาณในเรื่องความอยากความหิวเราก็พยายามดูให้ชัดเจน ยิ่งฝึกใหม่ๆ นี่ ความอยากความหิวนี่จะชัดเจน กายหิวใจปรุงแต่งความอยาก อยากโน่นอยากนี่สารพัดอยาก ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่มันก็ยิ่งเขาก็โหมกำลังเข้ามาตามทางกิเลส
ถ้าเราอยากจะหาทางดับทุกข์จริงๆ เราก็ต้องแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง ไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวหาที่โน่นหาที่นี่ หาที่โน่นหาที่นี่พอเรารู้จักวิธีการแนวทาง จุดมุ่งหมายของการปฏิบัติก็เพื่อที่จะคลายความหลง ละกิเลส ทำใจให้บริสุทธิ์ จะปฏิบัติคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหนจุดหมายก็คือการละกิเลส การคลายความหลง ไม่จำเป็นต้องไปป่าวโฆษณา เรารู้ด้วยตนเอง แก้ไขด้วยตนเอง แล้วก็ประกาศด้วยตนเองว่าใจของเราอันนี้เป็นอย่างไร ไปอย่างไรมาอย่างไร จิตใจของเรามีความสุขอยู่ในอารยธรรม อยู่ในวิหารธรรมคือความว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากขันธ์ห้า ว่างด้วยปัญญา ยืนเดินนั่งนอนก็ให้เป็นเพียงอิริยาบถ อยู่ในอิริยาบถไหนใจของเราก็มีความสุข ใจของเราอยู่ในวิหารธรรม ใจของเราอยู่ในความบริสุทธิ์
แต่เวลานี้กำลังสติของเรามีก็มีนิดๆ หน่อยๆ แต่ละวันๆ การพูด การคุย การจับกลุ่มเรื่องโน้นเรื่องนี้แทนที่จะเป็นเรื่องของตัวเรา เอาการงานของเราให้ดี ทำหน้าที่ของเราให้ดี เท่านี้ก็มีความสุข อยู่หลายคนหลายท่านอยู่รวมกันยิ่งมีความเมตตาสมัครสมานสามัคคี มีอะไรก็คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่เห็นแก่ความเกียจคร้าน ไม่เห็นแก่ความขี้เกียจ อันโน่นก็ไม่ทำอันนี้ก็ไม่ทำ หนักก็ไม่เอาเบาก็ไม่สู้ ไปอยู่ที่ไหนก็เลยมีตั้งแต่ความลำบาก ถ้าเราแก้ไขปัญหาให้ตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็น งั้นก็ตกอยู่ในความหลงตลอดเวลา
ล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา