หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 081

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 081
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 081
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสทางลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ วางภาระหน้าที่การงานต่างๆ วางบ้านวางช่อง วางทุกสิ่งทุกอย่างมาแล้ว

ทีนี้เราก็มาสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ เวลาลมหายใจเข้ามีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมหายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก อานาปานสติ พวกเราก็ขาดการเจริญตรงนี้ ทั้งที่ใจก็ฝักใฝ่ในบุญ ใจก็ฝักใฝ่ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น แต่การกระทำ การเจริญสติไม่มี การสังเกตการณ์วิเคราะห์ การดับ จนใจของเราคลายออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ตรงนี้ไม่ค่อยจะมีกัน ทั้งที่ใจก็ปรารถนาที่จะเข้าถึงธรรม อยากจะได้ธรรม แสวงหาแนวทาง แสวงหาสถานที่ แสวงหาครูบาอาจารย์ เพราะว่าความไม่เข้าใจ

ถ้าเราเข้าใจ แล้วก็แนวทางนั้นมีอยู่แล้ว พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผย การเจริญสติเป็นลักษณะอย่างนี้ การดับ การละกิเลส จนกว่าจะรู้เท่าทันการเกิดของจิต รู้เท่าทันการเกิดของความคิด จนจิตของเราคลายออกจากความคิด คลายออกจากอารมณ์ เราถึงจะเข้าใจในเรื่องอัตตา ในเรื่องอนัตตาในคำที่ท่านสอน เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เข้าใจในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า เห็นการเกิดของจิต ส่งออกไปภายนอก เข้าใจในเรื่องของหลักอริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรจ มรรค

แต่เวลานี้ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน พวกเรายังไม่ได้สร้างกันขึ้นมาให้ต่อเนื่องเลย เอาแต่ความคิดเก่า ปัญญาเก่า ที่เกิดจากตัวจิต เกิดจากขันธ์ห้า หล่อหลอมส่งออกไปภายนอก ซึ่งจิตก็หลงความคิดตรงนั้นอยู่ สิ่งต่างๆ การเกิดนี่ก็เป็นทุกข์ เพียงแค่เกิดนี่ก็หลง หลงเกิด หลงนะถึงได้เกิด เรามาคลายความหลงให้ได้เสียก่อน ก่อนที่จะคลายความหลงได้ ต้องรู้จักการเจริญสติให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ประคับประคองความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง ความรู้ตัวพลั้งเผลอแล้วก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ เราก็พยายามละความเกียจคร้าน จิตของเราเกิดความกังวล เกิดความฟุ้งซ่าน เราก็รู้จักระงับ รู้จักดับ ยับยั้งเอาไว้

ถ้าเรารู้ตัวอยู่ปัจจุบัน จิตจะก่อตัว จิตจะเกิด เราก็จะรู้เท่าทัน อาการของความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่จิต หรือว่าความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดมันผุดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะเห็นเขาเกิด เขาก่อตัว ตัวจิตนี้จะกระโดดเข้าไปรวมกับความคิดตรงนั้นเลย ถ้าเราเห็นตรงนั้นปุ๊บ จิตมันจะดีดออก ในภาษาธรรมท่านเรียกว่าคลาย ท่านเรียกว่าแยก

เหมือนกับเราดึงเชือกตึงๆ แล้วเอามีดไปตัดมันก็จะกระเด็นออกจากกัน เรียกว่า ‘หงาย’ หงายของที่คว่ำ ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา ตามดูการเกิดการดับของขันธ์ห้าเป็นเรื่องอะไร ถ้าเป็นเรื่องอดีตก็เรียกว่า ‘อาการของสัญญา’ ความคิดทุกชนิดเป็นกองสังขาร ตัวใจของเราไปรวมไปร่วม หรือไปเสวย เราต้องรู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย เราก็ตามทำความเข้าใจได้ด้วย ให้มันตั้งแต่ต้นเหตุถึงปลายเหตุ กลางเหตุ ปลายเหตุ เราค่อยๆ พิจารณาด้วยสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา ใจก็จะว่างรับรู้ แล้วเราก็มาละกิเลสที่ใจ

ใจของเราเกิดกิเลส เราก็ละ เกิดความโลภ เราก็พยายามละ พยายามดับ เกิดความโกรธ เราพยายามดับ ทำในสิ่งตรงกันข้าม ใจของเรามีความโลภ เราละความโลภด้วยการเอาออก ด้วยการให้ ด้วยการคลาย ใจของเราเกิดความโกรธ เราก็ดับความโกรธ แล้วก็ให้อภัยทาน หัดมองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดีตลอดเวลา

การเจริญสติที่ต่อเนื่องเข้มแข็ง ถ้าความรู้ตัวของเรายังรู้ไม่เท่าทันตรงนี้ ส่วนมากก็จะลุ่มๆ ดอนๆ เหมือนกับขึ้นบันได ขึ้นได้แค่หนึ่งขั้น สองขั้น สามขั้น แล้วก็ถอยลงมา ถ้าความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง ถ้ารู้แล้วเห็นแล้ว ตามทำความเข้าใจไม่ให้คลาดสายตาสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมาได้เลย นอกจากเราจะหลับ ตื่นขึ้นมาเอาใหม่ ทุกเรื่อง

อย่าไปมองข้ามเพียงแค่ความอยากนิดๆ หน่อยๆ ความอยากเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละ เราไม่ดับ เราไม่หยุด ส่วนมากจะไปดับเอาตั้งแต่ตัวใหญ่ๆ ไปแก้ไขเอาตั้งแต่ตัวใหญ่ๆ ไปแก้ไขตัวใหญ่ๆ ตัวจิตมันเกิดอยู่ตลอดเวลา ขันธ์ห้ามันเกิดตลอดเวลา ไม่เข้าไปสนใจตรงจุดนั้น ทั้งงานภายนอกเราก็ทำให้ดี เราติดขัดอยู่ตรงไหน เราก็พยายามรีบแก้ไข เหตุการณ์จากภายนอก เกิดขึ้นจากภายนอก เราก็พยายามแก้ไขข้างนอก ทั้งดับข้างใน เพราะว่าสมมติกับวิมุตติเขาก็อาศัยกันอยู่ ต่างฝ่ายก็ต่างอิงอาศัยกันอยู่ จะไปมัวเมาแต่ผัดวันประกันพรุ่ง เราต้องดูเรา แก้ไขเราอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเขาว่าปัจจุบันธรรม รู้กาย รู้ใจอยู่ปัจจุบันธรรม แก้ไขตัวเองอยู่ปัจจุบันธรรม

สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี่แหล่ะ จะเป็นครูบาอาจารย์คอยตรวจสอบใจของเราตลอดเวลา ใจของเราเป็นอย่างไร เราก็รีบแก้ไขเสีย เราอยู่กับสมมติก็ไม่ให้สมมติเข้าครอบงำ ทำความเข้าใจกับสมมติ กายของเรานี่แหล่ะก้อนสมมติ ซึ่งเป็นส่วนรูปธรรม

ส่วนวิญญาณที่เกิดๆ ดับๆ ตัวใจ อยู่ในความว่างเป็นตัวใจ ถ้าเรามาเจริญสติรู้ให้ต่อเนื่อง เราก็จะรู้ความเป็นจริงในชีวิตของตัวเราเอง เพียงแค่ระดับสมมติ พวกเราก็ยังทำกันไม่ราบรื่น มันก็ยากที่จะส่งผลเข้าไปถึงวิมุตติ เข้าไปถึงตัวใจให้สงบราบรื่นได้ เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องก็ไม่ค่อยจะทำกัน กลัวจะไม่ได้คิด กลัวจะไม่มีปัญญา สารพัดอย่าง กลัวตาย เราก็ต้องพยายาม

พวกเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์นับว่ามีบุญแล้วนะ มีบุญ มีโอกาส แถมไปสร้างบุญ สร้างอานิสงส์ สร้างบารมีกัน การเดินปัญญา ลักษณะของปัญญา การเจริญสติเป็นอย่างไร การดับ การละเป็นอย่างไร จงอยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ อยู่ที่ไหนก็จะมีแต่ความสงบ ความสุข อย่าไปสิ่งโน้น โทษสิ่งนี้ จงโทษตรวจเราเอง แก้ไขตัวเราเอง ปรับปรุงตัวเราเอง อะไรไม่ดี เราก็พยายามละ อะไรที่มันจะนำความสุขมาให้ เราก็พยายามเจริญ แล้วก็สูงขึ้นไป เราก็ไม่ให้หลง ไม่ให้ยึด รู้จักปล่อย รู้จักวาง ถ้าเราไม่รู้จักจุดปล่อยจุดวาง อยากจะวางก็วางไม่ได้หรอก

เพียงแค่การเจริญสติ ลักษณะของสติ พวกเรายังไม่ขยันหมั่นเพียรกันเลย มันก็ยากที่จะวางภายในได้ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ถ้าเรารู้เร็ว เห็นเร็ว ตามทำความเข้าใจได้แล้ว การเกิดเป็นทุกข์ก็คงไม่เกิดหรอก เป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของกิเลสเขาคงไม่เกิด เขารู้ความเป็นจริง ช่วงที่ยังไม่รู้ความเป็นจริงนี่แหละ ทุกสิ่งทุกอย่างจะปิดกั้นเอาไว้หมด กายเนื้อก็ปิดกั้นดวงจิตเอาไว้ ตัวจิตแท้ๆ เขาก็หลอกตัวเอง อาการของจิต ขันธ์ห้าก็มาปกปิดเอาไว้ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด พวกนิวรณธรรมต่างๆ พวกความกังวล ความฟุ้งซ่าน ความลังเล สารพัดอย่าง พวกมลทินต่างๆ

มองเห็นคนอื่นต่ำ ยกตัวเองสูง มองเห็นตัวเองต่ำ มองเห็นคนอื่นสูง สารพัดอยาก คอยอคติ คอยเพ่งโทษ ทุกสิ่งทุกอย่าง เราต้องทำความเข้าใจให้ละเอียดให้หมดจด ก่อนที่ใจของเราจะรู้ความเป็นจริง เขาจะปล่อยจะวางเอง ก็จะเกิดความเบื่อหน่ายปล่อยวาง แล้วค่อยละ ค่อยขัด ค่อยเกลา เหลือตั้งแต่สติปัญญาไปบริหาร ไปทำหน้าที่แทน

ก็ต้องพยายามกันนะ ไม่ว่าพระว่าชีว่าโยมให้ขยันหมั่นเพียรกัน การที่มีสติ การที่เจริญสติยืนเดินนั่งนอน ก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ การกินอยู่ขับถ่าย ทำโน่นทำนี่ มีสติรู้กายรู้ใจ รับรู้อะไรควรละ อะไรควรเจริญ คนเราทุกคนมีความเป็นระเบียบในตัว ถ้าคนเราไม่มีความเป็นระเบียบในตัว ก็บอกตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็น ก็หลงโง่งมงาย หลงวนเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบ เราก็ต้องพยายามทำให้มันจบเสียเท่าที่กำลังสติปัญญาของเรามี ก็ต้องพยายามกัน

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง