หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 78 วันที่ 10 สิงหาคม 2563 (2/2)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 78 วันที่ 10 สิงหาคม 2563 (2/2)
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 78
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ( 2 / 2)
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสลมหายใจของเรา ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาพอรู้ตัวปุ๊บ เราพยายามตั้งสติรู้กาย แล้วก็รู้ความปกติของใจ ทำให้เป็นกิจวัตรประจำวัน ทำให้เกิดความเคยชิน ทุกเวลาทุกลมหายใจเข้าออก หายใจยาวเป็นอย่างนี้ หายใจสั้นเป็นอย่างนี้ หายใจเป็นธรรมชาติเป็นอย่างนี้ ถ้าเราฝึกให้เกิดความเคยชินตรงนี้
ส่วนการเกิดของใจนั้นมีอยู่แล้ว การเกิดของขันธ์ห้ามีอยู่เดิม แต่เรามาสร้างผู้รู้ หรือว่ามาเจริญสติให้เข้มแข็งให้ต่อเนื่อง เพื่อที่จะรู้ทัน รู้ลักษณะของใจ รู้การเกิดการดับ การแยกการคลายการแยกได้ถึงจะมองเห็นหนทางถึงเรียกว่า ‘สัมมาทิฐิ’ ความเห็นถูก
เราอาจจะเห็นถูกอยู่ในระดับของสมมติ คิดดีทำดี การสร้างประโยชน์สร้างบุญสร้างกุศล ตรงนี้มีกันอยู่ แต่เราต้องให้รู้ลึกลงไปอีก รู้ลักษณะของใจ รู้การเกิดของใจ ใจปรุงแต่งส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร ความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิดเกิดขึ้นมา ใจของเราเคลื่อนไปรวมเป็นตัวเดียวได้อย่างไร ถ้าเรารู้ทันสองสิ่งนี้ตั้งแต่เกิด ใจก็จะดีดออกจากขันธ์ห้า มันจะมีอยู่เป็นสาม สติที่เราสร้างขึ้นมา แล้วก็ตัวใจแล้วก็อาการของใจ ทีนี้จะซอยลงไปอีก
ถ้าใจคลายออกจากขันธ์ห้าได้ มันก็จะเห็นเป็นกุศล อกุศล เป็นเรื่องอดีต เรื่องอนาคต สารพัดอย่าง อาการที่เขาเกิด แต่เราไม่เห็นตรงนั้น แต่เรารู้เพียงแค่ในภาพรวม มันก็เลยเดินปัญญาอะไรไม่ได้ มันก็ได้อยู่ระดับของสมมติ อะไรผิดถูกก็อยู่ระดับของสมมติ อันนี้ก็ยังดี อะไรควรละอะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน
ช่วงใหม่ๆ ถ้ายังแยกไม่ได้นี่จะเบื่อหน่ายไม่ค่อยจะสนใจ เพียงแค่เจริญสติก็ยังยาก ทำให้สติต่อเนื่องก็ยังยาก ถ้าเราหมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ หมั่นอบรม หมั่นแก้ไข ใจคลายออกจากขันธ์ห้าได้ ตามดู อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในกายได้จะสนุก ถ้ากิเลสตัวไหนจะมาหลอกเรา เราจะพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหน ใจเกิดกิเลสหยาบหรือกิเลสละเอียด มันจะเห็นชัดเจนทุกเรื่อง
ใจส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร เราพลั้งเผลอได้อย่างไร กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ถ้าแยกแยะได้เดี๋ยวจะสนุก อ่านหนังสือเล่มไหนก็เข้าใจ แล้วก็น้อมดูรู้ใจของเรา เอาเพิ่มปัญญาของเรา ถ้ายังแยกแยะไม่ได้ตามดูไม่ได้ เดี๋ยวไปอ่านอะไรมันก็ตีบตันไปหมดเลย เพราะไม่เข้าใจ ก็เลยเกิดความเบื่อหน่ายเพียงแค่ในระดับของสมมติ มันก็เลยปัญญาขั้นสูงก็ยังไม่เกิด
ถ้าเราแยกแยะได้ใหม่ๆ นี่จะฝืน ฝืนใจของเราฝืนขันธ์ห้าของเรา ทุกอย่างเลยทีเดียว ใจก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ขันธ์ห้าเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพราะเขาอยู่ด้วยกันมานาน เขาหลงมานาน เขาเกิดมานาน ส่วนใจนั่นหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ไม่ว่าอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ เขาหลง ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด
เรามาเจริญสติเข้าไปแยกแยะชี้เหตุชี้ผล ตามดูรู้ความเป็นจริง จนเกิดความเบื่อหน่ายนั่นแหละก็จะลงไตรลักษณ์ทุกอย่าง ก่อนที่เราจะเห็นไตรลักษณ์ได้ชัดเจน เพียงแค่กำลังสติก็ยังมีไม่เพียงพอ มันก็ยากอยู่ นอกจากบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรเจริญสติลงที่กายให้ต่อเนื่อง ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ หมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกต ชี้เหตุชี้ผลได้ เราจะสนุก อยู่คนเดียวก็สนุก
กิเลสตัวไหนมาหลอกเรา เราเผลอให้เขาไหม เผลอแล้วเริ่มใหม่แก้ไขใหม่ พลั้งเผลอแล้วเริ่มใหม่ น้อยใจตัวเอง อย่าแพ้ให้กับกิเลส กิเลสก็มีหลายอย่าง กิเลสหยาบกิเลสละเอียด จนกระทั่งถึงมลทินต่างๆ มันทุกเรื่องเลยในกายของเรานี่ สติของเราต้องรอบรู้ ท่านถึงบอกว่าต้องรอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในวิญญาณ รอบรู้ในอริยสัจความจริงอันประเสริฐที่มีอยู่ ละบาปสร้างบุญทำใจให้บริสุทธิ์ นี่แหละคือหัวใจของศาสนา
เพียงแค่การพูด การเกิด การได้ยินได้ฟัง เราต้องรอบรู้ ใหม่ๆ จะไหลไปหมด ไหลไปกับโลกเพราะว่าใจของเรายังเกิด ยังวิ่งยังหลงยังยึด ถ้าเจริญสติให้ต่อเนื่อง เราก็รู้ว่าเราไม่มีสติความรู้ตัวเลย แต่เป็นปัญญาแบบโลกๆ เก่าๆ ถ้าเรามาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง จากนาที เป็นสองนาที เป็นห้า เป็นสิบ เป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี จนแยกแยะได้ จนเป็นอัตโนมัติ
ถ้าแยกแยะได้ล่ะตามดูรู้เห็นทุกอย่างได้ ค้นคว้าเราก็ละออกให้มันหมด อันนี้สำหรับบุคคลที่มีความพร้อม ที่จะต้องการสิ่งนี้ ถ้าบุคคลที่ยังไม่พร้อมอย่างน้อยๆ ก็ให้อยู่ในกองบุญ มีความขยันระดับสมมติ ทำความเข้าใจอยู่ในบุญระดับสมมติให้ได้เสียก่อน บารมีตรงนั้นให้เต็มเสียก่อน ถ้ามีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำละแย่ เป็นดินพอกหางหมู มีแต่จะตกอับไปเรื่อยๆ
ถ้าเรามีกำลังสติวิเคราะห์แก้ไขมันรู้ความจริงแล้ว ไม่อยากจะละก็ต้องละ ไม่อยากจะปล่อยวางก็ต้องปล่อยวาง แม้แต่การเกิดของใจ การเกิดก็เป็นทุกข์ ใจของเราก็ไม่เกิด เราก็วางใจให้เป็นอิสรภาพ มันพูดง่ายนะสำหรับบุคคลที่เข้าใจ
แต่หลักการปฏิบัติจริงๆ แล้วหนัก ทุกวันทุกเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก ทั้งภายนอกทั้งภายในจนกว่าเราจะอยู่เหนือตรงนี้ได้มันถึง จะเบา จะโล่ง จะโปร่ง ถึงจะเป็นอิสรภาพ ใจก็อิสระภาพจากการเกิด อิสรภาพจากขันธ์ห้า อิสรภาพจากกิเลสต่างๆ
แต่เวลานี้มันวิ่งหา วิ่งหาทุกอย่าง มันก็การเกิดนั่นแหละ ความวิ่งหาการเกิดของใจนั่นแหละ มันก็ปิดกั้นตัวใจเอาไว้ บุคคลที่เบาบางจากกิเลสมันก็ไปได้ง่าย บุคคลที่ไม่รู้จักพิจารณาก็จะสะสมกิเลสไปเรื่อยๆ แทนที่จะถึงจุดหมายได้เร็วกลับหนักกว่าเก่าเสียอีก ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย
แต่เวลานี้กำลังสติมีสักห้านาทีก็ยังไม่มี บางคนก็ไม่รู้เลยก็มี ว่าสติปัจจุบันเป็นยังไง ทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออกเป็นยังไง อบรมใจตัวเองเป็นยังไง มีตั้งแต่อำนาจของใจ อำนาจของกิเลสวิ่งหาอย่างเดียว ไขว่ขว้าอย่างเดียว ทั้งอยาก ทั้งหวัง ทั้งยึดสารพัดอย่าง ก็พยายามค่อยแก้ไขตัวเราไปนะ
ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ ทั้งพร ะทั้งโยม ทั้งชีนั่นแหละ อย่าไปเกี่ยงงอนกันเป็นเรื่องของเรา เป็นเรื่องของเราทุกคน อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย กายเนื้อถึงเวลาเขาก็ต้องแตกต้องดับ เรามาดับความเกิดตัววิญญาณ คลายความหลงจากขันธ์ห้า ละกิเลสจากตัววิญญาณหรือตัวใจให้ได้หมดจด มองเห็นหนทางเดิน เราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
หลวงพ่อก็เล่าเรื่องเก่านี่แหละ มาร่วมสามสิบปีก็เรื่องเดิมนี่แหละ สิ่งเดิมๆ นี่แหละ แต่พวกท่านยังเข้าไม่ถึง จะเอาแต่ธรรมแต่ไม่รู้จักทำ ฝึกสติไม่รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ มันก็เลยไม่รู้เรื่อง ก็เลยรู้เรื่องเฉพาะบุคคลที่ตั้งใจจริงๆ ทำได้จริงๆ เวลาจะขบแต่ฉันก็จำแนกแจกแจง ใครหิวหรือใจอยาก ตรงนี้แหละสำคัญ ละความอยาก ละความโกรธ ละความกลัวออกไปให้มันหมด ละความคิด ละอารมณ์ต่างๆ อย่าไปเสียดายอาลัยอาวรณ์มัน เอาทรัพย์มันสูงโน้น คือความบริสุทธิ์ของใจเนี่ยเป็นเครื่องอยู่
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสรรค์ต่อ ทำความเข้าใจให้รู้เรื่องชีวิตของเรา
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ( 2 / 2)
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสลมหายใจของเรา ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาพอรู้ตัวปุ๊บ เราพยายามตั้งสติรู้กาย แล้วก็รู้ความปกติของใจ ทำให้เป็นกิจวัตรประจำวัน ทำให้เกิดความเคยชิน ทุกเวลาทุกลมหายใจเข้าออก หายใจยาวเป็นอย่างนี้ หายใจสั้นเป็นอย่างนี้ หายใจเป็นธรรมชาติเป็นอย่างนี้ ถ้าเราฝึกให้เกิดความเคยชินตรงนี้
ส่วนการเกิดของใจนั้นมีอยู่แล้ว การเกิดของขันธ์ห้ามีอยู่เดิม แต่เรามาสร้างผู้รู้ หรือว่ามาเจริญสติให้เข้มแข็งให้ต่อเนื่อง เพื่อที่จะรู้ทัน รู้ลักษณะของใจ รู้การเกิดการดับ การแยกการคลายการแยกได้ถึงจะมองเห็นหนทางถึงเรียกว่า ‘สัมมาทิฐิ’ ความเห็นถูก
เราอาจจะเห็นถูกอยู่ในระดับของสมมติ คิดดีทำดี การสร้างประโยชน์สร้างบุญสร้างกุศล ตรงนี้มีกันอยู่ แต่เราต้องให้รู้ลึกลงไปอีก รู้ลักษณะของใจ รู้การเกิดของใจ ใจปรุงแต่งส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร ความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิดเกิดขึ้นมา ใจของเราเคลื่อนไปรวมเป็นตัวเดียวได้อย่างไร ถ้าเรารู้ทันสองสิ่งนี้ตั้งแต่เกิด ใจก็จะดีดออกจากขันธ์ห้า มันจะมีอยู่เป็นสาม สติที่เราสร้างขึ้นมา แล้วก็ตัวใจแล้วก็อาการของใจ ทีนี้จะซอยลงไปอีก
ถ้าใจคลายออกจากขันธ์ห้าได้ มันก็จะเห็นเป็นกุศล อกุศล เป็นเรื่องอดีต เรื่องอนาคต สารพัดอย่าง อาการที่เขาเกิด แต่เราไม่เห็นตรงนั้น แต่เรารู้เพียงแค่ในภาพรวม มันก็เลยเดินปัญญาอะไรไม่ได้ มันก็ได้อยู่ระดับของสมมติ อะไรผิดถูกก็อยู่ระดับของสมมติ อันนี้ก็ยังดี อะไรควรละอะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน
ช่วงใหม่ๆ ถ้ายังแยกไม่ได้นี่จะเบื่อหน่ายไม่ค่อยจะสนใจ เพียงแค่เจริญสติก็ยังยาก ทำให้สติต่อเนื่องก็ยังยาก ถ้าเราหมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ หมั่นอบรม หมั่นแก้ไข ใจคลายออกจากขันธ์ห้าได้ ตามดู อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในกายได้จะสนุก ถ้ากิเลสตัวไหนจะมาหลอกเรา เราจะพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหน ใจเกิดกิเลสหยาบหรือกิเลสละเอียด มันจะเห็นชัดเจนทุกเรื่อง
ใจส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร เราพลั้งเผลอได้อย่างไร กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ถ้าแยกแยะได้เดี๋ยวจะสนุก อ่านหนังสือเล่มไหนก็เข้าใจ แล้วก็น้อมดูรู้ใจของเรา เอาเพิ่มปัญญาของเรา ถ้ายังแยกแยะไม่ได้ตามดูไม่ได้ เดี๋ยวไปอ่านอะไรมันก็ตีบตันไปหมดเลย เพราะไม่เข้าใจ ก็เลยเกิดความเบื่อหน่ายเพียงแค่ในระดับของสมมติ มันก็เลยปัญญาขั้นสูงก็ยังไม่เกิด
ถ้าเราแยกแยะได้ใหม่ๆ นี่จะฝืน ฝืนใจของเราฝืนขันธ์ห้าของเรา ทุกอย่างเลยทีเดียว ใจก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ขันธ์ห้าเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพราะเขาอยู่ด้วยกันมานาน เขาหลงมานาน เขาเกิดมานาน ส่วนใจนั่นหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด ไม่ว่าอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ เขาหลง ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด
เรามาเจริญสติเข้าไปแยกแยะชี้เหตุชี้ผล ตามดูรู้ความเป็นจริง จนเกิดความเบื่อหน่ายนั่นแหละก็จะลงไตรลักษณ์ทุกอย่าง ก่อนที่เราจะเห็นไตรลักษณ์ได้ชัดเจน เพียงแค่กำลังสติก็ยังมีไม่เพียงพอ มันก็ยากอยู่ นอกจากบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรเจริญสติลงที่กายให้ต่อเนื่อง ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ หมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกต ชี้เหตุชี้ผลได้ เราจะสนุก อยู่คนเดียวก็สนุก
กิเลสตัวไหนมาหลอกเรา เราเผลอให้เขาไหม เผลอแล้วเริ่มใหม่แก้ไขใหม่ พลั้งเผลอแล้วเริ่มใหม่ น้อยใจตัวเอง อย่าแพ้ให้กับกิเลส กิเลสก็มีหลายอย่าง กิเลสหยาบกิเลสละเอียด จนกระทั่งถึงมลทินต่างๆ มันทุกเรื่องเลยในกายของเรานี่ สติของเราต้องรอบรู้ ท่านถึงบอกว่าต้องรอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในวิญญาณ รอบรู้ในอริยสัจความจริงอันประเสริฐที่มีอยู่ ละบาปสร้างบุญทำใจให้บริสุทธิ์ นี่แหละคือหัวใจของศาสนา
เพียงแค่การพูด การเกิด การได้ยินได้ฟัง เราต้องรอบรู้ ใหม่ๆ จะไหลไปหมด ไหลไปกับโลกเพราะว่าใจของเรายังเกิด ยังวิ่งยังหลงยังยึด ถ้าเจริญสติให้ต่อเนื่อง เราก็รู้ว่าเราไม่มีสติความรู้ตัวเลย แต่เป็นปัญญาแบบโลกๆ เก่าๆ ถ้าเรามาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง จากนาที เป็นสองนาที เป็นห้า เป็นสิบ เป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี จนแยกแยะได้ จนเป็นอัตโนมัติ
ถ้าแยกแยะได้ล่ะตามดูรู้เห็นทุกอย่างได้ ค้นคว้าเราก็ละออกให้มันหมด อันนี้สำหรับบุคคลที่มีความพร้อม ที่จะต้องการสิ่งนี้ ถ้าบุคคลที่ยังไม่พร้อมอย่างน้อยๆ ก็ให้อยู่ในกองบุญ มีความขยันระดับสมมติ ทำความเข้าใจอยู่ในบุญระดับสมมติให้ได้เสียก่อน บารมีตรงนั้นให้เต็มเสียก่อน ถ้ามีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำละแย่ เป็นดินพอกหางหมู มีแต่จะตกอับไปเรื่อยๆ
ถ้าเรามีกำลังสติวิเคราะห์แก้ไขมันรู้ความจริงแล้ว ไม่อยากจะละก็ต้องละ ไม่อยากจะปล่อยวางก็ต้องปล่อยวาง แม้แต่การเกิดของใจ การเกิดก็เป็นทุกข์ ใจของเราก็ไม่เกิด เราก็วางใจให้เป็นอิสรภาพ มันพูดง่ายนะสำหรับบุคคลที่เข้าใจ
แต่หลักการปฏิบัติจริงๆ แล้วหนัก ทุกวันทุกเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก ทั้งภายนอกทั้งภายในจนกว่าเราจะอยู่เหนือตรงนี้ได้มันถึง จะเบา จะโล่ง จะโปร่ง ถึงจะเป็นอิสรภาพ ใจก็อิสระภาพจากการเกิด อิสรภาพจากขันธ์ห้า อิสรภาพจากกิเลสต่างๆ
แต่เวลานี้มันวิ่งหา วิ่งหาทุกอย่าง มันก็การเกิดนั่นแหละ ความวิ่งหาการเกิดของใจนั่นแหละ มันก็ปิดกั้นตัวใจเอาไว้ บุคคลที่เบาบางจากกิเลสมันก็ไปได้ง่าย บุคคลที่ไม่รู้จักพิจารณาก็จะสะสมกิเลสไปเรื่อยๆ แทนที่จะถึงจุดหมายได้เร็วกลับหนักกว่าเก่าเสียอีก ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย
แต่เวลานี้กำลังสติมีสักห้านาทีก็ยังไม่มี บางคนก็ไม่รู้เลยก็มี ว่าสติปัจจุบันเป็นยังไง ทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออกเป็นยังไง อบรมใจตัวเองเป็นยังไง มีตั้งแต่อำนาจของใจ อำนาจของกิเลสวิ่งหาอย่างเดียว ไขว่ขว้าอย่างเดียว ทั้งอยาก ทั้งหวัง ทั้งยึดสารพัดอย่าง ก็พยายามค่อยแก้ไขตัวเราไปนะ
ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ ทั้งพร ะทั้งโยม ทั้งชีนั่นแหละ อย่าไปเกี่ยงงอนกันเป็นเรื่องของเรา เป็นเรื่องของเราทุกคน อีกสักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย กายเนื้อถึงเวลาเขาก็ต้องแตกต้องดับ เรามาดับความเกิดตัววิญญาณ คลายความหลงจากขันธ์ห้า ละกิเลสจากตัววิญญาณหรือตัวใจให้ได้หมดจด มองเห็นหนทางเดิน เราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
หลวงพ่อก็เล่าเรื่องเก่านี่แหละ มาร่วมสามสิบปีก็เรื่องเดิมนี่แหละ สิ่งเดิมๆ นี่แหละ แต่พวกท่านยังเข้าไม่ถึง จะเอาแต่ธรรมแต่ไม่รู้จักทำ ฝึกสติไม่รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ มันก็เลยไม่รู้เรื่อง ก็เลยรู้เรื่องเฉพาะบุคคลที่ตั้งใจจริงๆ ทำได้จริงๆ เวลาจะขบแต่ฉันก็จำแนกแจกแจง ใครหิวหรือใจอยาก ตรงนี้แหละสำคัญ ละความอยาก ละความโกรธ ละความกลัวออกไปให้มันหมด ละความคิด ละอารมณ์ต่างๆ อย่าไปเสียดายอาลัยอาวรณ์มัน เอาทรัพย์มันสูงโน้น คือความบริสุทธิ์ของใจเนี่ยเป็นเครื่องอยู่
เอาล่ะวันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสรรค์ต่อ ทำความเข้าใจให้รู้เรื่องชีวิตของเรา