
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 45
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 45
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 45
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 27 เมษายน 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบาย ไม่ต้องประนมมือฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย เราวางภาระหน้าที่ทางสมมติทางบ้านทางครอบครัว เข้ามาถึงวัด วัดภายนอกนอกก็ที่เรานั่งอยู่ตรงนี้ ที่นี่เราก็มา เข้าวัดภายในมาเจริญสติลงที่กายของเรา
หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจนะ พยายามปล่อยลมหายใจให้เป็นธรรมชาติที่สุด พยายามหัดวิเคราะห์หัดสังเกตหัดทำความเข้าใจ ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ การหายใจเข้าหายใจออกมีความรู้รับรู้เวลาลมกระทบปลายจมูกของเราให้เป็นปกติ ให้เกิดความเคยชิน ความรู้ตัวที่ต่อเนื่องทั้งหายใจเข้าหายใจออกเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม
ถ้าความรู้สึกตรงนี้พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ มีความพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชินให้ขยันหมั่นเพียร บางครั้งบางทีเหตุการณ์ศึกษาตรงนี้ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัดบ้างหงุดหงิดบ้างสารพัดอย่าง บางทีก็เจ็บโน้นบ้าง เจ็บคอบ้าง กลืนน้ำไหลบ้าง บางทีก็อยาก ใจมันก็อยากไปโน่นไปนี่สารพัดอย่างที่กิเลสมันจะมา วิบากหรือว่าตัวมารมันจะมาล้มเลิกตรงนี้ เราก็พยายามเริ่มใหม่
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าหายใจออกพยายามศึกษาให้เกิดความเคยชิน ทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ทุกคนก็มีบุญทุกคนก็มีวาสนาที่ได้เกิดมาอยู่ในภพมนุษย์ แล้วก็มีโอกาสได้ศึกษาธรรมก็คือศึกษาใจของเรานั่นแหละ ได้เจริญสติตามแนวทางของพระพุทธองค์
การเจริญสติเป็นอย่างนี้ คือการควบคุมใจควบคุมอารมณ์ การวิเคราะห์จนการรู้ตัวของเรา รู้เท่ารู้ทัน เห็นเหตุเห็นผลเห็นการแยกการคลายของใจ อาการของใจ ซึ่งเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ คือความเห็นถูกหรือว่าแยกรูปแยกนาม เห็นตามทำความเข้าใจ เราก็จะเข้าใจคำว่า ‘อัตตา-อนัตตา’ ซึ่งมีอยู่ในกายของเรา ยิ่งเจริญสติเข้มแข็งต่อเนื่องได้เท่าไหร่ เรายิ่งจะเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรเราก็พยายามทำความเข้าใจ ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน การสร้างตบะการสร้างบารมี
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาความอดทนอดกลั้นของเรามีหรือไม่ ใจของเราเป็นกุศลหรืออกุศล ใจของเรามีความกังวลหรือว่ามีความฟุ้งซ่าน ใจของเรามีอ่อนน้อม หรือว่ามีทิฏฐิมานะหรือมีความแข็งกระด้าง เราก็พยายามแก้ไข แก้ไขปรับปรุงทั้งใจทั้งกายและก็ทั้งวาจา อันนี้ส่วนรูปอันนี้ส่วนนาม ที่ท่านว่าวจีกรรม มโนกรรม กายกรรม เพียงแค่วาจาเราก็รู้จักควบคุม รู้จักพิจารณาว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด อะไรเป็นกุศล หรือว่าอกุศล อะไรเป็นกิเลส กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดลึกลงไปในตัวใจของเรา
ขณะนี้ใจปกติ หรือว่าใจเกิดปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก หรือว่าใจคิด..คิดอคติ คิดเพ่งโทษมองใส่ร้ายคนโน้นใส่ร้ายคนนี้ อคติคนโน้นคนนี้ อันนั้นเป็นเรื่องของคนอื่น แต่ใจของเรามันเกิดอันนี้ตรงในเรื่องของเรา เราต้องมาแก้ไขใจเรามองใจของเรา มองใจของเราแก้ไขใจของเราเจริญสติอบรมใจของเราทุกเรื่องในชีวิตของเราตั้งแต่เกิดจนกระทั่งหมดลมหายใจนั่นแหละ
ความเกิดเกิดทางกายเนื้อก็เกิดมาแล้ว คือร่างกายของเราซึ่งมีขันธ์ห้า ธาตุสี่ ขันธ์ห้า มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง ก็คือตัวใจของเรานั่นแหละ แล้วก็มาหลงตรงนี้แล้วก็มายึด แล้วก็เป็นทาสกิเลสหยาบกิเลสละเอียด ความยินดีความยินร้ายความผลักไสความดึงเข้ามา ความไม่เป็นกลางสารพัดอย่างที่มีกิเลสห่อหุ้มเอาไว้อีกชั้น กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ล้วงลึกลงไปอีกความเกิดของใจห่อหุ้มตัวใจเอาไว้อีก ถ้าไม่ได้เจริญสติเข้าไปในศึกษาให้ละเอียด เห็นเหตุเห็นผลเราก็จะไม่เข้าใจในเรื่องพวกนี้ได้เลย เราก็คงจะได้แค่ทำบุญให้ทาน สร้างบารมีอยู่ระดับของสมมติ แต่ระดับวิมุตติแล้วใจที่ยังไม่ได้คลาย ใจยังหลงอยู่ ยังถูกสมมติเข้าครอบงำอยู่ เราก็ต้องพยายามหมั่นแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา เจริญสติอบรมใจของเราอยู่ตลอดเวลามีเรื่องเดียว ก็คือเรื่องแก้ไขใจของเรา เราก็ทำความเข้าใจสมมติ ในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว โลกธรรมแปด ปัจจัยที่อำนวยความสะดวกสบายให้สมมติ จนกว่าจะหมดลมหายใจ
อย่าไปปิดกั้นตัวเราว่าไม่มีโอกาส อย่าไปปิดกั้นตัวเราว่าไม่มีวาสนา ทุกคนมีบุญมีวาสนาหมดทำทีละเล็กทีละน้อยค่อยสร้างสะสมไปเรื่อยๆ ตราบใดที่เรายังแสวงหา แสวงหาสิ่งใด เราย่อมจะรู้สิ่งนั้น แสวงหาธรรม เราก็รู้ธรรม แสวงหาโลก เราก็ได้โลก โลกกับธรรมก็อยู่ด้วยกันแล้วต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องทั้งโลกทั้งธรรม เราก็จะมีความสุขแต่เวลานี้เราได้สร้างบุญบารมีมีอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่เต็มเปี่ยมเพียงแค่เรื่องการเจริญภาวนาเรื่องการเจริญสติตรงนี้ขาดกันมากเลยทีเดียว ก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องทำใจให้โล่งสมองให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกะอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกัน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันศึกษาทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 27 เมษายน 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบาย ไม่ต้องประนมมือฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย เราวางภาระหน้าที่ทางสมมติทางบ้านทางครอบครัว เข้ามาถึงวัด วัดภายนอกนอกก็ที่เรานั่งอยู่ตรงนี้ ที่นี่เราก็มา เข้าวัดภายในมาเจริญสติลงที่กายของเรา
หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว อย่าไปบังคับลมหายใจนะ พยายามปล่อยลมหายใจให้เป็นธรรมชาติที่สุด พยายามหัดวิเคราะห์หัดสังเกตหัดทำความเข้าใจ ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ การหายใจเข้าหายใจออกมีความรู้รับรู้เวลาลมกระทบปลายจมูกของเราให้เป็นปกติ ให้เกิดความเคยชิน ความรู้ตัวที่ต่อเนื่องทั้งหายใจเข้าหายใจออกเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม
ถ้าความรู้สึกตรงนี้พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ มีความพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชินให้ขยันหมั่นเพียร บางครั้งบางทีเหตุการณ์ศึกษาตรงนี้ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัดบ้างหงุดหงิดบ้างสารพัดอย่าง บางทีก็เจ็บโน้นบ้าง เจ็บคอบ้าง กลืนน้ำไหลบ้าง บางทีก็อยาก ใจมันก็อยากไปโน่นไปนี่สารพัดอย่างที่กิเลสมันจะมา วิบากหรือว่าตัวมารมันจะมาล้มเลิกตรงนี้ เราก็พยายามเริ่มใหม่
เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าหายใจออกพยายามศึกษาให้เกิดความเคยชิน ทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ทุกคนก็มีบุญทุกคนก็มีวาสนาที่ได้เกิดมาอยู่ในภพมนุษย์ แล้วก็มีโอกาสได้ศึกษาธรรมก็คือศึกษาใจของเรานั่นแหละ ได้เจริญสติตามแนวทางของพระพุทธองค์
การเจริญสติเป็นอย่างนี้ คือการควบคุมใจควบคุมอารมณ์ การวิเคราะห์จนการรู้ตัวของเรา รู้เท่ารู้ทัน เห็นเหตุเห็นผลเห็นการแยกการคลายของใจ อาการของใจ ซึ่งเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ คือความเห็นถูกหรือว่าแยกรูปแยกนาม เห็นตามทำความเข้าใจ เราก็จะเข้าใจคำว่า ‘อัตตา-อนัตตา’ ซึ่งมีอยู่ในกายของเรา ยิ่งเจริญสติเข้มแข็งต่อเนื่องได้เท่าไหร่ เรายิ่งจะเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรเราก็พยายามทำความเข้าใจ ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน การสร้างตบะการสร้างบารมี
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาความอดทนอดกลั้นของเรามีหรือไม่ ใจของเราเป็นกุศลหรืออกุศล ใจของเรามีความกังวลหรือว่ามีความฟุ้งซ่าน ใจของเรามีอ่อนน้อม หรือว่ามีทิฏฐิมานะหรือมีความแข็งกระด้าง เราก็พยายามแก้ไข แก้ไขปรับปรุงทั้งใจทั้งกายและก็ทั้งวาจา อันนี้ส่วนรูปอันนี้ส่วนนาม ที่ท่านว่าวจีกรรม มโนกรรม กายกรรม เพียงแค่วาจาเราก็รู้จักควบคุม รู้จักพิจารณาว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด อะไรเป็นกุศล หรือว่าอกุศล อะไรเป็นกิเลส กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดลึกลงไปในตัวใจของเรา
ขณะนี้ใจปกติ หรือว่าใจเกิดปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก หรือว่าใจคิด..คิดอคติ คิดเพ่งโทษมองใส่ร้ายคนโน้นใส่ร้ายคนนี้ อคติคนโน้นคนนี้ อันนั้นเป็นเรื่องของคนอื่น แต่ใจของเรามันเกิดอันนี้ตรงในเรื่องของเรา เราต้องมาแก้ไขใจเรามองใจของเรา มองใจของเราแก้ไขใจของเราเจริญสติอบรมใจของเราทุกเรื่องในชีวิตของเราตั้งแต่เกิดจนกระทั่งหมดลมหายใจนั่นแหละ
ความเกิดเกิดทางกายเนื้อก็เกิดมาแล้ว คือร่างกายของเราซึ่งมีขันธ์ห้า ธาตุสี่ ขันธ์ห้า มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง ก็คือตัวใจของเรานั่นแหละ แล้วก็มาหลงตรงนี้แล้วก็มายึด แล้วก็เป็นทาสกิเลสหยาบกิเลสละเอียด ความยินดีความยินร้ายความผลักไสความดึงเข้ามา ความไม่เป็นกลางสารพัดอย่างที่มีกิเลสห่อหุ้มเอาไว้อีกชั้น กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ล้วงลึกลงไปอีกความเกิดของใจห่อหุ้มตัวใจเอาไว้อีก ถ้าไม่ได้เจริญสติเข้าไปในศึกษาให้ละเอียด เห็นเหตุเห็นผลเราก็จะไม่เข้าใจในเรื่องพวกนี้ได้เลย เราก็คงจะได้แค่ทำบุญให้ทาน สร้างบารมีอยู่ระดับของสมมติ แต่ระดับวิมุตติแล้วใจที่ยังไม่ได้คลาย ใจยังหลงอยู่ ยังถูกสมมติเข้าครอบงำอยู่ เราก็ต้องพยายามหมั่นแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา เจริญสติอบรมใจของเราอยู่ตลอดเวลามีเรื่องเดียว ก็คือเรื่องแก้ไขใจของเรา เราก็ทำความเข้าใจสมมติ ในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว โลกธรรมแปด ปัจจัยที่อำนวยความสะดวกสบายให้สมมติ จนกว่าจะหมดลมหายใจ
อย่าไปปิดกั้นตัวเราว่าไม่มีโอกาส อย่าไปปิดกั้นตัวเราว่าไม่มีวาสนา ทุกคนมีบุญมีวาสนาหมดทำทีละเล็กทีละน้อยค่อยสร้างสะสมไปเรื่อยๆ ตราบใดที่เรายังแสวงหา แสวงหาสิ่งใด เราย่อมจะรู้สิ่งนั้น แสวงหาธรรม เราก็รู้ธรรม แสวงหาโลก เราก็ได้โลก โลกกับธรรมก็อยู่ด้วยกันแล้วต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องทั้งโลกทั้งธรรม เราก็จะมีความสุขแต่เวลานี้เราได้สร้างบุญบารมีมีอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่เต็มเปี่ยมเพียงแค่เรื่องการเจริญภาวนาเรื่องการเจริญสติตรงนี้ขาดกันมากเลยทีเดียว ก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องทำใจให้โล่งสมองให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกะอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกัน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันศึกษาทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ