หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 120
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 120
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ ทำความสงบให้เกิดขึ้นในใจของพวกเรา สักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อนนะ นั่งตามอิริยาบถให้สบาย วางกายให้สบายเสียก่อน จะลุกจะก้าวจะเดินไปไหนก็อย่าเพิ่ง จะคิดเรื่องอะไรต่างๆ ก็พยายามหยุดพยายามดับเอาไว้
นั่งให้สบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว ลองดูนะ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ความคิดต่างๆ ก็จะหยุดนิ่ง ความรู้สึกรับรู้เวลาลมกระทบปลายจมูก เราก็จะรู้มีความรู้สึกรับรู้ที่ชัดเจน ความรู้สึกตัวนั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สติรู้ตัว รู้กาย’ เวลาลมหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ เวลาหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ พยายามสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ส่วนมากเราจะไปนึกไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ อันนี้อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้ว เราต้องสร้างความรู้ตัว รู้กาย รู้จิต รู้ทุกขณะจิต รู้อาการของจิต รู้ลักษณะอาการของขันธ์ห้า
จิตกับขันธ์ห้าเขาเข้าไปรวมกันเป็นสิ่งเดียวกันได้อย่างไร เรารู้ตั้งแต่ต้นเหตุ เขาก่อเขาเกิด จนกว่าจะรู้จิตกับขันธ์ห้าเขาแยกออกจากกัน ซึ่งเรียกว่า ‘รู้แจ้งเห็นจริง’ สัมมาทิฏฐิเปิดทางให้ ถ้ากำลังสติของเรามีไม่เพียงพอก็ยากที่จะเห็นตรงนี้ เพราะว่ากำลังสติของเราไม่ค่อยจะได้สร้างกัน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ไม่รู้ว่าจิตคิดไปภายนอกสักกี่เรื่อง ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่ครั้ง อะไรคือส่วนรูปธรรม อะไรคือส่วนนามธรรม แต่เรามองเหมารวมกันไปหมด ก็เลยจำแนกแจกแจงไม่ออก ว่าอะไรเป็นสิ่งไหนเป็นอย่างไร
เหมือนกับเชือกนั่นแหละ เรามองเห็นเป็นเส้นเดียวกัน แต่ตามความเป็นจริงแล้วก็มีหลายเกลียวเข้ามาหล่อหลอมรวมกันเป็นเส้นเดียวกัน ให้เรามองให้ลึกๆ ว่าเกลียวไหนเกลียวไหน กายของเราก็เหมือนกัน กายของเราก็ที่พระพุทธองค์บอกว่าเป็นกอง กองของสังขาร กองของรูป กองของรูปกองของนาม เขามารวมกันอยู่ ถ้าเราไม่เจริญสติ หรือว่าไม่สร้างความรู้สึกตัวเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ตั้งแต่ต้นเหตุ ก็ยากที่จะเข้าใจ
ส่วนมากเราก็จะใช้ปัญญาเก่าที่เกิดจากตัวจิตส่งไปพิจารณา หรือว่าปัญญาของขันธ์ห้ากับจิตเขาร่วมกันไปอยู่ เรารู้อยู่ว่าเราคิด เราก็ทำตามความคิด แต่ในความเป็นจริงนั้น จิตกับความคิดตรงนั้นเขารวมกันไปอยู่ เขารวมกันไปจนเป็นสิ่งเดียวกันแนบแน่นเลยทีเดียว นอกจากบุคคลที่มีกำลังสติที่เร็วไวแล้วก็แหลมคมถึงจะสังเกตเห็นตรงนี้ เราต้องพยายามเอา แล้วก็พยายามสร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเราอยู่ตลอดเวลา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาก็รีบสำรวจตัวเรา อย่าให้คนอื่นได้บังคับได้เคี่ยวเข็ญ เราต้องบังคับเรา แก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเรา อยู่ตลอดเวลา อะไรผิดพลาดเราก็รีบแก้ไขเสีย จิตของเราเกิดกุศลหรือว่าเกิดอกุศล เหตุการณ์จากภายใน เกิดจากข้างนอกมาทำให้จิตเกิด หรือว่าเกิดจากภายในโดยตรง เป็นกุศลหรือว่าเป็นอกุศล อะไรควรเจริญ อะไรควรละ ส่วนสมมติโลกธรรมแปดในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว อะไรขาดตกบกพร่องเราก็รีบแก้ไข เพื่อที่จะยังสมมติให้อยู่ดีมีความสุข อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง เราพยายามทำปัจจุบันให้ดี แต่อย่าทำด้วยความทะเยอทะยานอยากที่เกิดจากตัวจิต ให้ทำด้วยสติทำด้วยปัญญา รับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา
ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ว่าอันนี้เป็นสติ อันนี้เป็นปัญญา เราต้องให้รู้จิตของเราเสียก่อน รู้ลักษณะของจิต รู้ลักษณะของความสงบ รู้ลักษณะของความปกติ แล้วก็คลายจิตออกจากขันธ์ห้า ให้เขารับรู้อยู่ในกาย หนุนกำลังสติเข้าไปทำเสียก่อน
ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะสับสน เพราะว่าเรายังคลายจิตออกจากความคิดไม่ได้ จะทำงานภายนอกก็ลืมภายใน จะเอาข้างในก็ลืมข้างนอก เราก็ต้องพยายามวางภายนอก หันมาสังเกตดูการเกิดการดับของจิตของเราให้ชัดเจน เรารู้จักควบคุมจิตควบคุมอารมณ์ ทุกคนก็ควบคุมจิตควบคุมอารมณ์ได้อยู่ในระดับหนึ่ง ทุกคนก็ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมกันมาอย่างดีอยู่ในระดับหนึ่ง อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่ได้ประพฤติไม่ได้ปฏิบัติ ทุกคนปฏิบัติธรรมกันมาก่อนถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์
ในเมื่อเราเกิดมาแล้ว การพัฒนาทางด้านรูปกายก็พัฒนามาเรื่อยๆ จากเด็กเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลา รู้จักรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี อันนี้ก็เป็นการปฏิบัติอยู่ในระดับของสมมติ บางคนบางท่านก็สมมติก็บริบูรณ์ บางคนบางท่านสมมติก็ยังไม่บริบูรณ์ ก็ต้องพยายามเอานะ อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง
ปีเก่าก็จะผ่านไป ปีใหม่ก็จะเข้ามาแทนที่ ตามความเป็นจริงก็มีตั้งแต่มืดกับแจ้ง เราพยายามทำปัจจุบันให้ดี อนาคตก็จะออกมาดี อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราได้สร้างประโยชน์อะไรบ้าง กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกหูตาจมูกลิ้นของเราทำหน้าที่อย่างไร เราต้องศึกษาให้ละเอียด คนที่จะเข้าไปถึงจุดหมายปลายทางได้ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร แล้วก็เป็นคนขัดเกลากิเลสตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่ากิเลสใหญ่โต หรือว่ากิเลสตัวเล็กๆ เราพยายามกำจัดออกให้มันหมดด้วยการเจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน
อยู่ที่ไหนก็จะเป็นวัด อยู่บ้านก็เป็นวัด อยู่ที่ทำงานก็จะเป็นวัด เราทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ นอกนั้นก็มีตั้งแต่การสร้างประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์อยู่ปัจจุบัน ถ้าเราทำปัจจุบันดีอนาคตก็จะออกมาดีเองนะ
แม้ตั้งแต่เรื่องของการหายใจเข้าออก พวกเราก็ต้องพยายามศึกษา พยายามทำให้เกิดความเคยชิน หายใจอย่างไรถึงจะเป็นธรรมชาติที่สุด หายใจอย่างไรถึงจะไม่อึดอัด เพียงแค่บอกว่าให้สร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่การหายใจเข้าออกก็เริ่มอึดอัด บางทีสติหรือว่าส่วนสมองก็ตึง บางทีหน้าอกก็แน่น เพราะว่าเราเอาสติไปจดจ่ออยู่กับลมหายใจ สมองก็จะตึงเครียด บางทีเราสติไปจดจ่อไปกำหนดอยู่กับลมหายใจ หน้าอกก็เลยแน่น ให้เราผ่อนคลายทุกสิ่งทุกอย่าง สร้างความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้สึกรับรู้มันพลั้งเผลอไปเราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกขึ้นมาใหม่ ทำอยู่บ่อยๆ อย่าไปเกียจคร้าน พยายามทำตรงนี้ให้เกิดความเคยชิน อยู่คนเดียวก็พยายามหัดสังเกตเรา อยู่หลายคน เราพยายามหัดสังเกตเรา สังเกตอยู่บ่อยๆ ก็จะเกิดความเคยชินเองนั่นแหละ
ถ้าเราขาดการสังเกตขาดการวิเคราะห์ ยิ่งทำไปก็ยิ่งอึดอัด ยิ่งติดขัดก็ยิ่งทิ้ง ไม่สนใจ นั่นแหละยิ่งห่างไกล ไม่เข้าใจเท่าไรเราก็ยิ่งเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณๆ แต่อย่าทำด้วยความอยาก พยายามตั้งสติ ทำอยู่บ่อยๆ จะลุกจะก้าวจะเดินปุ๊บ เราก็เปลี่ยนความรู้สึกอยู่ที่การก้าวการเดินของเรา ขาซ้ายขาขวา ฝ่าเท้าซ้ายฝ่าเท้าขวากระทบพื้น
สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เขาก็จะรู้เท่าทัน จิตจะเกิด สติรู้ตัวอยู่กับปัจจุบัน เขาก็จะรู้เท่าทัน ก็จะเห็นชัดเจน อะไรสติ อะไรคือจิต ส่วนจิตคิดไปภายนอก เราก็รู้เท่าทัน จิตเกิดความโกรธเราก็รู้จักระงับรู้จักดับ ไอ้ตัวโกรธนั่นแหละคือตัวจิต ไอ้ตัวเข้าไประงับคือตัวสติ เวลารับประทานอาหารก็เหมือนกัน กายหิวหรือว่าจิตเกิดความอยาก เราก็ต้องพยายามรู้ดูให้ชัดเจน ถ้ากายหิวจิตเกิดความอยาก เราก็พยายามระงับดับความอยากเสียก่อน แล้วก็เอาสติไปพิจารณาอาหารมาให้กาย นี่แหละเขาเรียกว่า ‘ปฏิสังขาโยฯ’
ทุกเรื่อง เวลาตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส เหมือนกันหมด พิจารณาเหมือนกันหมด ถ้าคนเรารู้จักวิเคราะห์พิจารณา ส่วนมากจะไม่ค่อยจะพิจารณา จะพิจารณาเป็นบางครั้งบางคราว ไม่พิจารณาให้ได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่ความคิดเล็กๆ น้อยๆ เขาก่อตัวอย่างไร เขาเกิดอย่างไร เขาส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร คำว่า ‘การเกิดการดับของนามธรรม’ เป็นอย่างไร ลักษณะอาการของขันธ์ห้าเป็นอย่างไร เรื่องอดีตเรื่องอนาคต ตัวจิตเข้าไปร่วมเข้าไปเสวยได้อย่างไร
จิตส่งไปภายนอกเขาเรียกว่า ‘สมุทัย’ จิตส่งออกไปข้างนอกเราก็รู้จักวิธีการดับ ดับอย่างไร ดับตั้งแต่เบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย เราก็จะน้อมเข้าหลักของอริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ที่พระพุทธองค์ท่านได้ชี้แนะแล้วก็ชี้แนวทางเอาไว้ให้ ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริงก็จะเปิดทางให้ เราก็จะมองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง ทีนี้เราจะละกิเลสได้หมดจดหรือไม่ก็ขึ้นกับความเพียรของเรานะ พยายามตั้งใจกันเอา
ปีเก่าผ่านไป ปีใหม่เข้ามาถึง หลวงพ่อก็ขออวยพรให้ทุกคนจงอยู่ดีมีความสุข ขอให้สุขสมหวังทุกคน ทุกท่าน ทุกประการ ด้วยเทอญ ขอเจริญธรรม
นั่งให้สบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว ลองดูนะ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ความคิดต่างๆ ก็จะหยุดนิ่ง ความรู้สึกรับรู้เวลาลมกระทบปลายจมูก เราก็จะรู้มีความรู้สึกรับรู้ที่ชัดเจน ความรู้สึกตัวนั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สติรู้ตัว รู้กาย’ เวลาลมหายใจเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ เวลาหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ พยายามสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ส่วนมากเราจะไปนึกไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ อันนี้อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้ว เราต้องสร้างความรู้ตัว รู้กาย รู้จิต รู้ทุกขณะจิต รู้อาการของจิต รู้ลักษณะอาการของขันธ์ห้า
จิตกับขันธ์ห้าเขาเข้าไปรวมกันเป็นสิ่งเดียวกันได้อย่างไร เรารู้ตั้งแต่ต้นเหตุ เขาก่อเขาเกิด จนกว่าจะรู้จิตกับขันธ์ห้าเขาแยกออกจากกัน ซึ่งเรียกว่า ‘รู้แจ้งเห็นจริง’ สัมมาทิฏฐิเปิดทางให้ ถ้ากำลังสติของเรามีไม่เพียงพอก็ยากที่จะเห็นตรงนี้ เพราะว่ากำลังสติของเราไม่ค่อยจะได้สร้างกัน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ไม่รู้ว่าจิตคิดไปภายนอกสักกี่เรื่อง ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่ครั้ง อะไรคือส่วนรูปธรรม อะไรคือส่วนนามธรรม แต่เรามองเหมารวมกันไปหมด ก็เลยจำแนกแจกแจงไม่ออก ว่าอะไรเป็นสิ่งไหนเป็นอย่างไร
เหมือนกับเชือกนั่นแหละ เรามองเห็นเป็นเส้นเดียวกัน แต่ตามความเป็นจริงแล้วก็มีหลายเกลียวเข้ามาหล่อหลอมรวมกันเป็นเส้นเดียวกัน ให้เรามองให้ลึกๆ ว่าเกลียวไหนเกลียวไหน กายของเราก็เหมือนกัน กายของเราก็ที่พระพุทธองค์บอกว่าเป็นกอง กองของสังขาร กองของรูป กองของรูปกองของนาม เขามารวมกันอยู่ ถ้าเราไม่เจริญสติ หรือว่าไม่สร้างความรู้สึกตัวเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ตั้งแต่ต้นเหตุ ก็ยากที่จะเข้าใจ
ส่วนมากเราก็จะใช้ปัญญาเก่าที่เกิดจากตัวจิตส่งไปพิจารณา หรือว่าปัญญาของขันธ์ห้ากับจิตเขาร่วมกันไปอยู่ เรารู้อยู่ว่าเราคิด เราก็ทำตามความคิด แต่ในความเป็นจริงนั้น จิตกับความคิดตรงนั้นเขารวมกันไปอยู่ เขารวมกันไปจนเป็นสิ่งเดียวกันแนบแน่นเลยทีเดียว นอกจากบุคคลที่มีกำลังสติที่เร็วไวแล้วก็แหลมคมถึงจะสังเกตเห็นตรงนี้ เราต้องพยายามเอา แล้วก็พยายามสร้างบารมีให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเราอยู่ตลอดเวลา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาก็รีบสำรวจตัวเรา อย่าให้คนอื่นได้บังคับได้เคี่ยวเข็ญ เราต้องบังคับเรา แก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเรา อยู่ตลอดเวลา อะไรผิดพลาดเราก็รีบแก้ไขเสีย จิตของเราเกิดกุศลหรือว่าเกิดอกุศล เหตุการณ์จากภายใน เกิดจากข้างนอกมาทำให้จิตเกิด หรือว่าเกิดจากภายในโดยตรง เป็นกุศลหรือว่าเป็นอกุศล อะไรควรเจริญ อะไรควรละ ส่วนสมมติโลกธรรมแปดในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว อะไรขาดตกบกพร่องเราก็รีบแก้ไข เพื่อที่จะยังสมมติให้อยู่ดีมีความสุข อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง เราพยายามทำปัจจุบันให้ดี แต่อย่าทำด้วยความทะเยอทะยานอยากที่เกิดจากตัวจิต ให้ทำด้วยสติทำด้วยปัญญา รับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา
ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ว่าอันนี้เป็นสติ อันนี้เป็นปัญญา เราต้องให้รู้จิตของเราเสียก่อน รู้ลักษณะของจิต รู้ลักษณะของความสงบ รู้ลักษณะของความปกติ แล้วก็คลายจิตออกจากขันธ์ห้า ให้เขารับรู้อยู่ในกาย หนุนกำลังสติเข้าไปทำเสียก่อน
ช่วงใหม่ๆ ก็อาจจะสับสน เพราะว่าเรายังคลายจิตออกจากความคิดไม่ได้ จะทำงานภายนอกก็ลืมภายใน จะเอาข้างในก็ลืมข้างนอก เราก็ต้องพยายามวางภายนอก หันมาสังเกตดูการเกิดการดับของจิตของเราให้ชัดเจน เรารู้จักควบคุมจิตควบคุมอารมณ์ ทุกคนก็ควบคุมจิตควบคุมอารมณ์ได้อยู่ในระดับหนึ่ง ทุกคนก็ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมกันมาอย่างดีอยู่ในระดับหนึ่ง อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่ได้ประพฤติไม่ได้ปฏิบัติ ทุกคนปฏิบัติธรรมกันมาก่อนถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์
ในเมื่อเราเกิดมาแล้ว การพัฒนาทางด้านรูปกายก็พัฒนามาเรื่อยๆ จากเด็กเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลา รู้จักรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี อันนี้ก็เป็นการปฏิบัติอยู่ในระดับของสมมติ บางคนบางท่านก็สมมติก็บริบูรณ์ บางคนบางท่านสมมติก็ยังไม่บริบูรณ์ ก็ต้องพยายามเอานะ อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง
ปีเก่าก็จะผ่านไป ปีใหม่ก็จะเข้ามาแทนที่ ตามความเป็นจริงก็มีตั้งแต่มืดกับแจ้ง เราพยายามทำปัจจุบันให้ดี อนาคตก็จะออกมาดี อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง แต่ละวันตื่นขึ้นมาเราได้สร้างประโยชน์อะไรบ้าง กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกหูตาจมูกลิ้นของเราทำหน้าที่อย่างไร เราต้องศึกษาให้ละเอียด คนที่จะเข้าไปถึงจุดหมายปลายทางได้ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร แล้วก็เป็นคนขัดเกลากิเลสตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่ากิเลสใหญ่โต หรือว่ากิเลสตัวเล็กๆ เราพยายามกำจัดออกให้มันหมดด้วยการเจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน
อยู่ที่ไหนก็จะเป็นวัด อยู่บ้านก็เป็นวัด อยู่ที่ทำงานก็จะเป็นวัด เราทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ นอกนั้นก็มีตั้งแต่การสร้างประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์อยู่ปัจจุบัน ถ้าเราทำปัจจุบันดีอนาคตก็จะออกมาดีเองนะ
แม้ตั้งแต่เรื่องของการหายใจเข้าออก พวกเราก็ต้องพยายามศึกษา พยายามทำให้เกิดความเคยชิน หายใจอย่างไรถึงจะเป็นธรรมชาติที่สุด หายใจอย่างไรถึงจะไม่อึดอัด เพียงแค่บอกว่าให้สร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่การหายใจเข้าออกก็เริ่มอึดอัด บางทีสติหรือว่าส่วนสมองก็ตึง บางทีหน้าอกก็แน่น เพราะว่าเราเอาสติไปจดจ่ออยู่กับลมหายใจ สมองก็จะตึงเครียด บางทีเราสติไปจดจ่อไปกำหนดอยู่กับลมหายใจ หน้าอกก็เลยแน่น ให้เราผ่อนคลายทุกสิ่งทุกอย่าง สร้างความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้สึกรับรู้มันพลั้งเผลอไปเราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกขึ้นมาใหม่ ทำอยู่บ่อยๆ อย่าไปเกียจคร้าน พยายามทำตรงนี้ให้เกิดความเคยชิน อยู่คนเดียวก็พยายามหัดสังเกตเรา อยู่หลายคน เราพยายามหัดสังเกตเรา สังเกตอยู่บ่อยๆ ก็จะเกิดความเคยชินเองนั่นแหละ
ถ้าเราขาดการสังเกตขาดการวิเคราะห์ ยิ่งทำไปก็ยิ่งอึดอัด ยิ่งติดขัดก็ยิ่งทิ้ง ไม่สนใจ นั่นแหละยิ่งห่างไกล ไม่เข้าใจเท่าไรเราก็ยิ่งเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณๆ แต่อย่าทำด้วยความอยาก พยายามตั้งสติ ทำอยู่บ่อยๆ จะลุกจะก้าวจะเดินปุ๊บ เราก็เปลี่ยนความรู้สึกอยู่ที่การก้าวการเดินของเรา ขาซ้ายขาขวา ฝ่าเท้าซ้ายฝ่าเท้าขวากระทบพื้น
สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เขาก็จะรู้เท่าทัน จิตจะเกิด สติรู้ตัวอยู่กับปัจจุบัน เขาก็จะรู้เท่าทัน ก็จะเห็นชัดเจน อะไรสติ อะไรคือจิต ส่วนจิตคิดไปภายนอก เราก็รู้เท่าทัน จิตเกิดความโกรธเราก็รู้จักระงับรู้จักดับ ไอ้ตัวโกรธนั่นแหละคือตัวจิต ไอ้ตัวเข้าไประงับคือตัวสติ เวลารับประทานอาหารก็เหมือนกัน กายหิวหรือว่าจิตเกิดความอยาก เราก็ต้องพยายามรู้ดูให้ชัดเจน ถ้ากายหิวจิตเกิดความอยาก เราก็พยายามระงับดับความอยากเสียก่อน แล้วก็เอาสติไปพิจารณาอาหารมาให้กาย นี่แหละเขาเรียกว่า ‘ปฏิสังขาโยฯ’
ทุกเรื่อง เวลาตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส เหมือนกันหมด พิจารณาเหมือนกันหมด ถ้าคนเรารู้จักวิเคราะห์พิจารณา ส่วนมากจะไม่ค่อยจะพิจารณา จะพิจารณาเป็นบางครั้งบางคราว ไม่พิจารณาให้ได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่ความคิดเล็กๆ น้อยๆ เขาก่อตัวอย่างไร เขาเกิดอย่างไร เขาส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร คำว่า ‘การเกิดการดับของนามธรรม’ เป็นอย่างไร ลักษณะอาการของขันธ์ห้าเป็นอย่างไร เรื่องอดีตเรื่องอนาคต ตัวจิตเข้าไปร่วมเข้าไปเสวยได้อย่างไร
จิตส่งไปภายนอกเขาเรียกว่า ‘สมุทัย’ จิตส่งออกไปข้างนอกเราก็รู้จักวิธีการดับ ดับอย่างไร ดับตั้งแต่เบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย เราก็จะน้อมเข้าหลักของอริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ที่พระพุทธองค์ท่านได้ชี้แนะแล้วก็ชี้แนวทางเอาไว้ให้ ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริงก็จะเปิดทางให้ เราก็จะมองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง ทีนี้เราจะละกิเลสได้หมดจดหรือไม่ก็ขึ้นกับความเพียรของเรานะ พยายามตั้งใจกันเอา
ปีเก่าผ่านไป ปีใหม่เข้ามาถึง หลวงพ่อก็ขออวยพรให้ทุกคนจงอยู่ดีมีความสุข ขอให้สุขสมหวังทุกคน ทุกท่าน ทุกประการ ด้วยเทอญ ขอเจริญธรรม