หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549 ลำดับที่ 001

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549 ลำดับที่ 001
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549 ลำดับที่ 001
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2549
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความระลึกรู้ รู้กาย รู้การหายใจเข้าออกของตัวเราให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน ตามความเป็นจริงเราต้องพยายามสำรวจกายสำรวจจิตของเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ทุกอิริยาบถ​ทุกขณะลมหายใจเข้าออก

เราพยายามสำรวจ อะไรคือสติที่เราเข้าไปสำรวจจิตของเรา ความรู้สึกตัว เรามีความรู้สึกตัวรับรู้ทั่วพร้อมตั้งแต่ตื่นขึ้นมาแล้วหรือยัง ความระลึกรู้ตัวเราเผลอ พลั้งเผลอเราก็พยายามสร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาแล้วก็รู้จักรักษารู้จักเอาไปใช้ รู้กายรู้ระลึกรู้กายอย่างเช่นระลึกรู้ลมหายใจเข้าออก อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของกาย ในหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘อานาปานสติ’

ขณะที่เราระลึกรู้อยู่ ขณะที่เราระลึกรู้อยู่กับลมหายใจวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ หายใจออกมีความรู้สึกรับรู้เวลาลมกระทบปลายจมูกของเรา ส่วนจิตของเรานั้นก็ปกติอยู่ เรามีสติตื่นตัวอยู่ จิตจะส่งไปภายนอกสติก็รู้เท่าทัน เราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม รู้ลักษณะอาการการเกิดของจิต การก่อตัวของจิต

จิตจะเกิดส่งออกไปข้างนอกเป็นกุศล หรือว่าอกุศล จิตฟุ้งซ่านเรื่องอะไร เราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม เพียงแค่การสร้างความรู้สึกตัวพวกเราก็ยังทำไม่ค่อยจะต่อเนื่องกัน อยากจะเอาตั้งแต่ธรรม ปฏิบัติตั้งแต่ธรรมแต่ไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักทำความเข้าใจไปนึกไปคิดไปมั่นหมายเอา​ ว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ เราก็ต้องพยายามกระตุ้นความรู้สึกนั่นแหละให้เข้าไปสำรวจกายสำรวจจิตของเราทุกขณะทุกเวลา

ความรู้สึกตัวพลั้งเผลอเราก็สร้างขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอเราก็สร้างขึ้นมาใหม่ถ้าเราเกียจคร้านในการสร้างความรู้สึกตรงนี้เราจะไปเดิน เราไปวิเคราะห์ตัวสูงๆ ตัวจิต อาการของจิต อาการของขันธ์ห้านั้นไม่ได้เลย คนส่วนมากจะไปเอาตั้งแต่ปัญญา ปัญญาที่เกิดจากจิต ปัญญาที่เกิดจากขันธ์ห้าซึ่งเขาก็มีอยู่แล้ว แต่เราไม่ได้ทิ้งหรอก เราพยายามมาสร้างความรู้ตัวเข้าไปทำความเข้าใจ เข้าไปคลายจิตออกจากความคิดให้ได้เสียก่อน แล้วตามทำความเข้าใจซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’

แม้ตั้งแต่อยาก ความอยากนี้เราต้องดูให้ชัดแจ้งให้ชัดเจน อยากจะมีอยากจะเป็น อยากจะไปอยากจะมา แม้แต่อยากคิด อยากจะรู้ธรรมอยากจะได้ธรรม ถ้าเราดับถ้าเราสร้างความรู้สึกตัวเข้าไปดับเข้าไปควบคุม จิตของเราก็จะสงบระงับตั้งมั่นขึ้น ถ้าความรู้สึกตัวรู้ขณะจิตกับอาการของขันธ์ห้าเขาจะเข้าไปร่วมกัน จิตก็จะคลายออก หรือว่าดีดออก ซึ่งภาษาธรรมะท่านเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’

จิตก็จะหงายขึ้นมาเหมือนกับเราหงายของที่คว่ำ จิตก็จะว่าง กายก็จะเบา นั่นแหละเราก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตา ในเรื่องอนัตตา ขณะที่จิตยังไม่ได้หงาย จิตของเรายังเป็นอัตตาอยู่ ขณะที่จิตแยกหงายออกมา จิตของเราก็จะเป็นอนัตตา คือความว่าง จิตก็ว่าง กายก็เบา ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมก็จะรู้ตามดูความเกิดความดับของขันธ์ห้า

แต่เรารู้อยู่เมื่อเขาเกิดแล้ว เรารู้อยู่เมื่อเขาตั้งอยู่แล้ว แต่เราไม่ได้รู้อยู่ช่วงขณะที่เขาก่อตัวเขาเกิด เขาเริ่มก่อตัวอย่างไร ลักษณะอาการเขาเป็นอย่างไรเรารู้ตั้งแต่ชื่อของเขา จิตของเราเข้าไปรวมจนเป็นสิ่งเดียวกัน แล้วก็ไปด้วยกันก็เลยรู้อยู่เพียงแค่ว่าเราคิด แล้วก็ทำตามความคิดทำตามอารมณ์ นั่นแหละจิตมันหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้นอยู่ เราต้องพยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์อยู่บ่อยๆ อยู่เนืองๆ

ความปกติของจิตเป็นอย่างไร ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร ถ้าเรายังแยกไม่ได้นี้จะพลั้งเผลอ สติของเราจะพลั้งเผลอเสียส่วนมาก ถ้าเราแยกได้ ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจดู จิตของเราก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม ส่วนมากคนเราก็อยู่ในศรัทธากับความเสียสละกับการให้ทาน อยู่ในระดับนี้เสียส่วนมาก แต่ไม่ได้สร้างความรู้ตัวเข้าไปสำรวจให้รู้แจ้งเห็นจริงตั้งแต่ต้นเหตุหาปลายเหตุ พยายามทำปัจจุบันให้แจ้ง คือทุกขณะจิตทุกขณะลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่ว่าปัจจุบันในทางโลกนะ ปัจจุบันในทางธรรมคือรู้ตัวทุกขณะทุกเวลา

การไปนึกไปคิดไปอ่านไปฟัง อันนั้นเป็นแค่เพียงแนวทางเท่านั้นเอง การสังเกตการวิเคราะห์ สังเกตไม่ทันเราก็รู้จักดับรู้จักละ ละกิเลสละความโลภละความโกรธคลายความหลง คลายความหลงให้ได้เสียก่อนแล้วก็มาดับความเกิดที่จิต ตัวใหญ่ๆ ส่วนมากนานๆ มันถึงจะเกิด ไอ้ความคิดที่เกิดไปๆ มาๆ นี่แหละมันเกิดอย่างไรไปอย่างไรมาอย่างไร​ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจิตของเราส่งออกไปข้างนอกสักกี่เรื่อง ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่เรื่อง เราพยายามหาเหตุตรงนี้ให้เจอเสียก่อน

ถ้าเรารู้ต้นเหตุจากจุดนี้แล้วเราก็จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างนั่นแหละที่เราควรจะรู้ รู้สาเหตุแห่งทุกข์ รู้การดับทุกข์ อะไรที่มาทำให้จิตของเราเกิด เหตุจากภายนอกมาทำให้เกิด หรือเกิดขึ้นจากตัวจิตโดยตรง เราต้องพยายามวิเคราะห์ ไม่มีเรื่องอะไรมากมายเลยถ้าเราหมั่นสนใจหมั่นวิเคราะห์

เหมือนกับพระพุทธองค์ที่กำใบไม้มากำมือเดียว แล้วก็ถามพระภิกษุสงฆ์มากมายว่า ‘ใบไม้ในป่ากับใบไม้ในกำมือเหมือนกันไหม’ ก็เหมือนกัน ถ้าเราพิจารณาใบไม้อยู่แค่ในกำมือก็เหมือนกับใบไม้ในป่า ถ้าเราพิจารณาจิต พิจารณากายของเราคนเดียว คนอื่นก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ

แต่ส่วนมากจะมองตั้งแต่ภายนอก คนนั้นเป็นอย่างนี้ คนนี้เป็นอย่างนั้น เหตุสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นสิ่งนี้เป็นอย่างนี้ มันจะลากไปภายนอกกันเสียหมด อันนี้ก็ว่ากันไม่ได้เพราะว่าวิบากกรรม ถ้าเรามองลึกๆ ให้มองลงไปที่วิบากกรรมวิบากกรรม กรรมทางสมมติมันก็ฉุดรั้งเอาไว้ เดี๋ยวก็เรื่องนั้นบ้างเรื่องครอบครัวบ้าง เรื่องลูกเรื่องหลานบ้าง เรื่องภาระหน้าที่การงานบ้าง สารพัดเรื่องที่มันมาฉุดมารั้งเอาไว้

แต่เราก็ต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์หมั่นพิจารณา หมั่นแก้ไขหมั่นปรับปรุงไม่แก้ไขด้วยอำนาจของความอยาก ไม่แก้ไขด้วยอำนาจของอารมณ์ ทำให้ถูกต้องเสีย วิบากกรรมสมมติก็จะเบาบางลงๆ ถ้าวิบากกรรมสมมติเบาบางลงไปแล้ว ตัวจิตมันก็จะค่อยปล่อยค่อยวางได้เร็วได้ไวขึ้น ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บจะได้ปั๊บ

จะเอาตั้งแต่ธรรม อยากจะแสวงหาตั้งแต่ธรรม แต่สมมติของเราก็ยังลำบากอยู่ ปากท้องก็ยังลำบากอยู่ ครอบครัวก็ยังลำบากอยู่ ภาระหน้าที่การงานก็ยังยุ่งเหยิงอยู่ เราพยายามทำให้ดีจัดระบบระเบียบของเขาให้ดีเสีย แล้วก็ทำให้มันถูกต้องเสีย มันก็ส่งผลถึงภายใน

ทุกเรื่องที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่าย เราต้องหัดวิเคราะห์ อันนี้เรื่องของกาย อันนี้เรื่องของจิต แต่เขาก็อาศัยกันอยู่ สมมติกับวิมุตติก็อาศัยกันอยู่ อัตตากับอนัตตาเขาก็อยู่ร่วมกัน วิมุตติกับสมมติเขาก็อยู่ร่วมกันแต่เราต้องแยกแยะด้วยการเจริญสติด้วยการสังเกตด้วยการวิเคราะห์ให้ได้จริงๆ แล้วก็แยกให้ได้จริงๆ

ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่าเป็นขันธ์ของใครขันธ์ของมันอยู่ กองของใครกองของมันอยู่ กองของความคิด กองของรูปธรรมกองของนามธรรม กองของนามธรรมก็ยังแยกจำแนกแจกแจงออกไปอีกว่าเป็นเรื่องอะไรบ้าง เรื่องอดีตเรื่องอนาคตบางทีก็เป็นกลางๆ ตัววิญญาณ ตัวธาตุขันธ์ ตัววิญญาณของเรามันเข้าไปรวมเข้าไปร่วมได้อย่างไร ทำไมถึงเกิดอัตตาตัวตน ทำไมถึงเข้าไปหลงอีก

นี่แหละถ้าเราแยกได้เราก็จะเข้าใจในเรื่องสัมมาทิฏฐิ แล้วก็เรื่องการเดินวิปัสสนา การตามทำความเข้าใจ เห็นอนิจจังทุกขังอนัตตาของขันธ์ห้าว่าเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ที่พระพุทธองค์ท่านเปรียบเอาไว้เปรียบเสมือนกับพยับแดด เวลาเราเดินไปตามท้องถนนเวลาแดดร้อนๆ เราเห็นเปลวเพลิงเปลวแดดลุกโพลงๆ เราเข้าไปใกล้ๆมันก็หายไปมันไม่มีตัวไม่มีตน เป็นแค่เพียงอาการ

หรือท่านเปรียบเอาไว้เปรียบเสมือนกับลูกคลื่น เวลาเราไปยืนอยู่บนฝั่งทะเล เราก็จะเห็นลูกคลื่นวิ่งเข้ากระทบฝั่ง เราก็มองเห็นอยู่ในทะเลเป็นลูกอยู่ เวลาเข้ากระทบฝั่งแล้วก็หายไป อาการของความคิดก็เหมือนกัน มันก่อตัวมันเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ซึ่งตรงนี้มันมีอยู่แต่เราไม่เห็น เรารู้อยู่เมื่อจิตของเราเข้าไปรวม

เหมือนกับเชือกเส้นเดียว เรามองเห็นเฉพาะเชือกเส้นเดียวในเชือกเส้นนั้นมันมีกี่เกลียว มันมีอยู่​ 5 เกลียว เราต้องพยายามจับฉีกออกมาทีละเกลียวๆ จนเห็นเป็นทีละขันธ์ ขันธ์ของใครขันธ์ของมันที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่ากองของใครกองของมันนั่นแหละ ส่วนวิญญาณก็กองหนึ่ง ส่วนความคิดก็กองหนึ่งส่วนรูปธรรมก็กองหนึ่ง ส่วนเวทนาก็กองหนึ่ง มันอยู่กองของใครกองของมันอยู่ เราต้องแยกออกให้เห็นจริงๆ ถึงขนาดนั้น จิตของเราถึงจะยอมรับความจริงจิตของเราถึงจะปล่อยถึงจะวางได้

ตราบใดที่จิตของเรายังแยกไม่ได้ ปล่อยวางไม่ได้ ละวางไม่ได้ เราก็พยายามหมั่นสร้างอานิสงส์สร้างตบะสร้างบารมี รู้จักควบคุมจิต รู้จักควบคุมอารมณ์บ้าง รู้จักควบคุมกายรู้จักวิเคราะห์ หูตาจมูกลิ้นกายของเราทำหน้าที่อย่างไร รูปรสกลิ่นเสียงผ่านเข้ามาทางทวารทั้งหก จิตหรือว่าดวงวิญญาณของเราเกิดความยินดียินร้ายไหม เราควบคุมจิตของเราได้ไหม สมมติของเราอยู่ในระดับกุศลหรือไม่ หรือว่าเป็นอกุศล การควบคุมจิตเราควบคุมได้ระดับไหน ระดับตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ หรือเรารู้เท่าทันรู้กันรู้แก้แล้วก็รู้ก่อน หรือเอาสติไปใช้ เราก็ต้องพยายามแก้ไขกันไป ทีละเล็กทีละน้อย จากวันหนึ่ง 2 วัน 3 วัน เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนเต็มรอบนั่นแหละ จนรู้เองเห็นเอง

บุคคลที่มีสติมีปัญญาจะหมั่นพร่ำสอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่จําเป็นต้องไปเที่ยวให้คนอื่นเขาพร่ำสอนหรอก เรานี่แหละพร่ำสอนตัวเราแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราตลอดเวลา ที่เราไม่เข้าใจต้องวิ่งแสวงหาครูบาอาจารย์แสวงหาสถานที่
ตามความเป็นจริงแล้วก็สตินั่นแหละเป็นอาจารย์คอยตรวจสอบเรา เรารู้จักสร้างสติสร้างความระลึกรู้ตัวขึ้นมา แล้วก็ไปควบคุมจิต ควบคุมจิตควบคุมอารมณ์ แล้วก็ไปคลายจิตออกขันธ์ห้าให้ได้เสียก่อน เราก็จะตรวจสอบเราตลอดเวลา เราก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธองค์ตลอดเวลา

รูปรสกลิ่นเสียงก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา ไม่จำเป็นต้องไปให้คนอื่นเขาสอนให้หรอก บุคคลมีสติมีปัญญาฟังนิดเดียว การสร้างความระลึกรู้ตัวหรือว่าสร้างสติเป็นอย่างนี้ การรักษาสติเป็นอย่างนี้ การดับการควบคุม ต่อไปข้างหน้าการแยกเป็นอย่างนี้ เขาก็จะตามมาเรื่อยๆ ตามมาเรื่อยๆ แต่อย่าทำด้วยความอยากที่เกิดจากจิตเท่านั้นเอง

ก็ต้องพยายามหมั่นฝักใฝ่หมั่นสนใจกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็ต้องพยายาม ขยันหมั่นเพียรทุกสิ่งทุกอย่าง ให้รู้จักรับผิดชอบตัวเรา รับผิดชอบต่อส่วนรวม อยู่ที่ไหนก็จะอยู่ดีมีความสุข ก็ต้องพยายามกันต่อไปนะ

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง