หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549 ลำดับที่ 003

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549 ลำดับที่ 003
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549 ลำดับที่ 003
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ญาติโยมของเราก็พยายามสร้างความระลึกรู้การหายใจเข้าออกของเราให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน ตั้งแต่เช้าขึ้นมาเราได้น้อมสร้างความรู้สึกตัวแล้วหรือยัง หรือว่าตื่นขึ้นมาปุ๊บจิตมันก็คิดปรุงแต่งไปแล้ว ความคิดก็มาปรุงแต่งจิตของเราไปแล้ว เรื่องโน้นก็ยังไม่เรียบร้อย เรื่องนี้ก็ยังไม่เรียบร้อย คิดปรุงแต่งไปทั่วสารพัดเรื่อง

เราพยายาม​ พยายามหาวิธีดับด้วยการเจริญอานาปานสติ ระลึกรู้อยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา​ เพียงแค่การสังเกตการทำความเข้าใจกับการหายใจเข้าออกให้เป็นธรรมชาติ พวกเรายังทำกันไม่ค่อยจะชํานาญกันเลย หายใจอย่างไรเราถึงจะหายใจแบบโล่งโปร่งไม่อึดอัด บางทีเราเอาจิตไปกำหนดไปจดจ่อหน้าอกก็แน่น บางทีเราจะเอาสติไปเพ่งไปจ้องสมองก็ตึง เพียงแค่การสร้างความระลึกรู้สร้างความรู้สึกสำหรับการหายใจเข้าออกให้เป็นธรรมชาติ พวกเรายังทำไม่ได้ชํานาญ

บางทีจิตก็ปกติอยู่ จิตก็สงบอยู่ บางช่วงเราไม่ได้สร้างสติเข้าไประลึกรู้ดู เราก็หายใจแบบธรรมชาติดีอยู่ แต่เราขาดสติเข้าไปรู้ให้ต่อเนื่องกัน พอเราจะสร้างสติเข้าไปดู อะไรก็อึดอัดไปหมด กายก็อึดอัดจิตก็อึดอัด เพราะว่าเรายังไม่เคยชิน เรายังไม่เกิดความชำนาญ เราก็ต้องพยายามสร้างความระลึกรู้ให้ได้ทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ถ้าเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ๆ จิตฟุ้งซ่านไป เราก็กระตุ้นความรู้สึกที่การหายใจเข้าออก จิตก็จะกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออก เราก็จะเห็นเป็น 2 ส่วน ส่วนที่เราสร้างความระลึกรู้ รู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกส่วนหนึ่ง

บางทีจิตเขาก็คิดไปเรื่องโน้นบ้างเรื่องนี้บ้าง บางทีก็เป็นเรื่องบางทีก็ไม่เป็นเรื่อง เราก็พยายามกระตุ้นอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก จิตก็จะกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออก ฝึกบ่อยๆ ทำบ่อยๆ ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด เพราะว่าจิตของเราชอบคิดชอบเที่ยว เดี๋ยวก็คิดเรื่องโน้นบ้าง เรื่องอดีตเรื่องอนาคตสารพัดเรื่องที่มันปรุงแต่ง

บางทีขันธ์ห้า หรือว่าอาการของจิตก็ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตร่วมรวมไปด้วยกัน ถ้ากําลังความระลึกรู้ตัวของเรามีมาก เราก็จะรู้เท่าทันเวลาจิตก่อตัวเราก่อนรีบดับ เวลาอาการของขันธ์ห้าผุดขึ้นมาเขาก่อตัว เราก็พยายามรู้ให้ทันตั้งแต่ต้นเหตุ ถ้าจิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวมจะเห็น สติของเราก็จะเห็น พอเห็นปุ๊บจิตมันก็จะดีดตัวออกจากความคิดตรงนั้น ก็เรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม‘ เขาเรียกว่าหงาย
จิตก็จะว่างกายก็จะเบา เวลาเดินเหินไปไหนนี่ก็กายก็จะเบาเหมือนกับไม่มีกาย แต่กายสมมุตก็มีอยู่ กําลังสติของเราก็จะตามดูเห็นการเกิดการดับของความคิดว่าเรื่องอะไรบ้าง ที่มันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เขาเรียกว่า ‘เห็นสภาวธรรม’ รอบรู้สภาวธรรม รอบรู้ในกองสังขาร

เวลาเขาเกิดขึ้นแล้วก็ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป นั่นแหละอนิจจัง ความไม่เที่ยงของความคิด เขาตั้งอยู่ เวลาเขาดับไปแล้วก็ อนัตตา ความว่างเปล่าก็มาปรากฏเรื่องใหม่ก็เข้ามาอีก เรื่องแล้วเรื่องเล่า จิตของเราเข้าไปรวมผสมโรงไปด้วยกัน นี่แหละมันหลงอยู่ในความรู้ตรงนี้ อวิชาความไม่รู้หลงอย่างลุ่มลึกเลยทีเดียว

ถ้าเราหมั่นฝึกฝนสติ หมั่นสร้างความระลึกรู้เข้าไปวิเคราะห์เข้าไปสังเกตดู รู้ไม่ทันเราก็รู้จักดับ รู้จักดับ ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะฝืน ฝืนกันเต็มที่ กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน เขาก็หาหนทางหาวิธีเข้ามาฉุดกระชากลากจิตของเราออกไป กําลังฝ่ายไหนจะมาก กําลังฝ่ายสติ หรือว่ากําลังฝ่ายกุศลจะมาก หรืออกุศลจะมาก เราก็ต้องพยายาม พยายามแก้ไขปรับปรุงตัวเราเองอยู่​ตลอดเวลา

บุคคลที่มีสติมีปัญญาฟังนิดเดียว การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การดับการละเป็นนี้ การเจริญพรหมวิหารเป็นอย่างนี้ การละกิเลสการควบคุมจิตเป็นอย่างนี้ จะไปเร่งทำความเพียรทั้งกลางวันทั้งกลางคืน ไม่ให้นิวรณ์เข้าครอบงำ ไม่ให้มลทินต่างๆ เข้าครอบงำจิตของตัวเอง

จิตจะเกิดกิเลส เราก็รู้จักดับรู้จักละ เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน จิตของเราเกิดความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่น จิตของเราเกิดความโลกความโกรธความอยาก เราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่นออกจากจิตจากใจของเรา ให้อภัยทานอโหสิกรรมมองโลกในทางที่ดีคิดดีตลอดเวลา

สักวันหนึ่งเราคงจะเดินถึงจุดหมายปลายทาง ต้องเคี่ยวเข็ญตัวเองวิเคราะห์พิจารณาหาเหตุหาผลให้กับตัวเราเองตลอดเวลา มีความรับผิดชอบต่อตัวเราเอง แล้วก็ต่อส่วนรวมอยู่ตลอดเวลา ถ้าถึงกาลถึงเวลาทุกคนก็ต้องได้พลัดพรากจากกันหมด ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนตายก็ต้องได้พลัดพรากจากกันจนเป็น อันนี้เป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของธรรมชาติ เพราะว่าทุกคนเดินเข้าไปสู่ความไม่เที่ยง หรือว่าความตาย

กฎของความตาย กายเนื้อก็เปลี่ยนแปลงจากเปลี่ยนสภาพจากตั้งแต่เกิดมาเติบโตขึ้นมา หรือว่าเสื่อมขึ้นเสื่อมลง แล้วก็สลายกลับคืนสู่สภาวะเดิมคือดินน้ำลมไฟเหมือนเดิม ทุกคนก็มีความรู้เหมือนกันหมด แต่จะรู้เรื่องจิตให้ละเอียดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับอานิสงส์ของแต่ละบุคคล

ถ้าหาไม่ถูกวิธีทำไม่ถูกวิธีก็ยิ่งห่างไกลจิต การค้นหาก็จะไปค้นหาด้วยตัวจิตด้วยปัญญาแบบโลกๆ นี่ ไม่มีวันเจอ เราต้องค้นหาด้วยการสร้างความระลึกรู้ สร้างสติเข้าไปสำรวจตรวจตาดู แล้วก็รู้จักดับรู้จักละรู้จักคลายออกให้หมดจากจิตจากใจของเรา

แต่เวลานี้จิตของเรามันสะสมความทะเยอทะยานอยาก สะสมความโลภความโกรธ สะสมความยินดียินร้าย สะสมความยึดมั่นถือมั่นเอาไว้เสียเต็มอัตราศึก ถ้าเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เรามาคลายออกทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ให้เหลืออยู่ที่ศูนย์คือความว่าง บางคนก็สะสมอานิสงส์สะสมบุญบารมี ตบะบารมีฝ่ายกุศล บางคนก็ทั้งกุศลทั้งอกุศล ทุกคนก็มีกันหมดจากหยาบๆ ไปหาละเอียด

กายเนื้อของเรานี่ก้อนกิเลส และก้อนกรรมเลยทีเดียว วิบากกรรมถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็อยู่ในภพของมนุษย์ ทีนี้เราก็ศึกษาเรื่องจิตของเราไม่ให้ไปก่อภพก่อชาติ แล้วก็ดับความเกิดคลายความยึดมั่นถือมั่น เราดับความเกิดได้ขณะที่เรายังครองกายเนื้ออยู่ ถ้ากายเนื้อแตกดับเราก็ จิตของเราก็จะไม่ไปเกิดที่ไหน ก็เข้าสู่ความสะอาดความบริสุทธิ์

เราพยายามทำจิตของเราให้สะอาดบริสุทธิ์เสีย ขณะที่เรายังมีกําลังอยู่ ถึงทำไม่หมดทำไม่ได้หมด เราก็พยายามค่อยทำไปเรื่อยๆ จากวันสองวันสามวันขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นเดือนเป็นปี จนข้ามภพข้ามชาตินั่นแหละ ถึงไม่หลุดในภพนี้ก็ไปหลุดในภพหน้า ก็ต้องพยายามกันนะ

พยายามกระตุ้นความรู้สึกการหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องสักนาทีสองนาทีให้ได้เสียก่อนนะ ถ้าไม่ได้จริงๆ ทำจิตของเราให้วางว่าง ทำกายของเราให้สบาย กระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่ปลายจมูกของเราให้เด่นชัด อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกันสักพักระยะหนึ่งเสียก่อนนะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง