
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 31
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 31
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 31
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 24 มีนาคม 2562
มีความสุขกันทุกคน วันนี้ก็เป็นวันที่ 24 คือวันเลือกตั้งผู้แทนราษฎร ก็ขอเชิญพี่น้องของเราไปเลือกตั้งกัน ให้เลือกให้พิจารณาคนดีเข้าสู่สภา แต่หลักของความเป็นจริงก็ดีกันหมดทุกคน จะดีมากดีน้อย เราก็ต้องพิจารณากันอีกทีหนึ่ง คนไหนดีมากคนไหนดีน้อย คนไหนมีข้อเสียมากข้อเสียน้อย ต้องใช้ปัญญาพิจารณาแล้วค่อยกาเราก็ค่อยเลือก ถ้าบางคนบางทีเขาก็ไปจ่ายเงินจ่ายตังค์ก็มี เราก็รับเอาไว้ก็ได้ไม่รับก็ได้ไม่ให้เสียกำลังใจ ส่วนจะเลือกหรือจะกา เราก็ต้องใช้ปัญญา
ใช้ปัญญาค่อยพิจารณาค่อยเลือกเพราะว่าการได้เลือกผู้แทนราษฎรนี่ก็หลายปีนานหลายปีแล้วตั้งแต่ปี 48 ปี 49 วุ่นวายกันมาหลายปี 5 6 7 ปี ทะเลาะเบาะแว้งกันตีกัน แย่งชิงกัน เผาบ้านเผาเมืองก็เยอะ เราก็ต้องใช้ปัญญา อย่าเห็นแก่เงินทองเท่าไหร่ ถ้าเขาเอาเงินทองมาให้เขาก็ต้องมีโอกาสที่จะไปกอบโกยมากเป็นทวีคูณ เราก็ต้องใช้ปัญญา ในภาพรวมมันก็มีดีมีไม่ดี มีดีมากดีน้อยเสียมากเสียน้อย มีทั้งเสียทั้งไม่เสีย ก็เลือกเอาส่วนที่ดีๆ หน่อย ก็จะได้ประโยชน์ขึ้นมาบ้าง ก็วันนี้ก็คงจะเป็นวันที่ชี้ชะตาของเมืองไทย ก็ไปเลือกกันทุกคน
วันนี้เราก็มีเจ้าภาพผู้ใจบุญจะได้มาไถ่ชีวิตโคกระบือ ชีวิตแต่ละชีวิตไม่อยากจะตกให้ถูกฆ่าก่อนวัยอันควร แต่ก็เป็นตามวิบากของกรรม สร้างกรรมมาอย่างไรก็ไปอย่างนั้น เขาก็ได้สร้างกรรมมาถึงได้เกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน การถูกฆ่าถูกตีถูกบังคับสารพัดอย่าง คนเราก็เหมือนกันก็ไม่อยากจะถูกบังคับไม่อยากจะถูกฆ่าแต่ก็มีสติปัญญาสูงกว่าสัตว์เดรัจฉานหน่อยหนึ่ง ก็รู้จักแก้ไขปรับปรุงตัวเรา แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา ดีไม่ดีนี่ไม่ต้องกลับมาเกิดให้เป็นทุกข์อีก ถ้าปฏิบัติเดินตามทางของพระพุทธองค์ ด้วยการเจริญสติด้วยการเจริญปัญญา ให้ทำความเข้าใจกับชีวิตของตัวเรา รู้จักสร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น ตั้งแต่ศรัทธาความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม แล้วก็ฝึกหัดปฏิบัติตามแนวของพระพุทธองค์
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องชีวิต สอนเรื่องการดำเนินชีวิต วิธีใดที่จะทำให้ชีวิตมีความสุข อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม ในกายของคนเรามีอะไรบ้าง ที่ท่านบอกว่าธาตุสี่ขันธ์ห้า ธาตุสี่ก็ร่างกายของเรา ที่ท่านบอกว่าเป็นดินน้ำลมไฟ มาประกอบกันเข้า มีวิญญาณเข้ามาครอบครองวิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไรถึงมาครอบครองตรงนี้ วิญญาณหรือว่าตัวใจที่ท่านว่าไม่มีตัวมีตนแต่ความรู้สึกนั้นมีอยู่ ท่านถึงให้เจริญสติลงที่กายแล้วก็อบรมใจของเราให้ได้ใช้ใจของเราให้เป็น แต่เวลานี้ใจของเราทั้งหลงทั้งเกิดทั้งยึด ถ้าเราไม่ได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เราก็จะไม่เข้าใจ
เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องตรงนี้ยังยากลำบากอยู่ ถ้าเราเจริญสติให้ต่อเนื่องได้เมื่อไหร่เราก็จะรู้ว่าส่วนที่ผ่านมานั้น เป็นแค่เพียงสติปัญญาของสมมติของโลกีย์ที่ดำเนินไปด้วยความหลง ถ้าเราเจริญสติให้ต่อเนื่องจนรู้จนเห็นจนแยกได้ทำความเข้าใจได้ เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ว่า ‘อัตตาเป็นลักษณะอย่างนี้’ ‘อนันตาเป็นลักษณะอย่างนี้’ ‘หลักของอริยสัจความจริงอันประเสริฐเป็นลักษณะอย่างนี้’ ‘อนิจจังทุกขังอนัตตาในกายของเราเป็นอย่างนี้’ ทุกเรื่องในชีวิตตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งนอนหลับ จนกระทั่งหมดลมหายใจ ไม่ใช่ว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งทุกเรื่องเลยในชีวิต
การดำเนินชีวิตอะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ การอยู่กับโลก ร่างกายคือก้อนโลก โลกภายนอกโลกภายใน โลกภายนอกก็คือตาเนื้อของเรามองเห็น โลกภายในคือร่างกายของเราจิตวิญญาณของเรา ท่านพยายามให้ศึกษาดูดีๆ เราก็จะเข้าใจเราก็จะเข้าถึง รู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วย อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง ส่วนบารมี บุญบารมีส่วนอื่นทุกคนก็พากันดำเนินมาปฏิบัติมาระดับของสมมติ บริหารกายบริหารใจ บริหารสมมติด้วยสติปัญญาของโลกีย์ให้อยู่ดีมีความสุข อยู่ในระดับหนึ่ง แต่ปัญญาโลกีย์ตรงนี้ยังเข้าไม่ถึงตัวใจ เราต้องใช้เจริญสติรู้กายรู้ใจ รู้กายรู้ใจ รู้ให้ต่อเนื่อง รู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ รู้เหตุรู้ผลเห็นเหตุเห็นผล ทำความเข้าใจว่าอะไรควรละอะไรควรเจริญ ถึงจะเข้าถึงได้ ไม่เข้าถึงวันนี้ก็ต้องเข้าถึงพรุ่งนี้ ไม่เข้าถึงพรุ่งนี้ก็เดือนนี้เดือนหน้าไม่เข้าถึงจริงๆ ก็ไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่
อย่าปิดกั้นตัวเราว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาส ทุกคนมีเวลาตราบใดที่มีลมหายใจ บางคนก็อาจจะมีมาก บางคนก็อาจจะมีน้อย บางคนบางท่านสมมติก็ไม่ได้ลำบาก บางคนบางท่านสมมติก็ลำบาก ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในวิญญาณ รอบรู้ในปัจจัยสี่ แล้วก็พยายามขยันหมั่นเพียรด้วยสติด้วยปัญญา ยังสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุข แล้วก็ส่งผลถึงวิมุตติ ทางด้านจิตใจก็จะได้ไม่ลำบาก
ใจของคนเรานี่หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ทำไมถึงพูดอย่างนี้ เพราะไม่หลงก็ไม่เกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เขาหลงมาเกิด มาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างร่างกายของเรา แล้วก็มายึดอยู่ในร่างกายก้อนนี้ เราก็ว่าร่างกายของเราตัวตนของเรา ก็เป็นร่างกายของเรานั่นแหละตัวตนของเรานั่นแหละในทางสมมติ แต่ในทางธรรมจริงๆ แล้ว เขามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความไม่เที่ยง ตั้งแต่เกิดมาจากเป็นเด็ก ก็พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ จากเด็กน้อยเป็นเด็กใหญ่เด็กโตเป็นผู้ใหญ่ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน มีการพัฒนามีความรับผิดชอบมาเรื่อยๆ จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้ทำการทำงาน มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ มีครอบครัว อันนี้เราก็ปฏิบัติให้ถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติแต่ใจยังเกิด
ความเกิดนั่นแหละคือความหลงอันละเอียด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ขณะอยู่ในกายใจก็ยังไปต่อ ไปต่อยังไม่พอ ก็ยังเป็นทาสของกิเลสอีก กิเลสก็มีกิเลสหลายอย่าง ก็มีกิเลสหยาบกิเลสละเอียดทั้งอยากทั้งไม่อยาก ทั้งดีทั้งไม่ดีก็เป็นกิเลสหมด ท่านถึงบอกพยายามทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง ละชั่วทำดี ทำใจให้บริสุทธิ์ อยู่ในความเป็นกลาง อยู่ในความว่างไม่ต้องเกิด ให้เกิดด้วยปัญญาทำหน้าที่แทน ละอกุศลเจริญกุศลแต่ไม่ยึด แต่เราต้องรู้ต้องแยกแยะภายใน เดินปัญญาแยกรูปแยกนามให้ได้เสียก่อน เราถึงจะเข้าใจในความหมายภาษาธรรมภาษาโลก ถ้าเราแยกไม่ได้คลายภายในไม่ได้ มันก็เป็นแค่อยู่ในระดับของการสร้างบุญสร้างกุศล สร้างบารมีอยู่ในระดับของสมมติ ก็เป็นสิ่งที่ดีอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ยังดับทุกข์ถึงจุดหมายปลายทางยังไม่ได้เราก็ต้องพยายาม
พยายามหมั่นน้อมหมั่นวิเคราะห์พิจารณาน้อมดูกายดูใจของเราบ้าง อย่าคือการไปนึกไปคิดเอา อย่างนี้ไม่เจอ เราต้องเจริญสติน้อมเข้าไป สติไม่มีก็ต้องสร้างให้มีสร้างให้มีให้ต่อเนื่อง เอาไปใช้การใช้งานเอาไปทำความเข้าใจชี้เหตุชี้ผล คนทั่วไปก็ไม่ค่อยจะเห็นเหตุเห็นผลภายในเท่าไหร่ ก็มีตั้งแต่ไปสร้างเหตุมาทับถมดวงใจตัวเองจนมากขึ้นๆๆ จนเป็นดินพอกหางหมู ผู้มีปัญญาก็จะคลายออกๆๆ จนไม่เหลืออะไร
ความไม่เหลืออะไรนั่นแหละคือความบริสุทธิ์ เหมือนกับเรานั่งอยู่ในศาลาหลังนี้ เรานั่งอยู่ในศาลาหลังนี้แต่เป็นศาลาที่โล่งที่โปร่ง ในความโล่งความโปร่งนั้นอากาศก็มีอยู่ ในกายของเรานั้นในความว่างตัวใจก็มีอยู่ ความรู้สึกรับรู้เขาก็มีอยู่ ถ้าเราหมั่นวิเคราะห์หมั่นอบรมหมั่นสังเกตหมั่นแก้ไขอยู่ตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราคงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน ก็ต้องพยายามกันนะ
ตั้งใจรับพรกัน
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 24 มีนาคม 2562
มีความสุขกันทุกคน วันนี้ก็เป็นวันที่ 24 คือวันเลือกตั้งผู้แทนราษฎร ก็ขอเชิญพี่น้องของเราไปเลือกตั้งกัน ให้เลือกให้พิจารณาคนดีเข้าสู่สภา แต่หลักของความเป็นจริงก็ดีกันหมดทุกคน จะดีมากดีน้อย เราก็ต้องพิจารณากันอีกทีหนึ่ง คนไหนดีมากคนไหนดีน้อย คนไหนมีข้อเสียมากข้อเสียน้อย ต้องใช้ปัญญาพิจารณาแล้วค่อยกาเราก็ค่อยเลือก ถ้าบางคนบางทีเขาก็ไปจ่ายเงินจ่ายตังค์ก็มี เราก็รับเอาไว้ก็ได้ไม่รับก็ได้ไม่ให้เสียกำลังใจ ส่วนจะเลือกหรือจะกา เราก็ต้องใช้ปัญญา
ใช้ปัญญาค่อยพิจารณาค่อยเลือกเพราะว่าการได้เลือกผู้แทนราษฎรนี่ก็หลายปีนานหลายปีแล้วตั้งแต่ปี 48 ปี 49 วุ่นวายกันมาหลายปี 5 6 7 ปี ทะเลาะเบาะแว้งกันตีกัน แย่งชิงกัน เผาบ้านเผาเมืองก็เยอะ เราก็ต้องใช้ปัญญา อย่าเห็นแก่เงินทองเท่าไหร่ ถ้าเขาเอาเงินทองมาให้เขาก็ต้องมีโอกาสที่จะไปกอบโกยมากเป็นทวีคูณ เราก็ต้องใช้ปัญญา ในภาพรวมมันก็มีดีมีไม่ดี มีดีมากดีน้อยเสียมากเสียน้อย มีทั้งเสียทั้งไม่เสีย ก็เลือกเอาส่วนที่ดีๆ หน่อย ก็จะได้ประโยชน์ขึ้นมาบ้าง ก็วันนี้ก็คงจะเป็นวันที่ชี้ชะตาของเมืองไทย ก็ไปเลือกกันทุกคน
วันนี้เราก็มีเจ้าภาพผู้ใจบุญจะได้มาไถ่ชีวิตโคกระบือ ชีวิตแต่ละชีวิตไม่อยากจะตกให้ถูกฆ่าก่อนวัยอันควร แต่ก็เป็นตามวิบากของกรรม สร้างกรรมมาอย่างไรก็ไปอย่างนั้น เขาก็ได้สร้างกรรมมาถึงได้เกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน การถูกฆ่าถูกตีถูกบังคับสารพัดอย่าง คนเราก็เหมือนกันก็ไม่อยากจะถูกบังคับไม่อยากจะถูกฆ่าแต่ก็มีสติปัญญาสูงกว่าสัตว์เดรัจฉานหน่อยหนึ่ง ก็รู้จักแก้ไขปรับปรุงตัวเรา แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา ดีไม่ดีนี่ไม่ต้องกลับมาเกิดให้เป็นทุกข์อีก ถ้าปฏิบัติเดินตามทางของพระพุทธองค์ ด้วยการเจริญสติด้วยการเจริญปัญญา ให้ทำความเข้าใจกับชีวิตของตัวเรา รู้จักสร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น ตั้งแต่ศรัทธาความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม แล้วก็ฝึกหัดปฏิบัติตามแนวของพระพุทธองค์
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องชีวิต สอนเรื่องการดำเนินชีวิต วิธีใดที่จะทำให้ชีวิตมีความสุข อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม ในกายของคนเรามีอะไรบ้าง ที่ท่านบอกว่าธาตุสี่ขันธ์ห้า ธาตุสี่ก็ร่างกายของเรา ที่ท่านบอกว่าเป็นดินน้ำลมไฟ มาประกอบกันเข้า มีวิญญาณเข้ามาครอบครองวิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไรถึงมาครอบครองตรงนี้ วิญญาณหรือว่าตัวใจที่ท่านว่าไม่มีตัวมีตนแต่ความรู้สึกนั้นมีอยู่ ท่านถึงให้เจริญสติลงที่กายแล้วก็อบรมใจของเราให้ได้ใช้ใจของเราให้เป็น แต่เวลานี้ใจของเราทั้งหลงทั้งเกิดทั้งยึด ถ้าเราไม่ได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เราก็จะไม่เข้าใจ
เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องตรงนี้ยังยากลำบากอยู่ ถ้าเราเจริญสติให้ต่อเนื่องได้เมื่อไหร่เราก็จะรู้ว่าส่วนที่ผ่านมานั้น เป็นแค่เพียงสติปัญญาของสมมติของโลกีย์ที่ดำเนินไปด้วยความหลง ถ้าเราเจริญสติให้ต่อเนื่องจนรู้จนเห็นจนแยกได้ทำความเข้าใจได้ เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ว่า ‘อัตตาเป็นลักษณะอย่างนี้’ ‘อนันตาเป็นลักษณะอย่างนี้’ ‘หลักของอริยสัจความจริงอันประเสริฐเป็นลักษณะอย่างนี้’ ‘อนิจจังทุกขังอนัตตาในกายของเราเป็นอย่างนี้’ ทุกเรื่องในชีวิตตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งนอนหลับ จนกระทั่งหมดลมหายใจ ไม่ใช่ว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งทุกเรื่องเลยในชีวิต
การดำเนินชีวิตอะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ การอยู่กับโลก ร่างกายคือก้อนโลก โลกภายนอกโลกภายใน โลกภายนอกก็คือตาเนื้อของเรามองเห็น โลกภายในคือร่างกายของเราจิตวิญญาณของเรา ท่านพยายามให้ศึกษาดูดีๆ เราก็จะเข้าใจเราก็จะเข้าถึง รู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วย อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง ส่วนบารมี บุญบารมีส่วนอื่นทุกคนก็พากันดำเนินมาปฏิบัติมาระดับของสมมติ บริหารกายบริหารใจ บริหารสมมติด้วยสติปัญญาของโลกีย์ให้อยู่ดีมีความสุข อยู่ในระดับหนึ่ง แต่ปัญญาโลกีย์ตรงนี้ยังเข้าไม่ถึงตัวใจ เราต้องใช้เจริญสติรู้กายรู้ใจ รู้กายรู้ใจ รู้ให้ต่อเนื่อง รู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ รู้เหตุรู้ผลเห็นเหตุเห็นผล ทำความเข้าใจว่าอะไรควรละอะไรควรเจริญ ถึงจะเข้าถึงได้ ไม่เข้าถึงวันนี้ก็ต้องเข้าถึงพรุ่งนี้ ไม่เข้าถึงพรุ่งนี้ก็เดือนนี้เดือนหน้าไม่เข้าถึงจริงๆ ก็ไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่
อย่าปิดกั้นตัวเราว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาส ทุกคนมีเวลาตราบใดที่มีลมหายใจ บางคนก็อาจจะมีมาก บางคนก็อาจจะมีน้อย บางคนบางท่านสมมติก็ไม่ได้ลำบาก บางคนบางท่านสมมติก็ลำบาก ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในวิญญาณ รอบรู้ในปัจจัยสี่ แล้วก็พยายามขยันหมั่นเพียรด้วยสติด้วยปัญญา ยังสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุข แล้วก็ส่งผลถึงวิมุตติ ทางด้านจิตใจก็จะได้ไม่ลำบาก
ใจของคนเรานี่หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ทำไมถึงพูดอย่างนี้ เพราะไม่หลงก็ไม่เกิด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เขาหลงมาเกิด มาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างร่างกายของเรา แล้วก็มายึดอยู่ในร่างกายก้อนนี้ เราก็ว่าร่างกายของเราตัวตนของเรา ก็เป็นร่างกายของเรานั่นแหละตัวตนของเรานั่นแหละในทางสมมติ แต่ในทางธรรมจริงๆ แล้ว เขามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความไม่เที่ยง ตั้งแต่เกิดมาจากเป็นเด็ก ก็พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ จากเด็กน้อยเป็นเด็กใหญ่เด็กโตเป็นผู้ใหญ่ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน มีการพัฒนามีความรับผิดชอบมาเรื่อยๆ จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้ทำการทำงาน มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ มีครอบครัว อันนี้เราก็ปฏิบัติให้ถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติแต่ใจยังเกิด
ความเกิดนั่นแหละคือความหลงอันละเอียด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ขณะอยู่ในกายใจก็ยังไปต่อ ไปต่อยังไม่พอ ก็ยังเป็นทาสของกิเลสอีก กิเลสก็มีกิเลสหลายอย่าง ก็มีกิเลสหยาบกิเลสละเอียดทั้งอยากทั้งไม่อยาก ทั้งดีทั้งไม่ดีก็เป็นกิเลสหมด ท่านถึงบอกพยายามทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง ละชั่วทำดี ทำใจให้บริสุทธิ์ อยู่ในความเป็นกลาง อยู่ในความว่างไม่ต้องเกิด ให้เกิดด้วยปัญญาทำหน้าที่แทน ละอกุศลเจริญกุศลแต่ไม่ยึด แต่เราต้องรู้ต้องแยกแยะภายใน เดินปัญญาแยกรูปแยกนามให้ได้เสียก่อน เราถึงจะเข้าใจในความหมายภาษาธรรมภาษาโลก ถ้าเราแยกไม่ได้คลายภายในไม่ได้ มันก็เป็นแค่อยู่ในระดับของการสร้างบุญสร้างกุศล สร้างบารมีอยู่ในระดับของสมมติ ก็เป็นสิ่งที่ดีอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ยังดับทุกข์ถึงจุดหมายปลายทางยังไม่ได้เราก็ต้องพยายาม
พยายามหมั่นน้อมหมั่นวิเคราะห์พิจารณาน้อมดูกายดูใจของเราบ้าง อย่าคือการไปนึกไปคิดเอา อย่างนี้ไม่เจอ เราต้องเจริญสติน้อมเข้าไป สติไม่มีก็ต้องสร้างให้มีสร้างให้มีให้ต่อเนื่อง เอาไปใช้การใช้งานเอาไปทำความเข้าใจชี้เหตุชี้ผล คนทั่วไปก็ไม่ค่อยจะเห็นเหตุเห็นผลภายในเท่าไหร่ ก็มีตั้งแต่ไปสร้างเหตุมาทับถมดวงใจตัวเองจนมากขึ้นๆๆ จนเป็นดินพอกหางหมู ผู้มีปัญญาก็จะคลายออกๆๆ จนไม่เหลืออะไร
ความไม่เหลืออะไรนั่นแหละคือความบริสุทธิ์ เหมือนกับเรานั่งอยู่ในศาลาหลังนี้ เรานั่งอยู่ในศาลาหลังนี้แต่เป็นศาลาที่โล่งที่โปร่ง ในความโล่งความโปร่งนั้นอากาศก็มีอยู่ ในกายของเรานั้นในความว่างตัวใจก็มีอยู่ ความรู้สึกรับรู้เขาก็มีอยู่ ถ้าเราหมั่นวิเคราะห์หมั่นอบรมหมั่นสังเกตหมั่นแก้ไขอยู่ตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราคงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน ก็ต้องพยายามกันนะ
ตั้งใจรับพรกัน