หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 59 วันที่ 6 กรกฎาคม 2563
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 59 วันที่ 6 กรกฎาคม 2563
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 59
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 6 กรกฎาคม 2563
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเราให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาพวกเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้พระธรรมเทศนาโดย ายังก็เริ่มเสียนะ เพราะว่าการเจริญสติเพื่อที่จะเข้าไปอบรมใจ รู้เท่ารู้ทันรู้จักแก้ไขชีวิตของเรา ส่วนการสร้างตบะสร้างบารมี การทำบุญ การให้ทาน ความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยตรงนี้มีอยู่การทำบุญถวายทานทางด้านวัตถุทานต่างๆ นี้มีอยู่ การควบคุมใจอาจจะควบคุมได้เป็นบางครั้งบางคราว แต่การสังเกต การวิเคราะห์ การเดินปัญญา ใจคลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่าแยกรูปแยกนาม ตรงนี้ไม่ค่อยจะทันกันเท่าไหร่คิดก็รู้ ทำก็รู้ ก็รู้อยู่ในระดับของสมมติ ผิดถูกก็แก้ไขอยู่ในระดับของสมมติ
ในหลักธรรมแล้วเราต้องรู้ให้ลึกว่าความไม่เที่ยง ความว่างเปล่า ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่เป็นมายาไม่มีตัวมีตน แต่พวกเราไปมั่นหมายว่ามีตัวมีตน ก็เลยเข้าไม่ถึงความเป็นจริง ในหลักธรรมพระพุทธองค์ท่านมองเห็นเป็นความว่างความไม่เที่ยง ไม่เที่ยงสักอย่าง กายก็ไม่เที่ยง ใจก็ไม่เที่ยง
ความเกิด ความดับ ความเกิดความดับ ความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป นั่นหละคือความไม่เที่ยง แต่เราก็มองเห็นด้วยตาเนื้อว่าเป็นตัวเป็นตนของเราจริงๆ แต่พระพุทธองค์ให้มองด้วยตาปัญญาด้วย ด้วยการเจริญสติ การสร้างความรู้ตัวหรือว่ามาสร้างผู้รู้ให้มีให้เกิดขึ้นที่กายของเรา แล้วก็เพื่อเอาไปอบรมใจของเรา ควบคุมใจของเรา จนชี้เหตุชี้ผลจนใจคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเป็นส่วนนามธรรมด้วยกัน
ท่านถึงบอกว่าสัมมาทิฐิ ความเห็นถูก เห็นการแยกการคลาย เห็นการเกิดการดับ รู้เรื่องไตรลักษณ์ รู้เรื่องความว่างในกายของเราที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ แต่เรามองไม่เห็นเป็นกองเป็นขันธ์เหมือนกับท่านมอง เรามองเป็นตัวเป็นตนเป็นกลุ่มเป็นก้อน คิดก็รู้ ทำก็รู้ ก็ทำตามความคิด ความคิดที่เกิดจากตัวใจหรือเกิดจากตัววิญญาณของเราอันนั้นแหละยังหลงอยู่
ความเกิดนั้นแหละคือความหลงถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เกิดทางด้านรูปธรรมพวกเราก็เกิดมาแล้ว เกิดทางด้านจิตวิญญาณเค้าก็เกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา แต่กำลังสติของเรามีไม่เพียงพอ ก็เลยอบรมใจไม่ได้ วิเคราะห์ใจไม่ได้ ก็เลยไปตามอำนาจของอารมณ์ ตามอำนาจของกิเลส เรามีความเพียรไม่เพียงพอก็เลยไม่เห็น ก็ต้องพยายาม
บุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ เจริญสติเป็นเลิศ ละกิเลสเป็นเลิศเป็นเรื่องของเราทุกคนไม่ใช่เรื่องของคนอื่น เป็นเรื่องของตัวเราที่จะต้องแก้ไขปรับปรุง ชีวิตของเราจะดำเนินอย่างไร จะอยู่อย่างไร ไปอย่างไร มาอย่างไร สมมติพวกเรามาอาศัยกันได้ แต่วิมุตติทางด้านจิตใจแล้วก็ ตนต้องเป็นที่พึ่งของตน ตนตัวแรกคือสติที่เราสร้างขึ้นมา ที่หลวงพ่อพูดย้ำอยู่ทุกวันทุกเช้า การเจริญสติและก็เอาสติไปใช้ ไปควบคุมใจ อบรมใจ ใหม่ๆ ก็อาจจะฝืน ท่านถึงบอกว่าเป็นการทวนกระแสกิเลส ถ้าเราเข้าใจแล้วใจของเราก็จะตกกระแสธรรม เราจะละกิเลสได้หมดจดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา การสร้างตบะบารมีส่วนอื่น การทำบุญให้ทาน ตรงนี้มีกันอยู่ ศรัทธาความเชื่อมั่น เชื่อบุญ เชื่อบาป เชื่อกรรม ตรงนี้มีอยู่
แต่เราไม่รู้เรื่องไตรลักษณ์ รู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในกายของเรา แล้วก็รู้การขัดเกลากิเลสหยาบกิเลสละเอียดอีกทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในกายของเราหมด กายของเรานี่แหละ คือสนามรบอันยิ่งใหญ่ ถ้าเรามีความเพียรเพียงพอก็จะเห็นเยอะ ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเข้าใจรู้ความจริงแล้วก็ค่อยขัดเกลาเอาออก จนกลับคืนสู่สภาวะเดิม คือความบริสุทธิ์
ใจของทุกคนนั้นบริสุทธิ์อยู่เดิม ความไม่เข้าใจถึงเอากิเลสเข้ามาปกปิดเอาไว้ แล้วก็เอาความเกิดมาปกปิดเอาไว้ ถ้าบุคคลใดมารู้ความลับตรงนี้ไม่เอาหรอก ความเกิดก็ไม่เอา การเกิดเป็นทุกข์ก็ไม่เอา การเป็นทาสของกิเลสก็ไม่เอา จะเอา จะมี จะเป็นก็เป็นเรื่องของสติเรื่องของปัญญา บริหารกายของเรา บริหารสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุขจนกว่าจะหมดลมหายใจ
แต่เวลานี้กำลังสติมีน้อย สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปศึกษาทำความเข้าใจ ให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 6 กรกฎาคม 2563
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเราให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาพวกเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้พระธรรมเทศนาโดย ายังก็เริ่มเสียนะ เพราะว่าการเจริญสติเพื่อที่จะเข้าไปอบรมใจ รู้เท่ารู้ทันรู้จักแก้ไขชีวิตของเรา ส่วนการสร้างตบะสร้างบารมี การทำบุญ การให้ทาน ความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยตรงนี้มีอยู่การทำบุญถวายทานทางด้านวัตถุทานต่างๆ นี้มีอยู่ การควบคุมใจอาจจะควบคุมได้เป็นบางครั้งบางคราว แต่การสังเกต การวิเคราะห์ การเดินปัญญา ใจคลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่าแยกรูปแยกนาม ตรงนี้ไม่ค่อยจะทันกันเท่าไหร่คิดก็รู้ ทำก็รู้ ก็รู้อยู่ในระดับของสมมติ ผิดถูกก็แก้ไขอยู่ในระดับของสมมติ
ในหลักธรรมแล้วเราต้องรู้ให้ลึกว่าความไม่เที่ยง ความว่างเปล่า ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่เป็นมายาไม่มีตัวมีตน แต่พวกเราไปมั่นหมายว่ามีตัวมีตน ก็เลยเข้าไม่ถึงความเป็นจริง ในหลักธรรมพระพุทธองค์ท่านมองเห็นเป็นความว่างความไม่เที่ยง ไม่เที่ยงสักอย่าง กายก็ไม่เที่ยง ใจก็ไม่เที่ยง
ความเกิด ความดับ ความเกิดความดับ ความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป นั่นหละคือความไม่เที่ยง แต่เราก็มองเห็นด้วยตาเนื้อว่าเป็นตัวเป็นตนของเราจริงๆ แต่พระพุทธองค์ให้มองด้วยตาปัญญาด้วย ด้วยการเจริญสติ การสร้างความรู้ตัวหรือว่ามาสร้างผู้รู้ให้มีให้เกิดขึ้นที่กายของเรา แล้วก็เพื่อเอาไปอบรมใจของเรา ควบคุมใจของเรา จนชี้เหตุชี้ผลจนใจคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเป็นส่วนนามธรรมด้วยกัน
ท่านถึงบอกว่าสัมมาทิฐิ ความเห็นถูก เห็นการแยกการคลาย เห็นการเกิดการดับ รู้เรื่องไตรลักษณ์ รู้เรื่องความว่างในกายของเราที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ แต่เรามองไม่เห็นเป็นกองเป็นขันธ์เหมือนกับท่านมอง เรามองเป็นตัวเป็นตนเป็นกลุ่มเป็นก้อน คิดก็รู้ ทำก็รู้ ก็ทำตามความคิด ความคิดที่เกิดจากตัวใจหรือเกิดจากตัววิญญาณของเราอันนั้นแหละยังหลงอยู่
ความเกิดนั้นแหละคือความหลงถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เกิดทางด้านรูปธรรมพวกเราก็เกิดมาแล้ว เกิดทางด้านจิตวิญญาณเค้าก็เกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา แต่กำลังสติของเรามีไม่เพียงพอ ก็เลยอบรมใจไม่ได้ วิเคราะห์ใจไม่ได้ ก็เลยไปตามอำนาจของอารมณ์ ตามอำนาจของกิเลส เรามีความเพียรไม่เพียงพอก็เลยไม่เห็น ก็ต้องพยายาม
บุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ เจริญสติเป็นเลิศ ละกิเลสเป็นเลิศเป็นเรื่องของเราทุกคนไม่ใช่เรื่องของคนอื่น เป็นเรื่องของตัวเราที่จะต้องแก้ไขปรับปรุง ชีวิตของเราจะดำเนินอย่างไร จะอยู่อย่างไร ไปอย่างไร มาอย่างไร สมมติพวกเรามาอาศัยกันได้ แต่วิมุตติทางด้านจิตใจแล้วก็ ตนต้องเป็นที่พึ่งของตน ตนตัวแรกคือสติที่เราสร้างขึ้นมา ที่หลวงพ่อพูดย้ำอยู่ทุกวันทุกเช้า การเจริญสติและก็เอาสติไปใช้ ไปควบคุมใจ อบรมใจ ใหม่ๆ ก็อาจจะฝืน ท่านถึงบอกว่าเป็นการทวนกระแสกิเลส ถ้าเราเข้าใจแล้วใจของเราก็จะตกกระแสธรรม เราจะละกิเลสได้หมดจดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา การสร้างตบะบารมีส่วนอื่น การทำบุญให้ทาน ตรงนี้มีกันอยู่ ศรัทธาความเชื่อมั่น เชื่อบุญ เชื่อบาป เชื่อกรรม ตรงนี้มีอยู่
แต่เราไม่รู้เรื่องไตรลักษณ์ รู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในกายของเรา แล้วก็รู้การขัดเกลากิเลสหยาบกิเลสละเอียดอีกทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในกายของเราหมด กายของเรานี่แหละ คือสนามรบอันยิ่งใหญ่ ถ้าเรามีความเพียรเพียงพอก็จะเห็นเยอะ ยิ่งฝึกไปเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำความเข้าใจรู้ความจริงแล้วก็ค่อยขัดเกลาเอาออก จนกลับคืนสู่สภาวะเดิม คือความบริสุทธิ์
ใจของทุกคนนั้นบริสุทธิ์อยู่เดิม ความไม่เข้าใจถึงเอากิเลสเข้ามาปกปิดเอาไว้ แล้วก็เอาความเกิดมาปกปิดเอาไว้ ถ้าบุคคลใดมารู้ความลับตรงนี้ไม่เอาหรอก ความเกิดก็ไม่เอา การเกิดเป็นทุกข์ก็ไม่เอา การเป็นทาสของกิเลสก็ไม่เอา จะเอา จะมี จะเป็นก็เป็นเรื่องของสติเรื่องของปัญญา บริหารกายของเรา บริหารสมมติของเราให้อยู่ดีมีความสุขจนกว่าจะหมดลมหายใจ
แต่เวลานี้กำลังสติมีน้อย สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปศึกษาทำความเข้าใจ ให้รู้ทุกอิริยาบถ