หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 5
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 5
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 5
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 11 มกราคม 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว ความรู้สึกของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ
เราพยายามสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเชื่อมโยง เราก็จะรู้ลึกลงไปอีก รู้การเกิด รู้ลักษณะของใจ ใจที่เกิดอาการส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างไร ความคิดที่ผุดขึ้นมา ใจเกิดเข้าไปรวมได้อย่างไร อันนั้นเราก็จะเห็นไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ ถ้ารู้ไม่ทันต้นเหตุก็พยายามหยุดเอาไว้
แต่เวลานี้เรามีศรัทธา มีการสร้างบารมีมาอยู่ในระดับหนึ่ง แต่การเจริญสติที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงยังไม่ค่อยจะมีกันเท่าไหร่ เพียงแค่การหายใจเข้าหายใจออก เราก็ยังรู้ไม่ค่อยจะชำนาญกันเลย เราพยายามหัดสังเกต หัดสังเกตหัดสร้างความรู้ตัว ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด หรืออาจจะติดขัด มีการพลั้งเผลอเราก็เริ่ม เริ่มใหม่ พลั้งเผลอเริ่มใหม่ พลั้งเผลอเริ่มใหม่ จนความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง จนเรารู้เท่าทันใจ รู้เท่าทันความคิด จนรู้ทันการแยกการคลาย สัมมาทิฏฐิความเห็นถูกถึงจะเปิดทางให้
เราอย่าเอาความคิดแบบโลกๆ มาคิดมาวิเคราะห์ว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ความคิดเก่านั้นมีอยู่เดิม แต่กำลังสติของเรามีไม่เพียงพอ ก็เลยรู้ไม่ทัน ก็เลยส่วนมากก็จะพลั้งเผลอ หรือไม่ได้สร้างกันขึ้นมาเลย นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติที่ต่อเนื่อง จนรู้เท่ารู้ทัน จนวิเคราะห์เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ทุกอิริยาบถ ทุกเรื่องในชีวิต ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งหมดลมหายใจ
การหายใจเข้าออกเป็นอย่างไร การลุกการก้าวเป็นอย่างไร กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร เวลารับประทานข้าวปลาอาหาร เราก็รู้จักพิจารณา กายเราหิว หรือใจของเราเกิดความอยาก ถ้าใจเกิดความอยาก เราก็รู้จักหยุดรู้จักดับ ดับให้ใจสงบเสียก่อน ค่อยวิเคราะห์พิจารณาเอาอาหารมาให้กาย
ต้องรู้ให้ได้ทุกเรื่อง ตาทำหน้าที่ดู หูทำหน้าที่ฟัง เราไปบังคับไม่ได้ เราต้องวิเคราะห์ ใจของเราเกิดความยินดียินร้ายหรือไม่ เราจะแก้ไขอย่างไร เราจะบริหารกายบริหารใจของเราได้อย่างไรในเมื่อเรายังมีลมหายใจอยู่ เราก็ต้องทำความเข้าใจ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง
ท่านถึงบอกว่าเจริญสติให้รอบรู้ในกองสังขาร เจริญสติให้รอบรู้ในดวงวิญญาณ เจริญสติให้รอบรู้ในปัจจัยสี่ ให้รอบรู้ในโลกธรรมในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอน ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ก็ต้องพยายามกัน เรารู้จักวิธีการแนวทางแล้ว เราก็พยายามไปทำ
การเจริญสติที่ต่อเนื่องเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่เป็นสมาธิเป็นลักษณะอย่างนี้ สติกับใจต้องแยกออกจากคนละส่วน ต่อไปข้างหน้า ใจกับอาการของใจต้องคลายออกจากกันให้เป็นคนละส่วน ตามดู ตามรู้ ตามเห็น ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เป็นกองได้อย่างไร เป็นขันธ์ได้อย่างไร กองวิญญาณเรียกว่า ‘ตัวใจ’ เป็นลักษณะอย่างนี้ เรารู้ ดูได้ตั้งแต่ในภาพรวมเมื่อเขาเกิดรวมกันไปแล้ว เรายังจำแนกแจกแจงไม่ได้ ก็ต้องพยายามกัน สักวันหนึ่งเราก็คงจะมองเห็นหนทางเดินกัน
สร้างความรู้ตัว สร้างความรู้ตัว สัมผัสของลมหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 11 มกราคม 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว ความรู้สึกของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ
เราพยายามสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถความรู้ตัวของเราต่อเนื่องเชื่อมโยง เราก็จะรู้ลึกลงไปอีก รู้การเกิด รู้ลักษณะของใจ ใจที่เกิดอาการส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างไร ความคิดที่ผุดขึ้นมา ใจเกิดเข้าไปรวมได้อย่างไร อันนั้นเราก็จะเห็นไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ ถ้ารู้ไม่ทันต้นเหตุก็พยายามหยุดเอาไว้
แต่เวลานี้เรามีศรัทธา มีการสร้างบารมีมาอยู่ในระดับหนึ่ง แต่การเจริญสติที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงยังไม่ค่อยจะมีกันเท่าไหร่ เพียงแค่การหายใจเข้าหายใจออก เราก็ยังรู้ไม่ค่อยจะชำนาญกันเลย เราพยายามหัดสังเกต หัดสังเกตหัดสร้างความรู้ตัว ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด หรืออาจจะติดขัด มีการพลั้งเผลอเราก็เริ่ม เริ่มใหม่ พลั้งเผลอเริ่มใหม่ พลั้งเผลอเริ่มใหม่ จนความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง จนเรารู้เท่าทันใจ รู้เท่าทันความคิด จนรู้ทันการแยกการคลาย สัมมาทิฏฐิความเห็นถูกถึงจะเปิดทางให้
เราอย่าเอาความคิดแบบโลกๆ มาคิดมาวิเคราะห์ว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ความคิดเก่านั้นมีอยู่เดิม แต่กำลังสติของเรามีไม่เพียงพอ ก็เลยรู้ไม่ทัน ก็เลยส่วนมากก็จะพลั้งเผลอ หรือไม่ได้สร้างกันขึ้นมาเลย นอกจากบุคคลที่มาเจริญสติที่ต่อเนื่อง จนรู้เท่ารู้ทัน จนวิเคราะห์เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ทุกอิริยาบถ ทุกเรื่องในชีวิต ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งหมดลมหายใจ
การหายใจเข้าออกเป็นอย่างไร การลุกการก้าวเป็นอย่างไร กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร เวลารับประทานข้าวปลาอาหาร เราก็รู้จักพิจารณา กายเราหิว หรือใจของเราเกิดความอยาก ถ้าใจเกิดความอยาก เราก็รู้จักหยุดรู้จักดับ ดับให้ใจสงบเสียก่อน ค่อยวิเคราะห์พิจารณาเอาอาหารมาให้กาย
ต้องรู้ให้ได้ทุกเรื่อง ตาทำหน้าที่ดู หูทำหน้าที่ฟัง เราไปบังคับไม่ได้ เราต้องวิเคราะห์ ใจของเราเกิดความยินดียินร้ายหรือไม่ เราจะแก้ไขอย่างไร เราจะบริหารกายบริหารใจของเราได้อย่างไรในเมื่อเรายังมีลมหายใจอยู่ เราก็ต้องทำความเข้าใจ อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง
ท่านถึงบอกว่าเจริญสติให้รอบรู้ในกองสังขาร เจริญสติให้รอบรู้ในดวงวิญญาณ เจริญสติให้รอบรู้ในปัจจัยสี่ ให้รอบรู้ในโลกธรรมในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอน ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ก็ต้องพยายามกัน เรารู้จักวิธีการแนวทางแล้ว เราก็พยายามไปทำ
การเจริญสติที่ต่อเนื่องเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่เป็นสมาธิเป็นลักษณะอย่างนี้ สติกับใจต้องแยกออกจากคนละส่วน ต่อไปข้างหน้า ใจกับอาการของใจต้องคลายออกจากกันให้เป็นคนละส่วน ตามดู ตามรู้ ตามเห็น ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เป็นกองได้อย่างไร เป็นขันธ์ได้อย่างไร กองวิญญาณเรียกว่า ‘ตัวใจ’ เป็นลักษณะอย่างนี้ เรารู้ ดูได้ตั้งแต่ในภาพรวมเมื่อเขาเกิดรวมกันไปแล้ว เรายังจำแนกแจกแจงไม่ได้ ก็ต้องพยายามกัน สักวันหนึ่งเราก็คงจะมองเห็นหนทางเดินกัน
สร้างความรู้ตัว สร้างความรู้ตัว สัมผัสของลมหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ