หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 90 วันที่ 8 ตุลาคม 2563
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 90 วันที่ 8 ตุลาคม 2563
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 90
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 8 ตุลาคม 2563
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง หรือว่ามาสร้างผู้รู้ หรือว่าเจริญสติให้มีให้เกิดขึ้น แล้วก็ให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสีย อย่าปล่อยวันเวลาทิ้ง
พยายามแสวงหาเราให้เจอ หาใจของเรานั่นแหละ แต่เวลานี้ใจของเรายังเกิด ยังคิด ยังปรุง ยังแต่ง ยังหลง ยังยึดสารพัดอย่าง แต่เราก็ว่าเราไม่หลง เพราะว่าเรายังแยกไม่ได้ เจริญสติเอากำลังสติไปใช้การใช้งานไม่ได้ เราพยายามศึกษาชีวิตของเราขณะยังมีกำลังอยู่ พยายามสร้างอานิสงส์ สร้างบุญ สร้างตบะ สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น
แต่ละวันๆ ความขยันหมั่นเพียรของเรามี ความรับผิดชอบของเรามี ความเสียสละของเรามี ความอดทนอดกลั้นความอ่อนน้อมถ่อมตน ความแข็งกร้าวแข็งกระด้างเราก็รู้จักขัดเกลา รู้จักละ
กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเกิดขึ้นที่ใจ เกิดขึ้นที่กาย เราพยายามหมั่นวิเคราะห์ วิเคราะห์ตัวเรา วิเคราะห์ใจของเราอะไรคือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา คำว่า 'ปัจจุบันธรรม' ความรู้ตัว รู้ตัวคือรู้กาย รู้ลมหายใจเข้าออก ทุกลมหายใจเข้าออก อันนี้เขาเรียกว่า 'รู้กาย' ลึกลงไป ส่วนการเกิดการดับของใจ หรือว่าความคิดของเราเกิดๆ ดับๆ ตั้งแต่เช้ามาเขาเกิดสักกี่เที่ยว มีความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราสักกี่ครั้ง
อะไรคือตัว 'ใจ' ที่แท้จริง อะไรคือ 'อาการของใจ' ซึ่งเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ ทำไมใจของเราถึงไปหลงไปรวมเป็นเนื้อเดียว แล้วก็ไปด้วยกัน เราต้องมาเจริญผู้รู้ หรือว่ามาสร้างผู้รู้ ที่หลวงพ่อย้ำอยู่ทุกวันนี่แหละ คือการเจริญสติตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ รู้สัมผัสของลมหายใจเข้า หายใจออก เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าหายใจออก พวกเราก็ยังดูกันไม่ชำนาญ นานๆ ทีถึงจะรู้ที ถึงจะดูที นั่นแหละเขาเรียกว่า 'ทิ้งปัจจุบัน' ปัจจุบันคือทุกขณะลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
ช่วงฝึก สนใจ สังเกต ใหม่ๆ ทั้งอึดอัด ทั้งหายใจไม่คล่อง สารพัดอย่าง เดี๋ยวก็คิดเรื่องโน้นคิดเรื่องนี้ สารพัดอย่าง เราก็ต้องมาสร้างผู้รู้ให้เข้มแข็ง แล้วก็ไปอบรมใจของตัวเรา จนกว่าจะสังเกตการเกิด การดับ การเคลื่อนเข้าไปรวมกัน จนใจคลายออกจากขันธ์ห้า นั่นแหละท่านถึงเรียกว่า 'แยกรูปแยกนาม' เรียกว่า 'สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก'
ถ้าใจคลายออกเมื่อไหร่ ความเห็นถูกก็เปิดทางให้ แต่เวลานี้เราก็เห็นถูกอยู่ แต่เป็นการเห็นถูกอยู่ในระดับนึง ระดับของสมมติ คือใจยังเกิด ยังหลง ในส่วนลึก ใจยังเกิด ยังหลงอยู่ ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่รู้ ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่เห็น ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่เข้าใจ รู้ไม่ทันเราก็รู้จักหยุด รู้จักควบคุม รู้จักวิเคราะห์ ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ลมหายใจเข้าหายใจออก จะลุกจะก้าวจะเดิน จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ
ใจยังปกติ คำว่า 'ปกติ' เป็นอย่างไร การก่อตัว อาการเริ่มเกิดเป็นอย่างไร เหตุจากภายนอกทำให้เกิด หรือเกิดจากภายใน ทวารทำหน้าที่อย่างไร อะไรคือรูป อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม การเกิด การดับ
หลักของอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐเป็นอย่างไร ที่พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผย จำแนกแจกแจง ชี้แนะวิธีการแนวทางให้ ให้กับทุกคน เป็นสมบัติของทุกคน มีกันทุกคน แต่พวกเราเอากิเลสมาปกปิดดวงใจของเราเอาไว้เสียแล้ว เราต้องมาขัดเกลา กิเลส ความอยาก ความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยากทั้งไม่อยากนั่นแหละ ทั้งเกิดทั้งไม่เกิด ทั้งผลักไสทั้งดึงเข้ามา เพราะว่าใจของเรายังคลายไม่ได้ ใจของเราอยู่ในความเป็นกลางไม่ได้
เราจะแสวงหาตัวเรา มันก็ต้องเน้นลงอยู่ที่กายของเรา ฝึกกายของเรา ฝึกความขยันหมั่นเพียร บุคคลที่จะเข้าถึงความดับทุกข์ความหลุดพ้นได้ ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ มีความเสียสละเป็นเลิศ มีความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศละความเกียจคร้าน สร้างความขยัน ละความเกียจคร้าน
ถ้าให้ความเกียจคร้านเข้าครอบงำจาก 1 ครั้ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง ก็มากขึ้นๆๆๆ จนเป็นดินพอกหางหมู เราก็พยายามขัดเกลา ใจเกิดกิเลส เราก็พยายามขัดเกลากิเลส ให้ใจของเราเบาบางจากกิเลส
การพูดง่าย การลงมือการกระทำ อันนี้มันยาก เราก็ต้องพยายาม แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่แต่ละวันๆ จนกระทั่งทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออกนี่แหละ ท่านถึงเรียกว่า 'ปัจจุบันธรรม'
กิเลสมันก็ขัดเกลาเอาออกได้ยาก เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน วิญญาณ หรือว่าใจของเรา การเกิด การเกิดนั่นแหละคือความหลงอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด หลงอัตตาตัวตน หลงขันธ์ห้า หลง
ท่านถึงบอกว่า ให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในดวงวิญญาณ ให้รอบรู้ในกายของเรา ถ้าเราไม่แก้ไขเรา ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้หรอก นอกจากตัวของเราเอง จะไปฝึกหัดปฏิบัติที่โน่นที่นี่ ถ้าปฏิบัติไม่ถูกที่ถูกทาง ถ้าการขัดเกลากิเลสไม่มี การละกิเลสไม่มี มันก็เหมือนเดิม
แต่ละวันๆ เราต้องหัดสังเกต ก่อนที่จะพูด ก่อนที่จะคิด ก่อนที่จะลงมือ เราต้องดูที่ต้นเหตุ ต้นเหตุของความคิดซึ่งเป็นนามธรรม เขาเกิดได้ยังไง เขารวมกันได้ยังไง ต้นเหตุของรูปธรรม คือส่วนที่เรามองด้วยตาเนื้อ ส่วนที่มองเห็นด้วยตาปัญญา เราก็ต้องจำแนกแจกแจงออกให้รู้ ไม่ใช่ว่าจะไปพึ่งเฉพาะสิ่งภายนอกอย่างเดียว สิ่งภายนอกก็พึ่งได้อยู่ในระดับหนึ่ง ในระดับความสะดวกสบายของกาย ส่วนทางด้านจิตใจเราก็ต้องเจริญสติเข้าไปอบรม เข้าไปชี้เหตุชี้ผลอยู่ตลอดเวลา สนใจมองเห็นความเป็นจริง การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอาหรอก การเป็นทาสกิเลส อันนี้ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก เขาก็ไม่เอา
ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนลงที่หลักของไตรลักษณ์ หลักของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นมายาเท่านั้นเราก็ต้องพยายามรู้ด้วยปัญญา แก้ไขด้วยปัญญา อยู่ด้วยปัญญา ยืนเดินนั่งนอนก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ถ้าเราสอนเราไม่ได้ อย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอน นอกจากตัวของเรา
คนฉลาดเขาฟังนิดเดียวรู้นิดเดียวการเจริญสติเป็นอย่างนี้ การละกิเลสเป็นอย่างนี้ การอบรมใจ อันนี้คือใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างนี้ สติพลั้งเผลอเป็นอย่างนี้
เราจะเริ่มยังไง กายวิเวก ใจวิเวก ทุกอิริยาบถ หมั่นพร่ำสอนตัวเรา แก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งถึงเวลานี้ เดี๋ยวนี้ แม้แต่การจะขบจะฉัน จะรับประทานข้าวปลาอาหาร เราจำแนกแจกแจงได้แล้วหรือยัง ว่าความอยากเป็นอย่างไร ความหิวเป็นอย่างไร แยกความอยาก ความหิว ออกจากกันก่อนที่จะรับประทาน สติปัญญาเข้าไปวิเคราะห์พิจารณา นั่นแหละที่ท่านเรียกว่า 'ปฏิสังขาโย' ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้น อันนี้สมมติ อันนี้วิมุตติ อันนี้โลกธรรม โลกธรรมแปดเขาก็เป็นอยู่อย่างนี้
การดำเนินตามแนวทางอริยมรรค สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก เริ่มต้นในข้อแรกเป็นอย่างนี้ การขัดเกลากิเลส กิเลสของเราเบาบางลงได้เท่าไหร่ ตัวไหนยังเหลืออยู่ ตัวไหนไม่เหลือ ตัวไหนยังเกิดอยู่ เราก็พยายามแก้ไข แต่ไม่ค่อยจะสนใจกัน เพียงแค่การเจริญสตินี้ก็ยังยาก จะไปเอาธรรมขั้นสูง มันจะไปเอาได้ยังไง
เพียงแค่การรักษา สร้าง ให้มีให้เกิดขึ้น ก็ยังลำบากอยู่ จะไปเอาตั้งแต่ธรรม แต่การลงมือ การกระทำ การเจริญสติไม่รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ ไม่รู้จักเอาสติปัญญาไปอบรมใจของเรา จนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ จนไม่มีอะไรเหลือที่จะให้เราได้แก้ไขโน่นแหละ ถึงจะนั่งดู รู้อยู่ รักษากายไปสร้างประโยชน์ไปให้เกิดประโยชน์มากมาย ก็พยายามเอา
ชีวิตของคนเราในเมื่อได้เกิดมาแล้ว ทุกคนก็ปรารถนาหาทางดับทุกข์ เพื่อที่จะให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ก็อย่าไปปล่อยปละละเลย ให้มีความขยันหมั่นเพียรกัน แต่ละวันๆ ทุกขณะลมหายใจเข้าออกนั่นแหละ จนเป็นอัตโนมัติ
หลวงพ่อก็ขอขอบใจ ขอบคุณทุกคน ขอบใจเหล่ามนุษย์ที่มีกายเนื้อ ขอบใจเหล่าเทวดาที่มีกายทิพย์ ที่มาช่วยอนุเคราะห์สถานที่แห่งนี้ แล้วก็มาช่วยอนุเคราะห์ ช่วยหลวงพ่ออยู่ตลอดเวลา หลวงพ่อก็อาศัยอานิสงส์บุญของเหล่าผู้มีบุญ จากน้อยๆ ไปหามากๆ หลวงพ่อก็เป็นแค่เพียงสะพาน เป็นแค่เพียงสะพานทางผ่านพาทำ ให้กับทุกคนได้สร้างอานิสงส์ตรงนี้
เอาล่ะวันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆกัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 8 ตุลาคม 2563
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง หรือว่ามาสร้างผู้รู้ หรือว่าเจริญสติให้มีให้เกิดขึ้น แล้วก็ให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสีย อย่าปล่อยวันเวลาทิ้ง
พยายามแสวงหาเราให้เจอ หาใจของเรานั่นแหละ แต่เวลานี้ใจของเรายังเกิด ยังคิด ยังปรุง ยังแต่ง ยังหลง ยังยึดสารพัดอย่าง แต่เราก็ว่าเราไม่หลง เพราะว่าเรายังแยกไม่ได้ เจริญสติเอากำลังสติไปใช้การใช้งานไม่ได้ เราพยายามศึกษาชีวิตของเราขณะยังมีกำลังอยู่ พยายามสร้างอานิสงส์ สร้างบุญ สร้างตบะ สร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้น
แต่ละวันๆ ความขยันหมั่นเพียรของเรามี ความรับผิดชอบของเรามี ความเสียสละของเรามี ความอดทนอดกลั้นความอ่อนน้อมถ่อมตน ความแข็งกร้าวแข็งกระด้างเราก็รู้จักขัดเกลา รู้จักละ
กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเกิดขึ้นที่ใจ เกิดขึ้นที่กาย เราพยายามหมั่นวิเคราะห์ วิเคราะห์ตัวเรา วิเคราะห์ใจของเราอะไรคือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา คำว่า 'ปัจจุบันธรรม' ความรู้ตัว รู้ตัวคือรู้กาย รู้ลมหายใจเข้าออก ทุกลมหายใจเข้าออก อันนี้เขาเรียกว่า 'รู้กาย' ลึกลงไป ส่วนการเกิดการดับของใจ หรือว่าความคิดของเราเกิดๆ ดับๆ ตั้งแต่เช้ามาเขาเกิดสักกี่เที่ยว มีความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราสักกี่ครั้ง
อะไรคือตัว 'ใจ' ที่แท้จริง อะไรคือ 'อาการของใจ' ซึ่งเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ ทำไมใจของเราถึงไปหลงไปรวมเป็นเนื้อเดียว แล้วก็ไปด้วยกัน เราต้องมาเจริญผู้รู้ หรือว่ามาสร้างผู้รู้ ที่หลวงพ่อย้ำอยู่ทุกวันนี่แหละ คือการเจริญสติตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ รู้สัมผัสของลมหายใจเข้า หายใจออก เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าหายใจออก พวกเราก็ยังดูกันไม่ชำนาญ นานๆ ทีถึงจะรู้ที ถึงจะดูที นั่นแหละเขาเรียกว่า 'ทิ้งปัจจุบัน' ปัจจุบันคือทุกขณะลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
ช่วงฝึก สนใจ สังเกต ใหม่ๆ ทั้งอึดอัด ทั้งหายใจไม่คล่อง สารพัดอย่าง เดี๋ยวก็คิดเรื่องโน้นคิดเรื่องนี้ สารพัดอย่าง เราก็ต้องมาสร้างผู้รู้ให้เข้มแข็ง แล้วก็ไปอบรมใจของตัวเรา จนกว่าจะสังเกตการเกิด การดับ การเคลื่อนเข้าไปรวมกัน จนใจคลายออกจากขันธ์ห้า นั่นแหละท่านถึงเรียกว่า 'แยกรูปแยกนาม' เรียกว่า 'สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก'
ถ้าใจคลายออกเมื่อไหร่ ความเห็นถูกก็เปิดทางให้ แต่เวลานี้เราก็เห็นถูกอยู่ แต่เป็นการเห็นถูกอยู่ในระดับนึง ระดับของสมมติ คือใจยังเกิด ยังหลง ในส่วนลึก ใจยังเกิด ยังหลงอยู่ ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่รู้ ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่เห็น ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่เข้าใจ รู้ไม่ทันเราก็รู้จักหยุด รู้จักควบคุม รู้จักวิเคราะห์ ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ลมหายใจเข้าหายใจออก จะลุกจะก้าวจะเดิน จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ
ใจยังปกติ คำว่า 'ปกติ' เป็นอย่างไร การก่อตัว อาการเริ่มเกิดเป็นอย่างไร เหตุจากภายนอกทำให้เกิด หรือเกิดจากภายใน ทวารทำหน้าที่อย่างไร อะไรคือรูป อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม การเกิด การดับ
หลักของอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐเป็นอย่างไร ที่พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผย จำแนกแจกแจง ชี้แนะวิธีการแนวทางให้ ให้กับทุกคน เป็นสมบัติของทุกคน มีกันทุกคน แต่พวกเราเอากิเลสมาปกปิดดวงใจของเราเอาไว้เสียแล้ว เราต้องมาขัดเกลา กิเลส ความอยาก ความทะเยอทะยานอยาก ทั้งอยากทั้งไม่อยากนั่นแหละ ทั้งเกิดทั้งไม่เกิด ทั้งผลักไสทั้งดึงเข้ามา เพราะว่าใจของเรายังคลายไม่ได้ ใจของเราอยู่ในความเป็นกลางไม่ได้
เราจะแสวงหาตัวเรา มันก็ต้องเน้นลงอยู่ที่กายของเรา ฝึกกายของเรา ฝึกความขยันหมั่นเพียร บุคคลที่จะเข้าถึงความดับทุกข์ความหลุดพ้นได้ ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ มีความเสียสละเป็นเลิศ มีความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศละความเกียจคร้าน สร้างความขยัน ละความเกียจคร้าน
ถ้าให้ความเกียจคร้านเข้าครอบงำจาก 1 ครั้ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง ก็มากขึ้นๆๆๆ จนเป็นดินพอกหางหมู เราก็พยายามขัดเกลา ใจเกิดกิเลส เราก็พยายามขัดเกลากิเลส ให้ใจของเราเบาบางจากกิเลส
การพูดง่าย การลงมือการกระทำ อันนี้มันยาก เราก็ต้องพยายาม แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่แต่ละวันๆ จนกระทั่งทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออกนี่แหละ ท่านถึงเรียกว่า 'ปัจจุบันธรรม'
กิเลสมันก็ขัดเกลาเอาออกได้ยาก เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน วิญญาณ หรือว่าใจของเรา การเกิด การเกิดนั่นแหละคือความหลงอันละเอียดที่สุด ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด หลงอัตตาตัวตน หลงขันธ์ห้า หลง
ท่านถึงบอกว่า ให้รอบรู้ในกองสังขาร ให้รอบรู้ในดวงวิญญาณ ให้รอบรู้ในกายของเรา ถ้าเราไม่แก้ไขเรา ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้หรอก นอกจากตัวของเราเอง จะไปฝึกหัดปฏิบัติที่โน่นที่นี่ ถ้าปฏิบัติไม่ถูกที่ถูกทาง ถ้าการขัดเกลากิเลสไม่มี การละกิเลสไม่มี มันก็เหมือนเดิม
แต่ละวันๆ เราต้องหัดสังเกต ก่อนที่จะพูด ก่อนที่จะคิด ก่อนที่จะลงมือ เราต้องดูที่ต้นเหตุ ต้นเหตุของความคิดซึ่งเป็นนามธรรม เขาเกิดได้ยังไง เขารวมกันได้ยังไง ต้นเหตุของรูปธรรม คือส่วนที่เรามองด้วยตาเนื้อ ส่วนที่มองเห็นด้วยตาปัญญา เราก็ต้องจำแนกแจกแจงออกให้รู้ ไม่ใช่ว่าจะไปพึ่งเฉพาะสิ่งภายนอกอย่างเดียว สิ่งภายนอกก็พึ่งได้อยู่ในระดับหนึ่ง ในระดับความสะดวกสบายของกาย ส่วนทางด้านจิตใจเราก็ต้องเจริญสติเข้าไปอบรม เข้าไปชี้เหตุชี้ผลอยู่ตลอดเวลา สนใจมองเห็นความเป็นจริง การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอาหรอก การเป็นทาสกิเลส อันนี้ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก เขาก็ไม่เอา
ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนลงที่หลักของไตรลักษณ์ หลักของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นมายาเท่านั้นเราก็ต้องพยายามรู้ด้วยปัญญา แก้ไขด้วยปัญญา อยู่ด้วยปัญญา ยืนเดินนั่งนอนก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ถ้าเราสอนเราไม่ได้ อย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอน นอกจากตัวของเรา
คนฉลาดเขาฟังนิดเดียวรู้นิดเดียวการเจริญสติเป็นอย่างนี้ การละกิเลสเป็นอย่างนี้ การอบรมใจ อันนี้คือใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างนี้ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างนี้ สติพลั้งเผลอเป็นอย่างนี้
เราจะเริ่มยังไง กายวิเวก ใจวิเวก ทุกอิริยาบถ หมั่นพร่ำสอนตัวเรา แก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นจนกระทั่งถึงเวลานี้ เดี๋ยวนี้ แม้แต่การจะขบจะฉัน จะรับประทานข้าวปลาอาหาร เราจำแนกแจกแจงได้แล้วหรือยัง ว่าความอยากเป็นอย่างไร ความหิวเป็นอย่างไร แยกความอยาก ความหิว ออกจากกันก่อนที่จะรับประทาน สติปัญญาเข้าไปวิเคราะห์พิจารณา นั่นแหละที่ท่านเรียกว่า 'ปฏิสังขาโย' ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้น อันนี้สมมติ อันนี้วิมุตติ อันนี้โลกธรรม โลกธรรมแปดเขาก็เป็นอยู่อย่างนี้
การดำเนินตามแนวทางอริยมรรค สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก เริ่มต้นในข้อแรกเป็นอย่างนี้ การขัดเกลากิเลส กิเลสของเราเบาบางลงได้เท่าไหร่ ตัวไหนยังเหลืออยู่ ตัวไหนไม่เหลือ ตัวไหนยังเกิดอยู่ เราก็พยายามแก้ไข แต่ไม่ค่อยจะสนใจกัน เพียงแค่การเจริญสตินี้ก็ยังยาก จะไปเอาธรรมขั้นสูง มันจะไปเอาได้ยังไง
เพียงแค่การรักษา สร้าง ให้มีให้เกิดขึ้น ก็ยังลำบากอยู่ จะไปเอาตั้งแต่ธรรม แต่การลงมือ การกระทำ การเจริญสติไม่รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ ไม่รู้จักเอาสติปัญญาไปอบรมใจของเรา จนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ จนไม่มีอะไรเหลือที่จะให้เราได้แก้ไขโน่นแหละ ถึงจะนั่งดู รู้อยู่ รักษากายไปสร้างประโยชน์ไปให้เกิดประโยชน์มากมาย ก็พยายามเอา
ชีวิตของคนเราในเมื่อได้เกิดมาแล้ว ทุกคนก็ปรารถนาหาทางดับทุกข์ เพื่อที่จะให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ก็อย่าไปปล่อยปละละเลย ให้มีความขยันหมั่นเพียรกัน แต่ละวันๆ ทุกขณะลมหายใจเข้าออกนั่นแหละ จนเป็นอัตโนมัติ
หลวงพ่อก็ขอขอบใจ ขอบคุณทุกคน ขอบใจเหล่ามนุษย์ที่มีกายเนื้อ ขอบใจเหล่าเทวดาที่มีกายทิพย์ ที่มาช่วยอนุเคราะห์สถานที่แห่งนี้ แล้วก็มาช่วยอนุเคราะห์ ช่วยหลวงพ่ออยู่ตลอดเวลา หลวงพ่อก็อาศัยอานิสงส์บุญของเหล่าผู้มีบุญ จากน้อยๆ ไปหามากๆ หลวงพ่อก็เป็นแค่เพียงสะพาน เป็นแค่เพียงสะพานทางผ่านพาทำ ให้กับทุกคนได้สร้างอานิสงส์ตรงนี้
เอาล่ะวันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆกัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา