หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 25 วันที่ 25 เมษายน 2563
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 25 วันที่ 25 เมษายน 2563
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2563 ลำดับที่ 25
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 25 เมษายน 2563
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจนตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง เราได้เจริญสติแล้วหรือยัง การเจริญสติ เราพยายามฝึกให้เกิดความเคยชินจนเป็นอัตโนมัติในการฝึก แล้วก็เอาสติปัญญาของเราไปใช้ ไปอบรมใจของเรา ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล เหตุผลในที่นี้คือตัวใจกับอาการของขันธ์ห้า เขาไปรวมกันได้อย่างไร เราต้องหัดสังเกต สักวันหนึ่งเราก็คงจะเห็น ถ้ากำลังสติของเรามีเพียงพอ
การทำบุญให้ทาน ศรัทธา ตรงนี้มีกันอยู่ แต่ละวันๆ เราต้องรีบแก้ไขชีวิตของเรา เพราะว่าชีวิตมนุษย์นี่มีไม่เยอะ มีนิดเดียวไม่ถึงร้อย ไม่ถึงร้อยปี ร่างกายของเรานี้เป็นรังแห่งโรค เดี๋ยวก็ป่วยเดี๋ยวก็เจ็บ เดี๋ยวก็เป็นโน่นเดี๋ยวก็เป็นนี่ เราอย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง เราพยายามหากำไรในกายก้อนนี้ของเราให้ได้ จนกว่าเขาจะหมดลมหายใจ รีบเร่งทำความเข้าใจ สร้างความขยันหมั่นเพียร เจริญสติ เข้าไปเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล แยกรูปแยกนาม เดินปัญญา ละกิเลสหยาบละกิเลสละเอียด
หลวงพ่อก็พูดสิ่งพวกนี้แหละมาเป็นยี่สิบสามสิบปี ก็เป็นสิ่งเดียวที่จะต้องพูด เพราะว่าเป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะดำเนินชีวิตของเราให้เข้าถึงความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้นของใจขณะที่ร่างกายยังแข็งแรงอยู่ ถ้าร่างกายหมดสภาพก็มีแต่เรื่องบุญกับเรื่องบาป ก็พยายามแก้ไขสูงขึ้นไปสร้างบุญไม่ยึดติดในบุญ ละหมดนั่นแหละ ละทั้งบุญละทั้งบาป ละทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่การเกิดของใจเราก็ดับ เราก็จะอยู่กับบุญ คือตัวใจนั่นแหละคือตัวบุญ สรุปสร้างบุญไม่ยึดติดในบุญ เราก็จะอยู่กับบุญ ยังประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้าทำปัจจุบันให้ดีเสียก่อน ก็ต้องพยายามกัน อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา
ทั้งพระ ทั้งชี ทั้งโยม ฆราวาสญาติโยมก็เหมือนกัน มีลมหายใจเหมือนกัน มีธาตุสี่ขันธ์ห้าเหมือนกัน ถ้าถึงวาระเวลาก็ได้ไป เดี๋ยวนี้โรคภัยไข้เจ็บสารพัดอย่างก็มาเบียดเบียน เบียดเบียนคนทั้งโลกๆ ประเทศไทยก็นับว่าโชคดีหน่อยที่มีความเข้มแข็งอยู่ ส่วนประเทศนอกได้ยินข่าวแต่ละวันๆ บางทีตายทีละห้าร้อยทีละพันเอาใส่รถทหารเอาไปฝังรวมกัน ไม่มีที่นั่นเขาไม่ทัน นี่แหละมันเป็นเรื่องของกรรม
เราต้องศึกษาเรื่องกรรม กรรมภายในคือความคิดอารมณ์ ซึ่งเป็นส่วนนามธรรม กรรมสมมติภายนอก ก็ไม่ให้ใจของเราเข้าไปหลงเข้าไปยึด รู้สึกว่าโรคภัยไข้เจ็บครั้งนี้จะเป็นเรื่องของการชำระ เป็นการชำระสะสางใครมีวิบากกรรมก็ไปได้เร็ว ใครไม่มีวิบากกรรมถึงอยู่ด้วยกันหันหลังให้กันก็ไม่เป็นไร มันก็มองเห็นชัดเจน อย่างประเทศจีนเขาเอาคนไข้ไปดูแลรักษาที่โรงแรมอย่างดี ไข้โควิด ก็เพื่อที่จะรักษาให้หาย แทนที่จะหายจากโควิด กลับโรงแรมพังตายกันเยอะเกือบหมดเลย นั่นแหละวิบากกรรม การชำระ อะไรก็มาต้านทานแรงกรรมเอาไว้ไม่ได้ ส่วนในที่ฟิลิปปินส์ก็เหมือนกัน ก็ตายเยอะ เห็นว่าจะเอาขึ้นเครื่องบินไปรักษาที่ญี่ปุ่น เครื่องบินก็ระเบิดไปไม่ได้ตายทั้งลำ นั่นเป็นเรื่องของกรรม
เรามองให้เห็นเป็นกรรม เป็นวิบากกรรมที่เขาจะต้องชำระ เราต้องชำระตัวเรา แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา ให้ก่อนที่วิบากกรรมมันจะมาชำระเรา ใจของเราเป็นอย่างไรขณะนี้ ใจของเราปกติ ใจของเราสงบ ใจของเรามีกิเลส กิเลสระดับไหน เราละได้หรือไม่ ให้เราชำระเราให้ได้ก่อนที่วิบากกรรมจะมาชำระเรา ให้อยู่เหนือกรรม กรรมเก่าก็ตามไม่ทัน กรรมใหม่ก็ไม่หลงไม่ยึด กรรมเก่าก็เป็นอโหสิกรรม กรรมใหม่ก็ไม่ยึด ก็เลยเรียกว่า ‘อยู่เหนือบุญเหนือบาป’
อันนี้เราต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ เป็นบุคคลที่มีการฝักใฝ่ มีการสนใจทำความเข้าใจ วิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร การแยกรูปแยกนามเป็นอย่างไร การละกิเลสเป็นอย่างไร การเกิดการก่อตัวของใจของขันธ์ห้าเป็นอย่างไร เราต้องดูรู้ให้ชัดแจ้ง ชี้เหตุชี้ผลให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน
หลวงพ่อก็เล่าสิ่งพวกนี้แหละ เพราะไม่มีอะไรที่จะเล่า เพราะทุกคนจะต้องดำเนินให้ถึง ถ้าไม่ดำเนินสิ่งพวกนี้ก็ออกนอกลู่นอกทาง ใจก็เกิดอยู่อย่างนั้นแหละ หลงอยู่อย่างนั้นแหละ เราก็ว่าเราไม่หลง ตราบใดที่บุคคลมาเจริญสติให้ต่อเนื่องถึงรู้ว่าตัวเองไม่มีสติ ตราบใดที่บุคคลจนเห็นใจคลายออกจากขันธ์ห้าได้ ตามทำความเข้าใจได้ถึงจะรู้ว่าเราหลง
ในขั้นละเอียดที่สุดคือการเกิดของใจ ความเกิดของใจนั่นแหละคือกิเลสอันละเอียดที่สุด ตราบใดที่เรายังละไม่ได้หมดจด ก็ให้ใจของเราอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ทำมากทำน้อยก็ให้รีบทำ อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง เราทำมากก็เป็นของเรา ทำน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย เราก็จะมีส่วนแห่งบุญ
เราพยายามแก้ไขเรา ปรับปรุงเรา สร้างความขยันหมั่นเพียร ละความเกียจคร้าน บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ไม่ใช่ว่าหนักก็ไม่เอา เบาก็ไม่สู้ เอาตั้งแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ไปที่ไหนก็มีตั้งแต่ความเสื่อม เสื่อมอยู่ในตัวนั่นแหละ ถ้าเรามีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ เรามีความเสียสละ เราก็ได้อยู่ในตัวนั่นแหละ ได้ขณะที่เราทำนั่นแหละ ถ้าเราไม่มีความเสียสละ เราไม่มีพรหมวิหาร ไม่มีความเมตตา ไม่มีการกระทำ เราก็ไม่ถึง เราก็ไม่ได้ เราก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปทำความเข้าใจต่อกันเอานะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 25 เมษายน 2563
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจนตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง เราได้เจริญสติแล้วหรือยัง การเจริญสติ เราพยายามฝึกให้เกิดความเคยชินจนเป็นอัตโนมัติในการฝึก แล้วก็เอาสติปัญญาของเราไปใช้ ไปอบรมใจของเรา ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล เหตุผลในที่นี้คือตัวใจกับอาการของขันธ์ห้า เขาไปรวมกันได้อย่างไร เราต้องหัดสังเกต สักวันหนึ่งเราก็คงจะเห็น ถ้ากำลังสติของเรามีเพียงพอ
การทำบุญให้ทาน ศรัทธา ตรงนี้มีกันอยู่ แต่ละวันๆ เราต้องรีบแก้ไขชีวิตของเรา เพราะว่าชีวิตมนุษย์นี่มีไม่เยอะ มีนิดเดียวไม่ถึงร้อย ไม่ถึงร้อยปี ร่างกายของเรานี้เป็นรังแห่งโรค เดี๋ยวก็ป่วยเดี๋ยวก็เจ็บ เดี๋ยวก็เป็นโน่นเดี๋ยวก็เป็นนี่ เราอย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง เราพยายามหากำไรในกายก้อนนี้ของเราให้ได้ จนกว่าเขาจะหมดลมหายใจ รีบเร่งทำความเข้าใจ สร้างความขยันหมั่นเพียร เจริญสติ เข้าไปเห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล แยกรูปแยกนาม เดินปัญญา ละกิเลสหยาบละกิเลสละเอียด
หลวงพ่อก็พูดสิ่งพวกนี้แหละมาเป็นยี่สิบสามสิบปี ก็เป็นสิ่งเดียวที่จะต้องพูด เพราะว่าเป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะดำเนินชีวิตของเราให้เข้าถึงความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้นของใจขณะที่ร่างกายยังแข็งแรงอยู่ ถ้าร่างกายหมดสภาพก็มีแต่เรื่องบุญกับเรื่องบาป ก็พยายามแก้ไขสูงขึ้นไปสร้างบุญไม่ยึดติดในบุญ ละหมดนั่นแหละ ละทั้งบุญละทั้งบาป ละทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่การเกิดของใจเราก็ดับ เราก็จะอยู่กับบุญ คือตัวใจนั่นแหละคือตัวบุญ สรุปสร้างบุญไม่ยึดติดในบุญ เราก็จะอยู่กับบุญ ยังประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้าทำปัจจุบันให้ดีเสียก่อน ก็ต้องพยายามกัน อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา
ทั้งพระ ทั้งชี ทั้งโยม ฆราวาสญาติโยมก็เหมือนกัน มีลมหายใจเหมือนกัน มีธาตุสี่ขันธ์ห้าเหมือนกัน ถ้าถึงวาระเวลาก็ได้ไป เดี๋ยวนี้โรคภัยไข้เจ็บสารพัดอย่างก็มาเบียดเบียน เบียดเบียนคนทั้งโลกๆ ประเทศไทยก็นับว่าโชคดีหน่อยที่มีความเข้มแข็งอยู่ ส่วนประเทศนอกได้ยินข่าวแต่ละวันๆ บางทีตายทีละห้าร้อยทีละพันเอาใส่รถทหารเอาไปฝังรวมกัน ไม่มีที่นั่นเขาไม่ทัน นี่แหละมันเป็นเรื่องของกรรม
เราต้องศึกษาเรื่องกรรม กรรมภายในคือความคิดอารมณ์ ซึ่งเป็นส่วนนามธรรม กรรมสมมติภายนอก ก็ไม่ให้ใจของเราเข้าไปหลงเข้าไปยึด รู้สึกว่าโรคภัยไข้เจ็บครั้งนี้จะเป็นเรื่องของการชำระ เป็นการชำระสะสางใครมีวิบากกรรมก็ไปได้เร็ว ใครไม่มีวิบากกรรมถึงอยู่ด้วยกันหันหลังให้กันก็ไม่เป็นไร มันก็มองเห็นชัดเจน อย่างประเทศจีนเขาเอาคนไข้ไปดูแลรักษาที่โรงแรมอย่างดี ไข้โควิด ก็เพื่อที่จะรักษาให้หาย แทนที่จะหายจากโควิด กลับโรงแรมพังตายกันเยอะเกือบหมดเลย นั่นแหละวิบากกรรม การชำระ อะไรก็มาต้านทานแรงกรรมเอาไว้ไม่ได้ ส่วนในที่ฟิลิปปินส์ก็เหมือนกัน ก็ตายเยอะ เห็นว่าจะเอาขึ้นเครื่องบินไปรักษาที่ญี่ปุ่น เครื่องบินก็ระเบิดไปไม่ได้ตายทั้งลำ นั่นเป็นเรื่องของกรรม
เรามองให้เห็นเป็นกรรม เป็นวิบากกรรมที่เขาจะต้องชำระ เราต้องชำระตัวเรา แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา ให้ก่อนที่วิบากกรรมมันจะมาชำระเรา ใจของเราเป็นอย่างไรขณะนี้ ใจของเราปกติ ใจของเราสงบ ใจของเรามีกิเลส กิเลสระดับไหน เราละได้หรือไม่ ให้เราชำระเราให้ได้ก่อนที่วิบากกรรมจะมาชำระเรา ให้อยู่เหนือกรรม กรรมเก่าก็ตามไม่ทัน กรรมใหม่ก็ไม่หลงไม่ยึด กรรมเก่าก็เป็นอโหสิกรรม กรรมใหม่ก็ไม่ยึด ก็เลยเรียกว่า ‘อยู่เหนือบุญเหนือบาป’
อันนี้เราต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ เป็นบุคคลที่มีการฝักใฝ่ มีการสนใจทำความเข้าใจ วิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร การแยกรูปแยกนามเป็นอย่างไร การละกิเลสเป็นอย่างไร การเกิดการก่อตัวของใจของขันธ์ห้าเป็นอย่างไร เราต้องดูรู้ให้ชัดแจ้ง ชี้เหตุชี้ผลให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน
หลวงพ่อก็เล่าสิ่งพวกนี้แหละ เพราะไม่มีอะไรที่จะเล่า เพราะทุกคนจะต้องดำเนินให้ถึง ถ้าไม่ดำเนินสิ่งพวกนี้ก็ออกนอกลู่นอกทาง ใจก็เกิดอยู่อย่างนั้นแหละ หลงอยู่อย่างนั้นแหละ เราก็ว่าเราไม่หลง ตราบใดที่บุคคลมาเจริญสติให้ต่อเนื่องถึงรู้ว่าตัวเองไม่มีสติ ตราบใดที่บุคคลจนเห็นใจคลายออกจากขันธ์ห้าได้ ตามทำความเข้าใจได้ถึงจะรู้ว่าเราหลง
ในขั้นละเอียดที่สุดคือการเกิดของใจ ความเกิดของใจนั่นแหละคือกิเลสอันละเอียดที่สุด ตราบใดที่เรายังละไม่ได้หมดจด ก็ให้ใจของเราอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ทำมากทำน้อยก็ให้รีบทำ อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง เราทำมากก็เป็นของเรา ทำน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทำเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุด้วย เราก็จะมีส่วนแห่งบุญ
เราพยายามแก้ไขเรา ปรับปรุงเรา สร้างความขยันหมั่นเพียร ละความเกียจคร้าน บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ไม่ใช่ว่าหนักก็ไม่เอา เบาก็ไม่สู้ เอาตั้งแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ไปที่ไหนก็มีตั้งแต่ความเสื่อม เสื่อมอยู่ในตัวนั่นแหละ ถ้าเรามีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ เรามีความเสียสละ เราก็ได้อยู่ในตัวนั่นแหละ ได้ขณะที่เราทำนั่นแหละ ถ้าเราไม่มีความเสียสละ เราไม่มีพรหมวิหาร ไม่มีความเมตตา ไม่มีการกระทำ เราก็ไม่ถึง เราก็ไม่ได้ เราก็ต้องพยายามกัน
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปทำความเข้าใจต่อกันเอานะ