หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 46 วันที่ 5 มิถุนายน 2563

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 46 วันที่ 5 มิถุนายน 2563
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 46 วันที่ 5 มิถุนายน 2563
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 46
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 5 มิถุนายน 2563

พากันไหว้พระ สมาทานศีลกันก่อนนะ… ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ได้ลุกจากที่ พวกท่านได้สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่ม

หลวงพ่อก็บอกก็กล่าว เตือน เตือนทุกวัน เตือนเรื่องเก่าของเก่านี่แหละ แต่พวกเราไม่ค่อยจะสนใจ อาจจะสนใจได้เป็นบางช่วง บางครั้งบางคราว ไม่ค่อยจะสนใจที่จะศึกษาให้ต่อเนื่อง

การสร้างความรู้ตัว การหายใจเข้าออกของคำว่า 'สติระลึกรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน' ทุกขณะลมหายใจเข้าหายใจออกเป็นอย่างไร การเอาสติไปใช้เป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าฝึก ไม่รู้จักเอาสติไปใช้ เราก็จะไม่เข้าใจในความหมายของการฝึก

การเจริญสติ ก็เพื่อที่จะเอาไปอบรมใจของเรา แต่เวลานี้กำลังสติของเรามีน้อยความคิดเก่าๆ ที่เกิดจากใจ หรือว่าวิญญาณในกายของเรา หรือว่าความคิดอาการของขันธ์ห้าซึ่งมีอยู่ในกายของเราซึ่งเป็นส่วนนามธรรม เขาเกิดๆ ดับๆอยู่อย่างนั้นแหละ เขาหลง ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เขาหลงมาหลายชั้น หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดอยู่ในภพมนุษย์ จนกระทั่งมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้า ส่วนรูปส่วนนาม

ทีนี้ท่านก็ให้มาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ ไปวิเคราะห์หาเหตุหาผล จนใจคลายออกจากความยึดมั่นถือมั่นจากส่วนนามธรรมด้วยกัน ใจหงายใจคลาย เขาเรียกว่า ‘วิปัสสนา-ความเห็นถูกเปิดทาง’ ถ้ายังแยกไม่ได้ ความรู้แจ้งเห็นจริงก็เปิดทางไม่ได้ ถ้าแยกได้หงายขึ้นมาได้ ถ้าขาดการตามทำความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผล เขาก็รวมกันอีกเหมือนเดิม

หลายสิ่งหลายอย่างที่ปกปิดดวงใจของเราเอาไว้ ตามสภาพเดิมนั้น ใจของทุกคนนั้นสะอาดอยู่แล้ว บริสุทธิ์อยู่แล้วความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ ความหลง เรารู้อยู่ระดับสมมติ แต่ไม่รู้อยู่ในระดับของวิมุตติ คือการแยกการคลาย การตามเห็นการเกิดการดับ รู้เรื่อง รู้เรื่องวิญญาณในกายของเรา รู้เรื่องอนิจจังทุกขัง อนัตตา ในกายในขันธ์ห้าของเรา เห็นความไม่เที่ยง เห็นเป็นกองเป็นขันธ์แต่พวกเรามองเห็นเป็นก้อน ก็ผิดก็ผิดทั้งก้อน ถูกก็ถูกทั้งก้อน แต่ถูกในหลักธรรมจริงๆใจต้องคลายออกจากขันธ์ห้า ตามดูรู้เห็น แล้วละกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ซึ่งมีกันหมดทุกคนนั่นแหละ

ไม่มีใครที่ปรารถนาความทุกข์ อยากได้ความทุกข์ มีตั้งแต่อยากจะได้ความสุข ในหลักธรรมแล้ว ทั้งทุกข์ทั้งสุขก็มีค่าเท่ากัน ถ้าใจของเราไม่อยู่ในความเป็นกลางไม่อยู่ในความว่าง ก่อนที่จะถึงความเป็นกลางความว่างได้ก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย เราต้องมีความเพียรหมั่นวิเคราะห์ หมั่นสำรวจ หมั่นทำความเข้าใจ

แต่ละวันตื่นขึ้นมา เรามีความขยันหมั่นเพียรเพียงพอหรือไม่ เรามีพรหมวิหาร มีความเมตตา มีความอ่อนน้อมถ่อมตนมีความกตัญญูกตเวที มีความละอาย มีความกล้าหาญ ทำให้มันถึงจุดหมายปลายทางให้ได้ ไม่เข้าใจวันนี้เราก็ต้องมีเพิ่มความเพียรเป็นทวีคูณ ไม่เข้าใจวันนี้วันพรุ่งนี้เราก็ต้องเข้าใจ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ปรับปรุงตัวเราใหม่

ทรัพย์อันนี้เป็นทรัพย์ของทุกคนที่จะต้องเข้าถึง ไม่เข้าถึงวันนี้ก็ต้องเข้าถึงวันพรุ่งนี้ ตราบใดที่ยังเดินอยู่ ไม่ใช่ว่าจะไปปิดกั้นตัวเราไม่มีโอกาสไม่มีเวลา ทุกคนมีโอกาสทุกคนมีเวลาเหมือนกันหมดนั่นแหละ แต่ความเป็นอยู่ระดับสมมติเราก็ต้องทำหน้าที่ของเราให้ดี ถ้าสมมติลำบากการดำเนินทางด้านจิตใจมันก็ลำบาก

ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันจะได้ปั๊บ ก็ค่อยทำค่อยเป็นค่อยไป ค่อยขัดเกลาเอาออก เราละกิเลสออกหมด เราไม่อยากจะได้ความบริสุทธิ์เราก็ได้ความบริสุทธิ์ ใจไม่เกิดเขาก็นิ่ง ใจไม่มีกิเลสเขาก็สะอาดเขาก็บริสุทธิ์ แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเกิดทั้งหลงทั้งยึดในตัวตน ยึดในขันธ์ห้า ทั้งเป็นทาสกิเลส

เรายังจำแนกแจกแจงแยกแยะไม่ได้ ก็ให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ คิดดีทำดีมองโลกในทางที่ดี รู้จักแก้ไขปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ใจของเราก็จะเบาบางลงไปเรื่อยๆ

เรื่องของจิตนี่เป็นเรื่องของละเอียดอ่อน ทุกเรื่องเลยตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ตื่นขึ้น ทุกลมหายใจเข้าออกเป็นเรื่องของเราที่จะต้องแก้ไข ถ้าเราแก้ไขเราไม่ได้ จะไปฝึกหัดปฏิบัติอยู่ที่ไหนก็ช่าง จะเก่งคร่ำเคร่งมากมายอยู่ที่ไหนก็ช่าง ถ้าไม่รู้จักละกิเลส ไม่รู้จักอดทนอดกลั้น ไม่รู้จักสร้างความขยันหมั่นเพียร มันก็เหมือนเดิม... เหมือนเดิม

ถ้าแยกใจ แยกออกจากขันธ์ห้าไม่ได้ จะเดินปัญญาขั้นสูงก็ไม่ได้ ถ้าเราแยกแยะได้เราก็จะรู้ ว่าอันนี้อัตตาเป็นอย่างนี้อนัตตาเป็นอย่างนี้ สมมติเป็นอย่างนี้ วิมุตติเป็นแย่างนี้ ใจเริ่มเกิดกิเลสเป็นอย่างงี้ เราดับตั้งแต่ต้นเหตุ กลางเหตุปลายเหตุ

ใจของเราสั่งออกมาทางกายทางวาจาหรือไม่ อันนี้เป็นเรื่องของกายเรื่องของใจ แต่เขาก็ร่วมกันอยู่ ถ้าเราจำแนกแจกแจงไม่ได้ มันก็หมุนกันไปทั้งก้อน มันก็หลง อาจจะหลงอยู่ในการสร้างคุณงามความดีหลงอยู่ในบุญ แต่ก็ยังดีถ้ายังหลงอยู่ในบุญก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ เราพยายาม ถึงละได้วางได้หมด ก็สร้างบุญกุศลเหมือนเดิม ยิ่งสนุกสร้างยิ่งสนุกทำ

นี่แหละ ปีนึงก็แป๊บเดียวจะเข้าพรรษาเสียแล้ว เราพยายามหมั่นสำรวจทั้งภายในภายนอก ทั้งสมมติทั้งวิมุตติให้เต็มรอบ อย่าพากันปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง ก็ต้องพยายามกัน

เอาล่ะวันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง