หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 29 วันที่ 30 เมษายน 2563
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 29 วันที่ 30 เมษายน 2563
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 29
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 30 เมษายน 2563
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง
ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวเราได้สำรวจ สำรวจกายของเราแล้วหรือยัง การรู้ลมหายใจเข้าออก อันนี้เป็นการรู้กาย เราอาจจะรู้เป็นบางช่วง มีความรู้สึกตัวเป็นบางช่วง บางครั้งบางคราว ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ให้ต่อเนื่องตรงนี้แหละต้องมีความเพียร ในการเจริญสติในการทำความเข้าใจ ทุกอิริยาบถยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย เพียงแค่การเจริญ การสร้างการทำ ให้มีให้เกิดขึ้นตรงนี้ก็ยากลำบาก มันก็เลยไม่รู้เรื่องในชีวิตของเราในส่วนลึกๆ ในการเดินปัญญา ว่าอะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม วิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร อาการขันธ์ห้าในกายของเราเป็นอย่างไร อะไรคือกองรูป อะไรคือกองนาม ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เพียงแค่เริ่มต้นของการสร้างความรู้ตัวที่จะเอาไปใช้การใช้งาน ตรงนี้มันก็มีน้อยนิดไม่เพียงพอ
ศรัทธานั้นมีอยู่ ศรัทธาการทำบุญในระดับขั้นพื้นฐานนั้นมีอยู่ แต่การสำรวจการแก้ไขตัวเรา แต่ละวันตื่นขึ้นมา เรามีความขยัน เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือไม่ เรามีความเสียสละหรือว่ามีความเห็นแก่ตัว หรือว่ามีแต่ความเกียจคร้าน
เพียงแค่ระดับสมมติ เราแก้ไขตัวเราไม่ได้ ไอ้เรื่องทางด้านจิตใจ การเดินปัญญาแยกรูปแยกนาม มันยิ่งห่างไกลไปนะไม่ต้องไปกังวลว่าจะเสียเปรียบกิเลสคนโน้นคนนี้ ตัวเราจะได้เปรียบเสียเปรียบ ไม่ต้องไปคิดกังวลว่าคนโน้นจะว่าเราอย่างงั้น คนนั้นจะว่าเราอย่างนี้ ก็เรานั่นแหละคิดเองเออเอง ความคิดของเรานั่นแหละมันเล่นงานเราอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเราไม่มาวิเคราะห์ วิเคราะห์แล้วก็มาอบรมใจ หมั่นควบคุม หมั่นอบรม ใช้ตบะบารมี ใจของเราเกิดความโลภ เราละความโลภ ใจเกิดความโกรธ ละความโกรธ ใจคิดไม่ดีรีบแก้ไข ไม่ออกทางกาย ทางวาจา ทางการกระทำ เราพยายามรีบแก้ไขให้ได้ทุกๆ ระดับ ตั้งแต่จะออกทางวาจา ตั้งแต่ความคิด อารมณ์ต่างๆ มันละเอียดอ่อนเยอะแยะมากมายอยู่ในกายของเรา
เพียงแค่สมมติเราก็ทำหน้าที่ของเรา เพียงแค่สมมติก็ทำให้เข้มแข็งเถอะ ที่พักที่อาศัยที่หลับที่นอน มันเป็นระเบียบหรือไม่ สะอาดหรือเปล่า อะไรขาดตกบกพร่อง ล้นออกไป ภายในของเราก็ล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะสู่เพื่อนสู่ฝูง หนักก็ไม่เอาเบาก็ไม่สู้ มีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ หนักตัวเองหนักคนอื่น ไม่รู้เรื่อง! หลงกันอยู่อย่างงั้น
ความเสียสละ เราต้องพยายามดำเนินให้มีให้เกิดขึ้น ความเสียสละ ความอดทนความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความละอาย มีสัจจะกับตัวเรา ถ้าเราไม่ฝึกสิ่งพวกนี้ให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา การที่จะดำเนินปล่อยวางได้เด็ดขาดทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ยากแสนยาก ต้องฝึก! ค่อยสร้างสะสม วันนี้เราทำได้เท่านี้ วันพรุ่งนี้ เดือนนี้เดือนหน้า ค่อยสร้างสะสมไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันจะได้ปั๊บ
ทุกคนก็หลงกันทั้งนั้นแหล่ะ ไม่ใช่ว่าไม่หลง ความหลงความคิด ความเกิดนั้นแหล่ะคือความหลงอันละเอียดที่สุด แต่เราเข้าไม่ถึง ก็เลยไม่รู้ความจริงตรงนี้ ในเมื่อได้เกิดมาอยู่ในภพมนุษย์ เราก็มีบุญมีอานิสงส์อยู่ในระดับหนึ่ง แล้วก็มาศึกษามาทำความเข้าใจตามแนวทางของพระพุทธองค์ว่า การเจริญสติ ความรู้ตัว คำว่า 'ปัจจุบันธรรม' เป็นลักษณะอย่างนี้ การสืบต่อ การต่อเนื่อง จนรู้ลักษณะหน้าตาอาการการเกิดการดับ การแก้ไข
สมมติเราก็ไม่ให้ลำบาก ถ้าสมมติลำบาก ที่พักที่อาศัยของเราไม่ดี ไม่มีที่อยู่ที่อาศัย กายของเราก็ลำบาก จะไปปฏิบัติธรรมมันก็ยิ่งยากอีก เพราะว่าความลำบากตรงนั้นมันปิดกั้นเอาไว้ สมมติปิดกั้นเอาไว้ ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน ถ้าสิ่งพวกนี้ไม่เอื้ออำนวยความสะดวกให้ การปฎิบัติทางด้านจิตใจมันก็ยากลำบากอีก ที่หลับที่นอนที่อยู่ลำบากอดๆ อยากๆ ไปที่ไหนก็ลำบาก
เพียงแค่ระดับสมมติก็ยังแก้ไขกันยากลำบาก ยังพากันเกียจคร้าน งอมืองอเท้า จะเอาตั้งแต่ธรรมมันจะไปได้อะไร เราต้องให้พร้อมมูลทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งภายนอกเราก็ไม่ได้ลำบาก ภายในเราก็สะดวกสบาย ไม่เป็นทาสของอารมณ์ ไม่เป็นทาสของกิเลส คอยแก้ไขตัวเรามันก็จะพอกพูนสิ่งที่เป็นประโยชน์มากมายขึ้นไปเรื่อยๆ จากน้อยๆ ไปหามากๆ
จะเอาตั้งแต่ธรรม เอาตั้งแต่ธรรม ฝึกตั้งแต่ธรรม แต่ไม่รู้เรื่องการละกิเลส ไม่รู้เรื่องการขัดเกลากิเลส ไม่รู้เรื่องความเสียสละ ความอดทนอดกลั้น กลัวตั้งแต่จะเสียเปรียบคนโน้น คนโน้นเป็นอย่างงั้นคนนั้นเป็นอย่างงี้ มีแต่คนโง่เขาคิดอย่างงั้น คนฉลาดเค้าไม่คิด ทำอย่างไรเราถึงจะอนุเคราะห์ช่วยเหลือตัวเรา ช่วยเหลือคนอื่น จนเต็มรอบ
มาอยู่ด้วยกันก็ให้มีความสุข ถ้าอยู่ด้วยกันหลายๆ คนต่างคนก็ต่างชิงดีชิงเด่นเอารัดเอาเปรียบกัน มันไปไหนไม่รอดหรอก มีหมู่มีคณะ มีเพื่อนมีฝูง จากอยู่คนเดียวก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ถ้าต่างคนต่างไม่มีความรับผิดชอบ ปัดความรับผิดชอบให้คนโน้นคนนี้ อันนั้นก็ใช้การไม่ได้ มีอะไรเราก็คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จากหนักก็เป็นเบาจากเบาก็แทบจะไม่มี จะเอาตั้งแต่ขอให้กูอยู่ดีมีความสุข อย่างอื่นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง อย่างงั้นใช้การไม่ได้
เราได้มาอาศัยสถานที่ตรงนี้อยู่ จากความไม่มี หลวงพ่อก็พยายามดำเนินทุกสิ่งทุกอย่างให้มีครบบริบูรณ์ ให้อยู่ดีมีความสุข แล้วก็มาพอกพูนเพิ่มพูนขึ้นไปอีก ไม่ใช่ว่ามาแล้วก็มาสร้างความเป็นภาระ มาสร้างความลำบากกายลำบากใจให้ อย่างงั้นก็ใช้การไม่ได้ ต้องแก้ไข แก้ไขปรับปรุงตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา เป็นผู้รู้ผู้ตื่นทั้งสมมติทั้งวิมุตติ เป็นผู้ใหม่อยู่ตลอดเวลามันถึงจะถูกต้อง สนุกเร่งทำความเพียร เอาการเอางานเป็นการปฏิบัติ
ทำงานไปด้วยดูใจไปด้วยเพื่อที่จะเอาไปใช้กับสมมติ ในเมื่อเราออกไปสู่สังคมภายนอกเราถึงจะรู้คุณค่าของการฝึกว่าการดำเนินชีวิตเป็นอย่างไร การออกไปข้างนอกเป็นอย่างไร เหมือนกับอยู่ข้างในมั้ย ถ้าเราแก้ไขตัวเรา รู้จักใช้วิเคราะห์พิจารณา ไปอยู่ที่ไหนเราก็จะไม่ได้เก้อได้เขิน ก็จะได้เป็นบุคคลที่มีความอาจหาญกล้าหาญ รู้จักแก้ไข ผิดพลาดเริ่มต้นใหม่ ผิดพลาดเริ่มต้นใหม่
เอาเรื่องของเราให้มันจบ ไม่ใช่ว่าเอาตั้งแต่เรื่องคนโน้นคนนี้เป็นอย่างงั้น คนนั้นเป็นยังงั้น ก็ใจของเรามันไม่ดีล่ะมันถึงคิดไม่ดี ใจของเรามีมลทินมีอคติก็ยังไม่รู้จัก มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละเขาคิดอย่างนั้น คนฉลาดฟังนิดเดียวไปถึงฝั่งดับทุกข์แก้ไขให้ตัวเองได้ บอกตัวเองได้ใช้ตัวเองเป็น เพียงแค่นิดๆ หน่อยๆ ความกตัญญูกตเวทีของเรามีมั้ย ความอ่อนน้อมถ่อมตนของเรามีหรือเปล่า เรารู้จักสำรวมกาย สำรวมวาจา ก่อนที่จะพูดก่อนที่จะคิด พูดน้อยนอนน้อย ปฏิบัติให้มากๆ
ทุกลมหายใจเข้าออก ทุกขณะจิตนั่นแหละ ถ้าเรามาวิเคราะห์ได้ คือหลักของการปฎิบัติ ทำใจของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์หลุดพ้นอยู่ตลอดเวลา เราละกิเลสออก เราดับความเกิด เราไม่อยากจะได้ความบริสุทธิ์เราก็ได้ เราไม่อยากจะได้ความสงบเราก็ได้ ถ้าเราเข้าใจ ดำเนินให้ถูกที่ถูกทางถูกวิธี แต่มันก็ยาก การพูดง่ายแต่การลงมือการปฎิบัติก็ค่อยเป็นค่อยไป เรามีจิตใจระดับไหนเราก็ค่อยพัฒนาแก้ไขเราไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันจะถึงปุ๊บปั๊บปุ๊บปั๊บ มันไม่ได้
สมมติภายนอกเราก็ดำเนินไป ทางด้านจิตใจเราก็พยายามแก้ไขไป แก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา ท่านถึงบอกว่าเป็นอกาลิโก ดูเราได้ตลอดเวลา ทุกเวลาจนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ ในการทำความเข้าใจ
ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่เป็นสมาธิ สมาธิด้วยปัญญา หรือสมาธิด้วยการข่มเอาไว้ เราก็ต้องดู ใจเข้าไปรวมกับขันธ์ห้า การสังเกตการแยกรูปแยกนาม ที่ท่านว่ากองโน้นเป็นอย่างงั้น กองอดีต กองสัญญา กองสังขารเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ เราต้องรู้ต้องเห็นต้องทำความเข้าใจ รู้ความจริงแล้วก็ค่อยละ ไม่ใช่ว่าปฏิบัติแบบหลงงมงาย เจริญสติไม่รู้จักสติ ฝึกสติไม่รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ มันจะไปเข้าถึงอะไรได้ เราก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 30 เมษายน 2563
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง
ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวเราได้สำรวจ สำรวจกายของเราแล้วหรือยัง การรู้ลมหายใจเข้าออก อันนี้เป็นการรู้กาย เราอาจจะรู้เป็นบางช่วง มีความรู้สึกตัวเป็นบางช่วง บางครั้งบางคราว ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ให้ต่อเนื่องตรงนี้แหละต้องมีความเพียร ในการเจริญสติในการทำความเข้าใจ ทุกอิริยาบถยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย เพียงแค่การเจริญ การสร้างการทำ ให้มีให้เกิดขึ้นตรงนี้ก็ยากลำบาก มันก็เลยไม่รู้เรื่องในชีวิตของเราในส่วนลึกๆ ในการเดินปัญญา ว่าอะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม วิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร อาการขันธ์ห้าในกายของเราเป็นอย่างไร อะไรคือกองรูป อะไรคือกองนาม ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์ เพียงแค่เริ่มต้นของการสร้างความรู้ตัวที่จะเอาไปใช้การใช้งาน ตรงนี้มันก็มีน้อยนิดไม่เพียงพอ
ศรัทธานั้นมีอยู่ ศรัทธาการทำบุญในระดับขั้นพื้นฐานนั้นมีอยู่ แต่การสำรวจการแก้ไขตัวเรา แต่ละวันตื่นขึ้นมา เรามีความขยัน เรามีความรับผิดชอบเพียงพอหรือไม่ เรามีความเสียสละหรือว่ามีความเห็นแก่ตัว หรือว่ามีแต่ความเกียจคร้าน
เพียงแค่ระดับสมมติ เราแก้ไขตัวเราไม่ได้ ไอ้เรื่องทางด้านจิตใจ การเดินปัญญาแยกรูปแยกนาม มันยิ่งห่างไกลไปนะไม่ต้องไปกังวลว่าจะเสียเปรียบกิเลสคนโน้นคนนี้ ตัวเราจะได้เปรียบเสียเปรียบ ไม่ต้องไปคิดกังวลว่าคนโน้นจะว่าเราอย่างงั้น คนนั้นจะว่าเราอย่างนี้ ก็เรานั่นแหละคิดเองเออเอง ความคิดของเรานั่นแหละมันเล่นงานเราอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเราไม่มาวิเคราะห์ วิเคราะห์แล้วก็มาอบรมใจ หมั่นควบคุม หมั่นอบรม ใช้ตบะบารมี ใจของเราเกิดความโลภ เราละความโลภ ใจเกิดความโกรธ ละความโกรธ ใจคิดไม่ดีรีบแก้ไข ไม่ออกทางกาย ทางวาจา ทางการกระทำ เราพยายามรีบแก้ไขให้ได้ทุกๆ ระดับ ตั้งแต่จะออกทางวาจา ตั้งแต่ความคิด อารมณ์ต่างๆ มันละเอียดอ่อนเยอะแยะมากมายอยู่ในกายของเรา
เพียงแค่สมมติเราก็ทำหน้าที่ของเรา เพียงแค่สมมติก็ทำให้เข้มแข็งเถอะ ที่พักที่อาศัยที่หลับที่นอน มันเป็นระเบียบหรือไม่ สะอาดหรือเปล่า อะไรขาดตกบกพร่อง ล้นออกไป ภายในของเราก็ล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะสู่เพื่อนสู่ฝูง หนักก็ไม่เอาเบาก็ไม่สู้ มีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ หนักตัวเองหนักคนอื่น ไม่รู้เรื่อง! หลงกันอยู่อย่างงั้น
ความเสียสละ เราต้องพยายามดำเนินให้มีให้เกิดขึ้น ความเสียสละ ความอดทนความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความละอาย มีสัจจะกับตัวเรา ถ้าเราไม่ฝึกสิ่งพวกนี้ให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา การที่จะดำเนินปล่อยวางได้เด็ดขาดทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ยากแสนยาก ต้องฝึก! ค่อยสร้างสะสม วันนี้เราทำได้เท่านี้ วันพรุ่งนี้ เดือนนี้เดือนหน้า ค่อยสร้างสะสมไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันจะได้ปั๊บ
ทุกคนก็หลงกันทั้งนั้นแหล่ะ ไม่ใช่ว่าไม่หลง ความหลงความคิด ความเกิดนั้นแหล่ะคือความหลงอันละเอียดที่สุด แต่เราเข้าไม่ถึง ก็เลยไม่รู้ความจริงตรงนี้ ในเมื่อได้เกิดมาอยู่ในภพมนุษย์ เราก็มีบุญมีอานิสงส์อยู่ในระดับหนึ่ง แล้วก็มาศึกษามาทำความเข้าใจตามแนวทางของพระพุทธองค์ว่า การเจริญสติ ความรู้ตัว คำว่า 'ปัจจุบันธรรม' เป็นลักษณะอย่างนี้ การสืบต่อ การต่อเนื่อง จนรู้ลักษณะหน้าตาอาการการเกิดการดับ การแก้ไข
สมมติเราก็ไม่ให้ลำบาก ถ้าสมมติลำบาก ที่พักที่อาศัยของเราไม่ดี ไม่มีที่อยู่ที่อาศัย กายของเราก็ลำบาก จะไปปฏิบัติธรรมมันก็ยิ่งยากอีก เพราะว่าความลำบากตรงนั้นมันปิดกั้นเอาไว้ สมมติปิดกั้นเอาไว้ ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน ถ้าสิ่งพวกนี้ไม่เอื้ออำนวยความสะดวกให้ การปฎิบัติทางด้านจิตใจมันก็ยากลำบากอีก ที่หลับที่นอนที่อยู่ลำบากอดๆ อยากๆ ไปที่ไหนก็ลำบาก
เพียงแค่ระดับสมมติก็ยังแก้ไขกันยากลำบาก ยังพากันเกียจคร้าน งอมืองอเท้า จะเอาตั้งแต่ธรรมมันจะไปได้อะไร เราต้องให้พร้อมมูลทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งภายนอกเราก็ไม่ได้ลำบาก ภายในเราก็สะดวกสบาย ไม่เป็นทาสของอารมณ์ ไม่เป็นทาสของกิเลส คอยแก้ไขตัวเรามันก็จะพอกพูนสิ่งที่เป็นประโยชน์มากมายขึ้นไปเรื่อยๆ จากน้อยๆ ไปหามากๆ
จะเอาตั้งแต่ธรรม เอาตั้งแต่ธรรม ฝึกตั้งแต่ธรรม แต่ไม่รู้เรื่องการละกิเลส ไม่รู้เรื่องการขัดเกลากิเลส ไม่รู้เรื่องความเสียสละ ความอดทนอดกลั้น กลัวตั้งแต่จะเสียเปรียบคนโน้น คนโน้นเป็นอย่างงั้นคนนั้นเป็นอย่างงี้ มีแต่คนโง่เขาคิดอย่างงั้น คนฉลาดเค้าไม่คิด ทำอย่างไรเราถึงจะอนุเคราะห์ช่วยเหลือตัวเรา ช่วยเหลือคนอื่น จนเต็มรอบ
มาอยู่ด้วยกันก็ให้มีความสุข ถ้าอยู่ด้วยกันหลายๆ คนต่างคนก็ต่างชิงดีชิงเด่นเอารัดเอาเปรียบกัน มันไปไหนไม่รอดหรอก มีหมู่มีคณะ มีเพื่อนมีฝูง จากอยู่คนเดียวก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ถ้าต่างคนต่างไม่มีความรับผิดชอบ ปัดความรับผิดชอบให้คนโน้นคนนี้ อันนั้นก็ใช้การไม่ได้ มีอะไรเราก็คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จากหนักก็เป็นเบาจากเบาก็แทบจะไม่มี จะเอาตั้งแต่ขอให้กูอยู่ดีมีความสุข อย่างอื่นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง อย่างงั้นใช้การไม่ได้
เราได้มาอาศัยสถานที่ตรงนี้อยู่ จากความไม่มี หลวงพ่อก็พยายามดำเนินทุกสิ่งทุกอย่างให้มีครบบริบูรณ์ ให้อยู่ดีมีความสุข แล้วก็มาพอกพูนเพิ่มพูนขึ้นไปอีก ไม่ใช่ว่ามาแล้วก็มาสร้างความเป็นภาระ มาสร้างความลำบากกายลำบากใจให้ อย่างงั้นก็ใช้การไม่ได้ ต้องแก้ไข แก้ไขปรับปรุงตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา เป็นผู้รู้ผู้ตื่นทั้งสมมติทั้งวิมุตติ เป็นผู้ใหม่อยู่ตลอดเวลามันถึงจะถูกต้อง สนุกเร่งทำความเพียร เอาการเอางานเป็นการปฏิบัติ
ทำงานไปด้วยดูใจไปด้วยเพื่อที่จะเอาไปใช้กับสมมติ ในเมื่อเราออกไปสู่สังคมภายนอกเราถึงจะรู้คุณค่าของการฝึกว่าการดำเนินชีวิตเป็นอย่างไร การออกไปข้างนอกเป็นอย่างไร เหมือนกับอยู่ข้างในมั้ย ถ้าเราแก้ไขตัวเรา รู้จักใช้วิเคราะห์พิจารณา ไปอยู่ที่ไหนเราก็จะไม่ได้เก้อได้เขิน ก็จะได้เป็นบุคคลที่มีความอาจหาญกล้าหาญ รู้จักแก้ไข ผิดพลาดเริ่มต้นใหม่ ผิดพลาดเริ่มต้นใหม่
เอาเรื่องของเราให้มันจบ ไม่ใช่ว่าเอาตั้งแต่เรื่องคนโน้นคนนี้เป็นอย่างงั้น คนนั้นเป็นยังงั้น ก็ใจของเรามันไม่ดีล่ะมันถึงคิดไม่ดี ใจของเรามีมลทินมีอคติก็ยังไม่รู้จัก มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละเขาคิดอย่างนั้น คนฉลาดฟังนิดเดียวไปถึงฝั่งดับทุกข์แก้ไขให้ตัวเองได้ บอกตัวเองได้ใช้ตัวเองเป็น เพียงแค่นิดๆ หน่อยๆ ความกตัญญูกตเวทีของเรามีมั้ย ความอ่อนน้อมถ่อมตนของเรามีหรือเปล่า เรารู้จักสำรวมกาย สำรวมวาจา ก่อนที่จะพูดก่อนที่จะคิด พูดน้อยนอนน้อย ปฏิบัติให้มากๆ
ทุกลมหายใจเข้าออก ทุกขณะจิตนั่นแหละ ถ้าเรามาวิเคราะห์ได้ คือหลักของการปฎิบัติ ทำใจของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์หลุดพ้นอยู่ตลอดเวลา เราละกิเลสออก เราดับความเกิด เราไม่อยากจะได้ความบริสุทธิ์เราก็ได้ เราไม่อยากจะได้ความสงบเราก็ได้ ถ้าเราเข้าใจ ดำเนินให้ถูกที่ถูกทางถูกวิธี แต่มันก็ยาก การพูดง่ายแต่การลงมือการปฎิบัติก็ค่อยเป็นค่อยไป เรามีจิตใจระดับไหนเราก็ค่อยพัฒนาแก้ไขเราไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันจะถึงปุ๊บปั๊บปุ๊บปั๊บ มันไม่ได้
สมมติภายนอกเราก็ดำเนินไป ทางด้านจิตใจเราก็พยายามแก้ไขไป แก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา ท่านถึงบอกว่าเป็นอกาลิโก ดูเราได้ตลอดเวลา ทุกเวลาจนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ ในการทำความเข้าใจ
ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่เป็นสมาธิ สมาธิด้วยปัญญา หรือสมาธิด้วยการข่มเอาไว้ เราก็ต้องดู ใจเข้าไปรวมกับขันธ์ห้า การสังเกตการแยกรูปแยกนาม ที่ท่านว่ากองโน้นเป็นอย่างงั้น กองอดีต กองสัญญา กองสังขารเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ เราต้องรู้ต้องเห็นต้องทำความเข้าใจ รู้ความจริงแล้วก็ค่อยละ ไม่ใช่ว่าปฏิบัติแบบหลงงมงาย เจริญสติไม่รู้จักสติ ฝึกสติไม่รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ มันจะไปเข้าถึงอะไรได้ เราก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ