หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 26

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 26
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 26
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2562 ลำดับที่ 26
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 18 มีนาคม 2562

ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย

หลวงพ่อก็เพียงแค่พูดแค่ย้ำแค่เตือนชี้แนะวิธีการแนวทางในการเจริญสติ ให้ทุกคนทุกท่านได้พากันไปฝึก ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ ความรู้ตัวของเราสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเราให้ต่อเนื่องซึ่งเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ ถ้าเรารู้ได้ต่อเนื่องเราก็จะรู้ลึกลงไปอีกรู้การเกิดการดับของใจ รู้การเกิดการดับของขันธ์ห้าซึ่งเป็นส่วนนามธรรม ซึ่งมีกันทุกคน

ศรัทธานั้นมีกันทุกคน การสร้างบุญสร้างบารมี สร้างอานิสงส์ต่างๆ บารมีส่วนนี้มีกันอยู่ แต่การเจริญสติที่จะเอาสติปัญญาไปใช้การใช้งาน ไปทำความเข้าใจจนใจคลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่าแยกรูปแยกนามได้ ตรงนี้ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ มีความเพียรที่ต่อเนื่องวิเคราะห์กายวิเคราะห์ใจของเราตลอดเวลา

ส่วนแนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมานาน เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะเอาไปดำเนินการหรือไม่ การขัดเกลากิเลส หมั่นสำรวจ ใจเกิดกิเลสก็รู้จักละกิเลส กิเลสมีอยู่หลายระดับ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ทั้งอยากทั้งไม่อยาก ทั้งดำทั้งขาวเป็นกิเลสหมดตราบใดที่ใจยังเกิด ความเกิดก็คือกิเลสอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด ใจของคนเราเนี่ยหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดหลงมาแล้วก็มาหลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ แล้วก็มายึดติดในอัตภาพร่างกายนี้ ขณะที่ยังอยู่ในกายก็ยังเกิดต่อ เป็นทาสกิเลสต่อ

พระพุทธองค์ท่านถึงให้เจริญสติเข้าไปอบรมใจขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ ขณะที่ยังมีกายอยู่เข้าไปแก้ไขใจของเราให้ได้ ใจของเรามีกิเลสเราก็ละกิเลส ขัดเกลากิเลสให้เบาบางลงไป ใจเกิดความโลภก็ละความโลภด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ให้วัตถุทาน ให้อภัยทาน อโหสิกรรมใจเกิดความตระหนี่เหนียวแน่น ละความตระหนี่เหนียวแน่น ใจเกิดอิจฉาละความอิจฉาริษยาออกจากใจของตัวเรา มองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี การกระทำของเราให้ถึงพร้อม

แต่ละวันๆ เราได้สำรวจใจของเราแล้วหรือยัง เรามีความขยัน ขยันในระดับไหน เพียงแค่ระดับของสมมติเราก็พยายามทำหน้าที่ของเราให้ดี อะไรเราขาดตกบกพร่อง เราเป็นบุคคลที่เตรียมพร้อมหรือไม่ เราเป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบหรือเปล่า มีความขยันหมั่นเพียรรู้จักแก้ไข รู้จักวิเคราะห์พิจารณา ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ความเป็นอยู่ ปัจจัยในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ลึกลงไปใจของเราเป็นอย่างไร การเกิดของใจการปรุงแต่งของใจ ภาษาธรรมะภาษาโลกเป็นอย่างไร เราก็ต้องพยายามศึกษา

เรามีโอกาส โอกาสมากที่สุดที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็มีโอกาสมากที่สุดที่ได้มีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนาเกิดมาทัน เราต้องพยายามสร้างความรู้แจ้งเห็นจริงให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ไม่ใช่ไปนึกเอาไปคิดเอา สติปัญญาทางโลกมีสติปัญญาสูงส่งมากถึงขนาดไหนอันนั้นก็เป็นแค่เพียงสติปัญญาทางโลก เราต้องพลิกปัญญาโลกให้เป็นปัญญาธรรม ด้วยการเจริญสติเข้าไปคลายใจออกจากขันธ์ห้า ขาดจากความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ตามดูรู้ความเป็นจริง เราก็จะเข้าใจคำว่า ‘อัตตา อนัตตา’ เข้าใจอนิจจังทุกขังอนัตตาในกายของเรา เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่เป็นสมาธิเป็นอย่างนี้ สมาธิด้วยการข่มเอาไว้หรือว่าสมาธิที่รู้แจ้งเห็นจริงด้วยการละกิเลส ใจที่ไม่มีกิเลสเขาก็บริสุทธิ์ ใจที่ไม่เกิดเขาก็นิ่ง แต่เวลานี้ทั้งกิเลสหยาบกิเลสละเอียดเต็มไปหมด

เพียงแค่การเจริญสติก็ยังทำยากลำบาก เพียงแค่การสร้างความรู้ตัว รู้การหายใจเข้าหายใจออก บางคนบางท่านก็อึดอัด หายใจธรรมชาติเป็นอย่างไร หายใจออกยาวออกสั้นเป็นอย่างไรพยายามดูรู้ให้ทันคำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ กำลังสติของเราต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ถ้าต่อเนื่องได้เมื่อไหร่ สักวันหนึ่งเราก็จะเห็น เห็นใจคลายออกจากขันธ์ห้า เราก็ทำความเข้าใจ

เพียงแค่รู้แค่เห็นเฉยๆ มันก็เอาไปใช้ไม่ได้ การฝึกสติ ถ้าได้แต่ฝึกไม่เอาไปใช้ ไม่เอาไปวิเคราะห์ ตามชี้เหตุชี้ผลให้ได้ ใช้ ตัวเองให้เป็น มันก็เกิดประโยชน์อยู่เพียงแค่เล็กน้อย เราต้องพยายามยังประโยชน์ให้สูงสุด ตามทำความเข้าใจให้ได้ กำลังสติของเรา ถ้ารู้ด้วยเห็นด้วยกำลังสติก็จะพุ่งแรง พุ่งแรงแล้วยังไม่พอ ค้นคว้าทุกสิ่งทุกอย่างจนชี้เหตุชี้ผล จนใจหายความสงสัยว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน

ทำความเข้าใจกับสมมติ อะไรคือสมมติวิมุตติ คำว่า ‘ศีล สมาธิ ปัญญา’ เป็นลักษณะอย่างไรความปกติระดับในระดับกาย ระดับวาจา ระดับใจ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ใจที่ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น การส่งความว่างเป็นอย่างไร ใจที่ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘วิหารธรรม’ เครื่องอยู่ของใจ

เราก็ต้องพยายามศึกษาให้ละเอียด ไม่ใช่ว่าผัดวันประกันพรุ่ง เอาแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ เรามีความขยันเพียงพอหรือไม่ มีความเสียสละเต็มเปี่ยมหรือเปล่า รู้จักฝักใฝ่รู้จักสนใจหรือไม่ ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าชีว่าโยม ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ เราฝึกเรา แก้ไขเรา ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้นอกจากตัวของเราเองท่านถึงเรียกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน

สมมติภายนอกเราอาจจะอาศัยกันได้ เป็นบางช่วงบางครั้งบางคราว อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง เราต้องพยายามพึ่งตัวเราให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ตายเป็นตาย ไม่ถึงวาระเวลาไม่ตาย ถ้าถึงเวลาแล้วอะไรมาฉุดไว้ก็ไม่อยู่

เราต้องทำความเข้าใจมองเห็นหนทางเดินให้ได้เสียก่อน อย่าพากันเกียจคร้าน มีอะไรก็ให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อยู่กันคนละทิศละที่ละทางมาอยู่ร่วมกัน ก็ให้มีความรัก ความสมัครสมานสามัคคี อย่าพากันเกียจคร้าน มีอะไรพอช่วยเหลือกันได้ ก็ช่วยเหลือ

ทุกสิ่งทุกอย่างลงที่เหตุ แก้ไขเหตุที่ตัวเราให้ได้ เหตุภายนอกก็พยายามยังประโยชน์ให้ดี มันก็จะส่งผลถึงอนาคต ไม่ใช่ว่าจะไปโทษสิ่งโน้นสิ่งนี้ ไปโทษที่โน่นที่นี่ ถ้าใจของเราดีเราไปอยู่ที่ไหนก็ดี ถ้าเรามีความขยันหมั่นเพียรไปอยู่ที่ไหนก็ไม่อดตาย ถึงวาระเวลา ไม่ถึงวันนี้ก็ต้องถึงพรุ่งนี้ ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็ต้องถึงเดือนนี้ เดือนหน้า ไม่ถึงจริงๆ ก็ไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ เขาก็ต้องเกิด

ถ้าเรายังดับความเกิดไม่ได้ ละกิเลสไม่หมดจด เราก็ขอให้ใจของเราอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ เป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไปจนกว่าจะถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้นในวันข้างหน้าหรืออาจจะในภพหน้า ก็แล้วแต่วิบากกรรมของแต่ละบุคคล

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง