หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 117
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 117
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ พระธรรมเทศนา ปี 2562 ลำดับที่ 117
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 7 ธันวาคม 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบายแล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจนะ
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่
ตั้งแต่ตื่น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็สร้างความรู้ตัวอยู่ที่การหายใจเข้าออก อันนี้เขาเรียกว่า 'สติรู้กาย' เราต้องจำแนกแจกแจงให้ได้ว่าอะไรคือใจ อะไรคือสติ อะไรคือขันธ์ห้า
ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมาใหม่ เราเรียกว่า 'สติ' ยังไม่ใช่ปัญญา เป็นแค่เพียง 'สติ' เราสร้างให้ต่อเนื่อง หายใจเข้าหายใจออก หายใจเข้าเขาเรียกว่า ‘ปัจจุบัน’ หายใจออกเขาเรียกว่า ‘ปัจจุบัน’ ความสืบต่อความต่อเนื่อง แต่ส่วนมากเราก็อาจจะรู้เป็นบางครั้งบางคราว รู้ไม่ต่อเนื่อง ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเราก็จะเข้าใจว่าช่วงที่ผ่านมานั้น ส่วนมากเรามีตั้งแต่นึกคิดเอาที่เกิดจากใจ เราไปมั่นหมายเอาตัว 'ใจ' หรือว่าขันธ์ห้าเป็นสติปัญญา มันก็เป็นสติปัญญาอยู่ แต่เป็นสติปัญญาของโลกียะที่ใจส่งออกไปอยู่ตลอดเวลา
เรามาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้ได้ จาก 1 นาที 2 นาที 3 นาที เป็น 5 นาที 10 นาที เป็นครึ่งชั่วโมง เป็นชั่วโมง เราถึงจะมองเห็นว่าสติตัวนี้ที่เราสร้างขึ้นมา แต่ก่อนอาจจะมีบ้างเป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว เราฝึก...ฝึกเพื่อที่จะเข้าไปรู้เท่าทันใจ เห็นลักษณะของใจ รู้ลักษณะอาการของใจ ใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่เกิดเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่เกิดกิเลสส่งออกไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างนี้ ความคิดที่ไม่ตั้งใจคิดหรือว่าอาการของขันธ์ห้าซึ่งมีกันทุกคน พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติหรือว่ามาสร้างผู้รู้ ใจนี้เป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขาทั้งรู้ทั้งเกิดทั้งหลงทั้งยึด ทั้งเป็นทาสของกิเลส เขาเรียกว่า 'ปัญญาของโลกีย์' ยังหลงอยู่
เราต้องมาสร้างความรู้ตัว รู้เท่ารู้ทัน จนชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผลได้ ว่าใจของเราคลายจากขันธ์ห้า หรือว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ถึงจะเป็นสัมมาทิฏฐิ เพียงแค่เริ่มต้น ส่วนบารมีส่วนอื่นทุกคนพากันสร้างกันมาดี พากันมีศรัทธาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธองค์
แต่การเจริญสติที่จะเข้าไปแยก เข้าไปสังเกตจนใจคลายออกจากขันธ์ห้า เห็นเหตุเห็นผล เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ คือคำว่า ‘อัตตา’ เป็นอย่างไร อนัตตาเป็นอย่างไร วิมุตติเป็นอย่างไร สมมติเป็นอย่างไร กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างไร ซึ่งมีอยู่ในกายของเราหมด บางคนก็มีมากบางคนก็มีน้อย เราต้องมาทำความเข้าใจ เป็นเรื่องของเราทุกคนไม่ใช่ว่าเรื่องของคนใดคนหนึ่ง
แนวทางนั้นพระพุทธองค์ได้ค้นพบแล้วก็มาจำแนกแจกแจง เอามาเปิดเผย พวกเราก็พากันประพฤติปฏิบัติขัดเกลากันอยู่ดำเนินกันอยู่ แต่เป็นการดำเนินด้วยเหตุด้วยผลของปัญญาโลกีย์ ไม่ใช่ปัญญาโลกุตระ ปัญญาที่ใจคลายออกจากขันธ์ห้าเสียก่อน
กิเลสนี่ก็มีเยอะ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ เขาก็หาเหตุหาผลมาขัดมาแย้งมาโต้ เราต้องพยายามฝึก ทำความเข้าใจ ใหม่ๆ ท่านถึงบอกว่าเป็นการทวนกระแสกิเลส จนถึงที่สิ้นสุดใจถึงจะคลายออกมาให้เราเห็น เผยตัวออกมาให้เราเห็น ต้องอดทนอดกลั้นสร้างตบะบารมี
แต่ละวันเราต้องสำรวจ ใช้สติใช้ปัญญาของเราสำรวจ เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือไม่ เรามีความขยันหมั่นเพียรหรือเปล่า การกระทำของเรามีหรือไม่ เราละกิเลส เรามีความละอายเกรงกลัวต่อบาปหรือไม่ เรามีความขยัน เรามีความรับผิดชอบ เรามีความเสียสละ เราเป็นบุคคลที่มีความเป็นระเบียบกับตัวของเรา มีสัจจะกับตัวของเรา ใจของเรามีมลทิน อคติ เพ่งโทษคนโน้นหรือไม่เพ่งโทษคนนี้หรือไม่ ไปที่นู่นที่นี่ หลายสิ่งหลายอย่างทุกเรื่อง
ทุกเรื่องเลยในชีวิตของเรา เราต้องทำความเข้าใจให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น บอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น ให้ใจอยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเรา แต่เวลานี้กำลังสติของเราอาจจะมีไม่เพียงพอ หรืออาจจะมีบ้าง เราก็ต้องมาฝึก มาฝึกมาศึกษา มาทำความเข้าใจ มาค้นคว้า อาจจะไปศึกษาที่โน่นบ้างศึกษาที่นี่บ้าง เรารู้จักวิธีการเรารู้จักแนวทางแล้ว ก็ฝึกศึกษาลงที่กายของเรานี่แหละ ไม่ได้อยู่ที่ไหน ตั้งแต่ตื่นขึ้นเลยทีเดียว พอตื่นขึ้นปุ๊บรู้ลมหายใจปั๊บรู้ใจปุ๊บ จนสังเกตเห็น จนใจคลายออก มีขันธ์ห้า ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดผุดขึ้นมา ใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร สติของเราสังเกตเห็นทันที สังเกตเห็นปุ๊บใจก็จะดีดออกคลายออกจากขันธ์ห้า ใจก็จะหงายขึ้นมา ใจก็จะโล่งกายก็จะเบา อันนี้เพียงแค่เริ่มต้นของความเห็นถูก
เราก็จะตามเห็นการเกิดการดับ เขาเรียกว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในกายในขันธ์ห้าของเรา ที่พระพุทธองค์บอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เป็นกองเป็นขันธ์มีอยู่ 5 ขันธ์ 5 กอง กองรูป กองนาม กองสังขาร กองวิญญาณ กองสัญญา แต่เราต้องเห็นเสียก่อนเราถึงจะเข้าใจ ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปอ่านเอา เราเห็น เราตามทำความเข้าใจ เราก็จะเข้าใจ ไปอ่านหนังสือเล่มไหนก็จะเข้าใจ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้ ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่เห็น ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่เข้าใจ ปัญญาโลกีย์ของเรามีทั้งร้อย มีทั้งร้อยเต็มอัตราจิตของเรา เราต้องคลายออกให้หมด คลายความคิด คลายอารมณ์ คลายกิเลสออกให้มันหมด ก็จะสั้นลงเรื่อยๆ สั้นลงเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงตัวใจ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล เราก็จะมองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้ไปอย่างไรมาอย่างไร
เราละกิเลสตัวไหนได้บ้าง กิเลสตัวไหนเกิดขึ้น เราละได้แต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ การพูดง่ายการลงมือการกระทำจริงๆ ต้องเป็นบุคคลที่มีศรัทธา มีความเสียสละ มีสัจจะ มีความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ บอกตัวเองให้ได้ ถ้าเราสอนตัวเองไม่ได้ ไม่มีใครจะสอนตัวเราให้เราได้เลย พระพุทธองค์ก็เป็นองค์ค้นพบ แล้วก็เอามาเปิดเผย เอามาจำแนกแจกแจง ดำเนินอย่างนี้นะ ทำอย่างนี้นะ จะเกิดอย่างนี้นะ จนปรากฏขึ้นที่ใจของเรา เราก็จะเข้าใจคำว่า 'อริยสัจ' ความจริงอันประเสริฐเป็นอย่างไร เราก็จะน้อมระลึกถึงคุณของพระพุทธองค์ว่า พระพุทธเจ้ามีจริง แล้วก็ประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลสให้ถึงจุดหมาย ก่อนที่จะขัดเกลากิเลสได้เราต้องมีความเพียร ความเพียรที่ต่อเนื่องที่เชื่อมโยง การได้ยินได้อ่านได้ฟังทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือเราต้องลงมือทุกขณะทุกเวลา
ถ้าใจของเราคลายออก หรือว่าแยกรูปแยกนามได้ ใจหงายขึ้นมาได้ กำลังสติตามทำความเข้าใจได้ กำลังสติจะพุ่งแรง เห็นการเกิดการดับ ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ เขาเกิดเขาดับแล้วเขาหายไปไหน นั่นแหละอนัตตา ความว่างเปล่าเข้ามาปรากฏ ท่านถึงว่าในโลกนี้มีแต่ของว่าง แต่เราไปยึดติดอัตตาตัวตน เกิดอัตตาตัวตนก็มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นอัตตาตัวตนหมด เพราะว่าใจของเรายังวางไม่ได้ ทั้งที่การเจริญตบะ การเจริญบารมี การสร้างบุญสร้างกุศล ตรงนี้มีกันเต็มเปี่ยม
ความเกิดนั่นแหละ คือ กิเลสอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เราต้องพยายามค้นคว้า ยิ่งค้นคว้าไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเข้าใจ อย่าไปท้อถอย ผิดพลาดพลั้งเผลอเริ่มใหม่ ผิดพลาดพลั้งเผลอเริ่มใหม่ จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญา สติที่เราสร้างขึ้นมา ตามดูตามรู้ตามเห็น ชี้เหตุชี้ผล ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน ความรู้ตัวก็จะไม่พลั้งเผลอ สติก็จะเริ่มกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติก็จะกลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาก็จะกลายเป็นปัญญารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในดวงวิญญาณ อะไรที่เป็นกุศล อะไรที่เป็นอกุศล อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน เราพลั้งเผลอให้กิเลส ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหนบ้าง ใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เรื่องอะไรบ้าง เหตุจากภายนอกทำให้เกิด หรือว่าเกิดจากภายใน
เราต้องเป็นคนหมั่นวิเคราะห์ หลายสิ่งหลายอย่างที่ผูกมัดใจของเราเอาไว้ กายก็เป็นตัวผูกมัดเอาไว้ กิเลสก็เป็นตัวผูกมัดเอาไว้ ลูกหลานสมบัติพัสถานต่างๆ ก็เป็นตัวผูกมัดเอาไว้ ถ้าใจของเราคลายจากภายในได้เราก็วางข้างนอกได้หมด ถ้าเราดับกิเลสได้ทั้งกิเลสหยาบกิเลสละเอียด ทั้งดับทั้งละได้ เราไม่อยากจะได้ความบริสุทธิ์ เราก็ได้ เราไม่อยากจะได้ความสงบ เราก็ได้ เพราะว่ามองเห็นตามสภาพความเป็นจริง
การเกิดของใจมีกันทุกคนอย่าว่าไม่มี ทั้งเกิดด้วยทั้งหลงด้วย นอกจากบุคคลที่เจริญสติให้ต่อเนื่องถึงจะรู้ความจริงตรงนี้ ถึงการเจริญสติถ้าไม่ต่อเนื่อง ตามทำความเข้าใจให้รู้ทุกเรื่อง ใจของเราก็จะวนเวียนอยู่ที่เดิมนั่นแหละ ก็กลับไปเป็นทาสของกิเลสอีก เราจงทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง ชี้เหตุผลเห็นเหตุเห็นผล จนใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้ การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด เกิดเป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา การไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ เขาก็ไม่เอาเพราะว่ามันเป็นทุกข์ ในเมื่อเขารู้ความเป็นจริง เขาก็จะปล่อยเขาก็จะวาง
หมั่นอบรมใจของเราอยู่ตลอดเวลา กระหนาบแล้วกระหนาบอีก กระหนาบแล้วกระหนาบอีก ทุกเรื่องนั่นแหละ ไม่ใช่ว่าพูดปั๊บจะได้ปุ๊บ ทำปุ๊บจะได้ปั๊บ อย่างนั้นไม่ได้ นอกจากบุคคลที่สร้างบุญสร้างบารมีมาเต็มเปี่ยม ชี้เหตุชี้ผลนิดหน่อยก็เข้าถึงความสะอาดความบริสุทธิ์ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามนะ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่แก้ไขใหม่ รู้จักวิธีการ กายวิเวกจากสถานที่ต่างๆ วิเวกจากภาระหน้าที่การงาน ทีนี้ใจของเราวิเวกจากความคิดจากขันธ์ห้าแล้วหรือยัง วิเวกจากการเกิดแล้วหรือยัง ทำได้กันหมดทุกคนนั่นแหละ เว้นเสียแต่ว่าเราจะมีความเพียรที่ต่อเนื่องกันหรือไม่ อย่าไปปิดกั้นตัวเราว่าไม่มีโอกาสว่าไม่มีเวลา ตราบใดที่ยังมีลมหายใจเข้าออก ทุกคนก็มีเวลาเหมือนกันหมด
บุญสมมติเราก็ทำให้เต็มเปี่ยม เพื่อการขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา อย่าว่าไม่ทำ โอกาสเปิดกาลเวลาเปิดสถานที่เปิด บุญสมมติเราก็ขัดเกลากิเลส เสียสละทั้งสมมติทั้งวิมุตติ รู้จักการให้ทาน ท่านถึงบอกว่าการวางทานเอาไว้เป็นพื้นฐาน ทานจนไม่เหลือที่ใจของเรานั่นแหละ ทีนี้จะเอาจะมีจะเป็นจะบริหารชีวิตของเราก็จะเป็นเรื่องของปัญญา แต่เราต้องทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริงเสียก่อนท่านถึงบอกให้เชื่อ ไม่ใช่เชื่อแบบงมงาย ท่านให้เชื่อด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา จนปรากฏขึ้นที่ใจ รู้จักอบรมใจ รู้จักแก้ไขใจของเราอยู่ตลอดเวลา เราก็จะมองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน
มีไม่มากเลย มีอยู่ที่กายของเรานี่แหละ จะไปแสวงหาธรรมแสวงหานอกกายหาไม่เจอหรอก เอา 'ใจ' ไปแสวงหา 'ใจ' มันไม่เจอหรอกเพราะว่าใจเกิด ตัว 'ใจ' นั้นปิดกั้นตัวเองอยู่ตลอดเวลา เราต้องมาสร้างความรู้ตัว จนเอาความรู้ตัว รู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ รู้เหตุรู้ผล ชี้เหตุชี้ผล แล้วก็หมั่นเจริญพรหมวิหาร
ใจของเราเกิดความโลภเราละความโลภ ใจเกิดความโกรธละความโกรธ ไม่ใช่ว่าละเฉยๆ ใจเกิดความโกรธเราละความโกรธแล้วก็ให้อภัยอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดีคิดดี ไม่อคติไม่เพ่งโทษ ใจไม่เกิด ดับความเกิด หนุนกำลังสติปัญญาไปเกิดแทน กำลังสติปัญญานี่แหละที่เราสร้างขึ้นมา เอาไปชี้เหตุชี้ผลจนเป็นอัตโนมัติ ท่านถึงเปรียบเอาไว้ว่า สติปัญญานั้นเปรียบเหมือนกับกงจักร หมุนรอบใจของเราอยู่ตลอดเวลา
ใจเกิดกิเลสก็รู้จักละ จะทำอะไรเราก็รู้จักทำความเข้าใจ กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ภาษาธรรมะ ภาษาโลกภาษาธรรม สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง เป็นอย่างไร หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง พวกท่านจงพยายามพากันไปศึกษาดู ไปทำความเข้าใจดู ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่เข้าใจ ความคิดนั้นมีอยู่แล้ว ความคิดเก่า เรามาสร้างผู้รู้ตัวใหม่ไปอบรมใจ ไปดับความคิดเก่า แล้วก็ไปสังเกตจนใจของเราคลายออก เราก็ต้องพยายามกันนะ
จงเป็นบุคคลผู้ให้ ให้ทุกอย่าง ให้ละทั้งกิเลส ละทุกสิ่งทุกอย่างออกจากใจของเราให้มันหมด เราก็จะได้ตั้งแต่ความสะอาดความบริสุทธิ์ เราก็จะอยู่กับบุญอยู่ตลอดเวลา การพูดง่าย การได้ยินได้ฟังได้อ่าน เราต้องลงมือทำ ไม่ใช่ว่าไม่ลงมือทำ ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง เวลาโน้นถึงจะทำ เวลานี้ถึงจะทำ
บางคนบางท่านก็สร้างบารมีทางสมมติมาจนเต็มเปี่ยม จนผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ มาได้ ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านหนาวผ่านร้อน ความอดทนอดกลั้น ความเสียสละ ความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบ ยังสมมติจนเต็มเปี่ยมจนล้น เพียงแค่มาดับความเกิดของใจ ถึงดับความเกิดของใจ ใจคลายออกจากขันธ์ห้า ตามดูขันธ์ห้าได้ ตัววิปัสสนารู้แจ้งเห็นจริงถึงจะเปิดทางให้
เราอยากจะได้ เราอยากจะถึง เราก็ไม่ถึงหรอก ถ้าความอยากยังปิดกั้นเอาไว้อยู่ ถ้าใจยังปิดกั้นไว้อยู่ ให้ดับความอยาก ละความอยาก เห็น ตามทำความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผลเห็นเหตุเห็นผล ให้ใจสะอาดบริสุทธิ์ด้วยปัญญา นั่นแหละท่านถึงบอกให้เชื่อ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 7 ธันวาคม 2562
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบายวางกายให้สบายแล้วก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจนะ
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่
ตั้งแต่ตื่น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็สร้างความรู้ตัวอยู่ที่การหายใจเข้าออก อันนี้เขาเรียกว่า 'สติรู้กาย' เราต้องจำแนกแจกแจงให้ได้ว่าอะไรคือใจ อะไรคือสติ อะไรคือขันธ์ห้า
ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมาใหม่ เราเรียกว่า 'สติ' ยังไม่ใช่ปัญญา เป็นแค่เพียง 'สติ' เราสร้างให้ต่อเนื่อง หายใจเข้าหายใจออก หายใจเข้าเขาเรียกว่า ‘ปัจจุบัน’ หายใจออกเขาเรียกว่า ‘ปัจจุบัน’ ความสืบต่อความต่อเนื่อง แต่ส่วนมากเราก็อาจจะรู้เป็นบางครั้งบางคราว รู้ไม่ต่อเนื่อง ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเราก็จะเข้าใจว่าช่วงที่ผ่านมานั้น ส่วนมากเรามีตั้งแต่นึกคิดเอาที่เกิดจากใจ เราไปมั่นหมายเอาตัว 'ใจ' หรือว่าขันธ์ห้าเป็นสติปัญญา มันก็เป็นสติปัญญาอยู่ แต่เป็นสติปัญญาของโลกียะที่ใจส่งออกไปอยู่ตลอดเวลา
เรามาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้ได้ จาก 1 นาที 2 นาที 3 นาที เป็น 5 นาที 10 นาที เป็นครึ่งชั่วโมง เป็นชั่วโมง เราถึงจะมองเห็นว่าสติตัวนี้ที่เราสร้างขึ้นมา แต่ก่อนอาจจะมีบ้างเป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว เราฝึก...ฝึกเพื่อที่จะเข้าไปรู้เท่าทันใจ เห็นลักษณะของใจ รู้ลักษณะอาการของใจ ใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่เกิดเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่เกิดกิเลสส่งออกไปภายนอกเป็นลักษณะอย่างนี้ ความคิดที่ไม่ตั้งใจคิดหรือว่าอาการของขันธ์ห้าซึ่งมีกันทุกคน พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติหรือว่ามาสร้างผู้รู้ ใจนี้เป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขาทั้งรู้ทั้งเกิดทั้งหลงทั้งยึด ทั้งเป็นทาสของกิเลส เขาเรียกว่า 'ปัญญาของโลกีย์' ยังหลงอยู่
เราต้องมาสร้างความรู้ตัว รู้เท่ารู้ทัน จนชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผลได้ ว่าใจของเราคลายจากขันธ์ห้า หรือว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ถึงจะเป็นสัมมาทิฏฐิ เพียงแค่เริ่มต้น ส่วนบารมีส่วนอื่นทุกคนพากันสร้างกันมาดี พากันมีศรัทธาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธองค์
แต่การเจริญสติที่จะเข้าไปแยก เข้าไปสังเกตจนใจคลายออกจากขันธ์ห้า เห็นเหตุเห็นผล เราก็จะเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ คือคำว่า ‘อัตตา’ เป็นอย่างไร อนัตตาเป็นอย่างไร วิมุตติเป็นอย่างไร สมมติเป็นอย่างไร กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างไร ซึ่งมีอยู่ในกายของเราหมด บางคนก็มีมากบางคนก็มีน้อย เราต้องมาทำความเข้าใจ เป็นเรื่องของเราทุกคนไม่ใช่ว่าเรื่องของคนใดคนหนึ่ง
แนวทางนั้นพระพุทธองค์ได้ค้นพบแล้วก็มาจำแนกแจกแจง เอามาเปิดเผย พวกเราก็พากันประพฤติปฏิบัติขัดเกลากันอยู่ดำเนินกันอยู่ แต่เป็นการดำเนินด้วยเหตุด้วยผลของปัญญาโลกีย์ ไม่ใช่ปัญญาโลกุตระ ปัญญาที่ใจคลายออกจากขันธ์ห้าเสียก่อน
กิเลสนี่ก็มีเยอะ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ เขาก็หาเหตุหาผลมาขัดมาแย้งมาโต้ เราต้องพยายามฝึก ทำความเข้าใจ ใหม่ๆ ท่านถึงบอกว่าเป็นการทวนกระแสกิเลส จนถึงที่สิ้นสุดใจถึงจะคลายออกมาให้เราเห็น เผยตัวออกมาให้เราเห็น ต้องอดทนอดกลั้นสร้างตบะบารมี
แต่ละวันเราต้องสำรวจ ใช้สติใช้ปัญญาของเราสำรวจ เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือไม่ เรามีความขยันหมั่นเพียรหรือเปล่า การกระทำของเรามีหรือไม่ เราละกิเลส เรามีความละอายเกรงกลัวต่อบาปหรือไม่ เรามีความขยัน เรามีความรับผิดชอบ เรามีความเสียสละ เราเป็นบุคคลที่มีความเป็นระเบียบกับตัวของเรา มีสัจจะกับตัวของเรา ใจของเรามีมลทิน อคติ เพ่งโทษคนโน้นหรือไม่เพ่งโทษคนนี้หรือไม่ ไปที่นู่นที่นี่ หลายสิ่งหลายอย่างทุกเรื่อง
ทุกเรื่องเลยในชีวิตของเรา เราต้องทำความเข้าใจให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น บอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น ให้ใจอยู่ในโอวาทของสติปัญญาของเรา แต่เวลานี้กำลังสติของเราอาจจะมีไม่เพียงพอ หรืออาจจะมีบ้าง เราก็ต้องมาฝึก มาฝึกมาศึกษา มาทำความเข้าใจ มาค้นคว้า อาจจะไปศึกษาที่โน่นบ้างศึกษาที่นี่บ้าง เรารู้จักวิธีการเรารู้จักแนวทางแล้ว ก็ฝึกศึกษาลงที่กายของเรานี่แหละ ไม่ได้อยู่ที่ไหน ตั้งแต่ตื่นขึ้นเลยทีเดียว พอตื่นขึ้นปุ๊บรู้ลมหายใจปั๊บรู้ใจปุ๊บ จนสังเกตเห็น จนใจคลายออก มีขันธ์ห้า ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดผุดขึ้นมา ใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร สติของเราสังเกตเห็นทันที สังเกตเห็นปุ๊บใจก็จะดีดออกคลายออกจากขันธ์ห้า ใจก็จะหงายขึ้นมา ใจก็จะโล่งกายก็จะเบา อันนี้เพียงแค่เริ่มต้นของความเห็นถูก
เราก็จะตามเห็นการเกิดการดับ เขาเรียกว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในกายในขันธ์ห้าของเรา ที่พระพุทธองค์บอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เป็นกองเป็นขันธ์มีอยู่ 5 ขันธ์ 5 กอง กองรูป กองนาม กองสังขาร กองวิญญาณ กองสัญญา แต่เราต้องเห็นเสียก่อนเราถึงจะเข้าใจ ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปอ่านเอา เราเห็น เราตามทำความเข้าใจ เราก็จะเข้าใจ ไปอ่านหนังสือเล่มไหนก็จะเข้าใจ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้ ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่เห็น ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่เข้าใจ ปัญญาโลกีย์ของเรามีทั้งร้อย มีทั้งร้อยเต็มอัตราจิตของเรา เราต้องคลายออกให้หมด คลายความคิด คลายอารมณ์ คลายกิเลสออกให้มันหมด ก็จะสั้นลงเรื่อยๆ สั้นลงเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงตัวใจ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล เราก็จะมองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้ไปอย่างไรมาอย่างไร
เราละกิเลสตัวไหนได้บ้าง กิเลสตัวไหนเกิดขึ้น เราละได้แต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ การพูดง่ายการลงมือการกระทำจริงๆ ต้องเป็นบุคคลที่มีศรัทธา มีความเสียสละ มีสัจจะ มีความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ บอกตัวเองให้ได้ ถ้าเราสอนตัวเองไม่ได้ ไม่มีใครจะสอนตัวเราให้เราได้เลย พระพุทธองค์ก็เป็นองค์ค้นพบ แล้วก็เอามาเปิดเผย เอามาจำแนกแจกแจง ดำเนินอย่างนี้นะ ทำอย่างนี้นะ จะเกิดอย่างนี้นะ จนปรากฏขึ้นที่ใจของเรา เราก็จะเข้าใจคำว่า 'อริยสัจ' ความจริงอันประเสริฐเป็นอย่างไร เราก็จะน้อมระลึกถึงคุณของพระพุทธองค์ว่า พระพุทธเจ้ามีจริง แล้วก็ประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลสให้ถึงจุดหมาย ก่อนที่จะขัดเกลากิเลสได้เราต้องมีความเพียร ความเพียรที่ต่อเนื่องที่เชื่อมโยง การได้ยินได้อ่านได้ฟังทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือเราต้องลงมือทุกขณะทุกเวลา
ถ้าใจของเราคลายออก หรือว่าแยกรูปแยกนามได้ ใจหงายขึ้นมาได้ กำลังสติตามทำความเข้าใจได้ กำลังสติจะพุ่งแรง เห็นการเกิดการดับ ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ เขาเกิดเขาดับแล้วเขาหายไปไหน นั่นแหละอนัตตา ความว่างเปล่าเข้ามาปรากฏ ท่านถึงว่าในโลกนี้มีแต่ของว่าง แต่เราไปยึดติดอัตตาตัวตน เกิดอัตตาตัวตนก็มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นอัตตาตัวตนหมด เพราะว่าใจของเรายังวางไม่ได้ ทั้งที่การเจริญตบะ การเจริญบารมี การสร้างบุญสร้างกุศล ตรงนี้มีกันเต็มเปี่ยม
ความเกิดนั่นแหละ คือ กิเลสอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เราต้องพยายามค้นคว้า ยิ่งค้นคว้าไปเท่าไหร่ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเข้าใจ อย่าไปท้อถอย ผิดพลาดพลั้งเผลอเริ่มใหม่ ผิดพลาดพลั้งเผลอเริ่มใหม่ จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญา สติที่เราสร้างขึ้นมา ตามดูตามรู้ตามเห็น ชี้เหตุชี้ผล ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน ความรู้ตัวก็จะไม่พลั้งเผลอ สติก็จะเริ่มกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติก็จะกลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาก็จะกลายเป็นปัญญารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในดวงวิญญาณ อะไรที่เป็นกุศล อะไรที่เป็นอกุศล อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน เราพลั้งเผลอให้กิเลส ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหนบ้าง ใจของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เรื่องอะไรบ้าง เหตุจากภายนอกทำให้เกิด หรือว่าเกิดจากภายใน
เราต้องเป็นคนหมั่นวิเคราะห์ หลายสิ่งหลายอย่างที่ผูกมัดใจของเราเอาไว้ กายก็เป็นตัวผูกมัดเอาไว้ กิเลสก็เป็นตัวผูกมัดเอาไว้ ลูกหลานสมบัติพัสถานต่างๆ ก็เป็นตัวผูกมัดเอาไว้ ถ้าใจของเราคลายจากภายในได้เราก็วางข้างนอกได้หมด ถ้าเราดับกิเลสได้ทั้งกิเลสหยาบกิเลสละเอียด ทั้งดับทั้งละได้ เราไม่อยากจะได้ความบริสุทธิ์ เราก็ได้ เราไม่อยากจะได้ความสงบ เราก็ได้ เพราะว่ามองเห็นตามสภาพความเป็นจริง
การเกิดของใจมีกันทุกคนอย่าว่าไม่มี ทั้งเกิดด้วยทั้งหลงด้วย นอกจากบุคคลที่เจริญสติให้ต่อเนื่องถึงจะรู้ความจริงตรงนี้ ถึงการเจริญสติถ้าไม่ต่อเนื่อง ตามทำความเข้าใจให้รู้ทุกเรื่อง ใจของเราก็จะวนเวียนอยู่ที่เดิมนั่นแหละ ก็กลับไปเป็นทาสของกิเลสอีก เราจงทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง ชี้เหตุผลเห็นเหตุเห็นผล จนใจของเรายอมรับความเป็นจริงได้ การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด เกิดเป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา การไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ เขาก็ไม่เอาเพราะว่ามันเป็นทุกข์ ในเมื่อเขารู้ความเป็นจริง เขาก็จะปล่อยเขาก็จะวาง
หมั่นอบรมใจของเราอยู่ตลอดเวลา กระหนาบแล้วกระหนาบอีก กระหนาบแล้วกระหนาบอีก ทุกเรื่องนั่นแหละ ไม่ใช่ว่าพูดปั๊บจะได้ปุ๊บ ทำปุ๊บจะได้ปั๊บ อย่างนั้นไม่ได้ นอกจากบุคคลที่สร้างบุญสร้างบารมีมาเต็มเปี่ยม ชี้เหตุชี้ผลนิดหน่อยก็เข้าถึงความสะอาดความบริสุทธิ์ไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามนะ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่แก้ไขใหม่ รู้จักวิธีการ กายวิเวกจากสถานที่ต่างๆ วิเวกจากภาระหน้าที่การงาน ทีนี้ใจของเราวิเวกจากความคิดจากขันธ์ห้าแล้วหรือยัง วิเวกจากการเกิดแล้วหรือยัง ทำได้กันหมดทุกคนนั่นแหละ เว้นเสียแต่ว่าเราจะมีความเพียรที่ต่อเนื่องกันหรือไม่ อย่าไปปิดกั้นตัวเราว่าไม่มีโอกาสว่าไม่มีเวลา ตราบใดที่ยังมีลมหายใจเข้าออก ทุกคนก็มีเวลาเหมือนกันหมด
บุญสมมติเราก็ทำให้เต็มเปี่ยม เพื่อการขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา อย่าว่าไม่ทำ โอกาสเปิดกาลเวลาเปิดสถานที่เปิด บุญสมมติเราก็ขัดเกลากิเลส เสียสละทั้งสมมติทั้งวิมุตติ รู้จักการให้ทาน ท่านถึงบอกว่าการวางทานเอาไว้เป็นพื้นฐาน ทานจนไม่เหลือที่ใจของเรานั่นแหละ ทีนี้จะเอาจะมีจะเป็นจะบริหารชีวิตของเราก็จะเป็นเรื่องของปัญญา แต่เราต้องทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริงเสียก่อนท่านถึงบอกให้เชื่อ ไม่ใช่เชื่อแบบงมงาย ท่านให้เชื่อด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา จนปรากฏขึ้นที่ใจ รู้จักอบรมใจ รู้จักแก้ไขใจของเราอยู่ตลอดเวลา เราก็จะมองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน
มีไม่มากเลย มีอยู่ที่กายของเรานี่แหละ จะไปแสวงหาธรรมแสวงหานอกกายหาไม่เจอหรอก เอา 'ใจ' ไปแสวงหา 'ใจ' มันไม่เจอหรอกเพราะว่าใจเกิด ตัว 'ใจ' นั้นปิดกั้นตัวเองอยู่ตลอดเวลา เราต้องมาสร้างความรู้ตัว จนเอาความรู้ตัว รู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ รู้เหตุรู้ผล ชี้เหตุชี้ผล แล้วก็หมั่นเจริญพรหมวิหาร
ใจของเราเกิดความโลภเราละความโลภ ใจเกิดความโกรธละความโกรธ ไม่ใช่ว่าละเฉยๆ ใจเกิดความโกรธเราละความโกรธแล้วก็ให้อภัยอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดีคิดดี ไม่อคติไม่เพ่งโทษ ใจไม่เกิด ดับความเกิด หนุนกำลังสติปัญญาไปเกิดแทน กำลังสติปัญญานี่แหละที่เราสร้างขึ้นมา เอาไปชี้เหตุชี้ผลจนเป็นอัตโนมัติ ท่านถึงเปรียบเอาไว้ว่า สติปัญญานั้นเปรียบเหมือนกับกงจักร หมุนรอบใจของเราอยู่ตลอดเวลา
ใจเกิดกิเลสก็รู้จักละ จะทำอะไรเราก็รู้จักทำความเข้าใจ กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ภาษาธรรมะ ภาษาโลกภาษาธรรม สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟัง เป็นอย่างไร หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง พวกท่านจงพยายามพากันไปศึกษาดู ไปทำความเข้าใจดู ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่เข้าใจ ความคิดนั้นมีอยู่แล้ว ความคิดเก่า เรามาสร้างผู้รู้ตัวใหม่ไปอบรมใจ ไปดับความคิดเก่า แล้วก็ไปสังเกตจนใจของเราคลายออก เราก็ต้องพยายามกันนะ
จงเป็นบุคคลผู้ให้ ให้ทุกอย่าง ให้ละทั้งกิเลส ละทุกสิ่งทุกอย่างออกจากใจของเราให้มันหมด เราก็จะได้ตั้งแต่ความสะอาดความบริสุทธิ์ เราก็จะอยู่กับบุญอยู่ตลอดเวลา การพูดง่าย การได้ยินได้ฟังได้อ่าน เราต้องลงมือทำ ไม่ใช่ว่าไม่ลงมือทำ ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง เวลาโน้นถึงจะทำ เวลานี้ถึงจะทำ
บางคนบางท่านก็สร้างบารมีทางสมมติมาจนเต็มเปี่ยม จนผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ มาได้ ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านหนาวผ่านร้อน ความอดทนอดกลั้น ความเสียสละ ความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบ ยังสมมติจนเต็มเปี่ยมจนล้น เพียงแค่มาดับความเกิดของใจ ถึงดับความเกิดของใจ ใจคลายออกจากขันธ์ห้า ตามดูขันธ์ห้าได้ ตัววิปัสสนารู้แจ้งเห็นจริงถึงจะเปิดทางให้
เราอยากจะได้ เราอยากจะถึง เราก็ไม่ถึงหรอก ถ้าความอยากยังปิดกั้นเอาไว้อยู่ ถ้าใจยังปิดกั้นไว้อยู่ ให้ดับความอยาก ละความอยาก เห็น ตามทำความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผลเห็นเหตุเห็นผล ให้ใจสะอาดบริสุทธิ์ด้วยปัญญา นั่นแหละท่านถึงบอกให้เชื่อ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ