หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 054
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 054
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเขาวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่ง ตามความเป็นจริงเราต้องสร้าง เราต้องมีความรู้สึกรับรู้อยู่ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ให้ได้ทุกอิริยาบถ เป็นการน้อมรู้กายของเรา ภาษาธรรมะท่านเรียกว่า ‘อานาปานสติ’ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้สึกตัวแล้วหรือยัง หรือว่าปล่อยจิตของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่องสักกี่เที่ยว ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่ครั้ง เราสำรวจจิตของเราแล้วหรือยัง อันนี้ถ้าเราไม่สร้างความรู้ตัวจริงๆ ก็ยากที่จะรู้จิต รู้ลักษณะของจิต ทุกคนก็มีอานิสงส์ ทุกคนก็มีศรัทธา น้อมกายเข้ามาในกองบุญ
แต่ละวันตื่นขึ้นมา ความต้องการอยากจะสร้างบุญสร้างอานิสงส์กัน ทุกคนปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์หาทางหลุดพ้น ถึงขวนขวายในการสร้างคุณงามความดี ในการสร้างอานิสงส์สร้างบารมี ด้วยการบริจาคด้วยการให้ทาน อันนี้มีประจำกันทุกคน ถ้าไม่มีก็คงจะเข้ามาไม่ถึงวัด มีการทำบุญ มีการให้ทาน มีศรัทธา เป็นพื้นฐานอยู่ประจำ
แต่การเจริญสติ การสำรวจกายสำรวจจิต เราต้องสร้างขึ้นมา ความรู้ตัวไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมา ปัญญาเก่าปัญญาโลกีย์นั้นมีกันเต็มเปี่ยมทุกคน การวิเคราะห์การพิจารณานั้นก็มีอยู่ระดับของสมมติ ปัญญาตรงนี้มีกันเต็มเปี่ยมกันทุกคน แต่ปัญญาที่เราจะน้อมเข้าไปทำความเข้าใจกับจิตเราต้องสร้างขึ้นมา แล้วก็หมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ลักษณะของจิต จิตที่สงบ จิตที่นิ่ง จิตที่ปราศจากการเกิด ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ปราศจากอารมณ์ ไม่เป็นทาสของอารมณ์ ไม่เป็นทาสของความโลภความโกรธ เขาเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องรู้ให้ชัดแจ้ง
ไม่ใช่ว่าไปฝึกที่โน่นไปฝึกที่นี่ แม้ตั้งแต่ความรู้ตัว หรือว่าสติก็ยังทำความเข้าใจไม่ได้ ยังสร้างขึ้นมาไม่ได้ ก็มีตั้งแต่กิเลสมันลากไป ในหลักธรรมจริงๆ แล้ว เราต้องละๆๆ ละความอยาก ละความอยากที่เกิดจากจิต เจริญสติเข้าไปละความอยากที่เกิดจากจิต แม้แต่อยากจะรู้ธรรม อยากจะได้ธรรม อยากได้รับความสงบ เราก็ต้องดับต้องละ จนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากขันธ์ห้าเราก็จะมองเห็นทาง ซึ่งพระพุทธองค์ท่านก็บอกว่าขันธ์ห้าเป็นของหนัก ลักษณะของขันธ์ห้านั้น ขันธ์เขาเรียกว่า ‘กอง’ กองของใครกองมันอยู่ แต่เราจะแยกแยะด้วยการเจริญสติเข้าไปทำความเข้าใจถึงจะรู้เห็นตามความเป็นจริง
เหมือนกับเชือกเส้นเดียวมันมีหลายเกลียวรวมกันอยู่ เชือกเส้นเดียวมีห้าเกลียวรวมกันอยู่ เราต้องคอยจับฉีกออกมาทีละเกลียวๆ ให้รู้ด้วยลักษณะอาการ แต่ถ้ามองในภาพรวมก็เป็นเชือกเส้นเดียวอยู่ กายของเราก็เหมือนกัน จิตของเราก็เหมือนกัน ถ้ามองในภาพรวมด้วยตามเนื้อก็เป็นกายของเราอยู่
แต่ถ้าเราเจริญสติเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ อะไรคือส่วนรูปธรรม อะไรคือส่วนนามธรรม สังเกตรู้ตั้งแต่ต้นเหตุ ตั้งแต่การเกิดการก่อตัวของจิตกับอาการของจิต ซึ่งเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ เขาเคลื่อนเข้าไปรวมกัน ถ้าเราสังเกตทันก็จะดีด หรือว่าแยกออกจากกัน นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘วิปัสสนา’ สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริง รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง รอบรู้ในลักษณะของจิตของตัวเรา แล้วก็ตามทำความเข้าใจ เราก็จะเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า รู้อนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้า ว่าจิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไรจนเป็นสิ่งเดียวแล้วก็ไปด้วยกัน แล้วก็ทำตามความคิดทำตามอารมณ์นั้น นั่นแหละหลงอยู่ในความคิดตรงนั้นอยู่ บางทีก็เป็นกุศลบางทีก็เป็นอกุศลบ้าง
ทุกคนต้องพยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ สังเกตทันเราก็ถึงจะรู้ถึงจะเห็น สังเกตไม่ทันเขาก็รวมกันไปแล้ว อย่าไปท้อถอยในการเจริญสติ อานิสงส์ของทุกคนมีกันเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว ได้สร้างบุญมา ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมกันมา ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าไม่ปฏิบัติธรรมกันมาก่อน ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์หรอก
ขณะที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เราก็ปฏิบัติธรรมมาเรื่อยๆ ในระดับของสมมติ มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี อะไรเป็นกุศลอะไรเป็นอกุศล อะไรเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียนกันมา มีการทำความเข้าใจ ได้ทำการทำงาน มีความรับผิดชอบอยู่ในระดับบุญกันอยู่แทบทุกคน
แต่การเจริญสติตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราได้สร้างความรู้ตัวได้ทั่วพร้อมแล้วหรือยัง เพียงแค่สร้างให้ต่อเนื่อง แล้วก็เอาไปทำความเข้าใจ พวกเราก็ยังทำกันไม่ค่อยจะได้เท่าไร แต่ก็ปรารถนาที่จะถึงจุดหมายปลายทางอยู่ ก็ต้องพยายามกัน ถึงพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ๆ
หมั่นสร้างคุณงามความดีให้แก่จิตของเรา ให้แก่กายของเรา ก็จะเกิดประโยชน์ทั้งภายนอกทั้งภายใน ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกนี้ คืออำนวยความสะดวกให้กายของเราอยู่ดีมีความสุข ให้จิตของเราอยู่ดีมีความสุข ถ้าเราทำดีอยู่ปัจจุบัน อนาคตก็จะออกมาดี เราทำปัจจุบันให้ดี วันพรุ่งนี้ก็จะมาเป็นวันนี้ เดือนหน้าปีหน้าก็จะมาเป็นวันนี้ วันพรุ่งนี้ก็มี ปีหน้าก็มี เมื่อวานที่ผ่านมาก็มี มรรคผลนิพพานก็มี สวรรค์นรกก็มี แต่เรายังอาจจะไม่รู้ไม่เห็น แต่เขามีอยู่
อันนี้พระพุทธองค์ท่านก็ให้พิสูจน์ได้ ด้วยการดำเนินการปฏิบัติตามทางให้ถูกทาง ก็จะรู้ก็จะเห็น เห็นความบริสุทธิ์เห็นความหลุดพ้น มองเห็นหนทางว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน แม้ตั้งแต่ความสงบเล็กๆ น้อยๆ พวกเราก็ต้องพยายามสร้างให้มี ไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆ แล้วจะรู้จะเห็นเลย คนเราจะถึงจุดหมายปลายทางได้จะบรรลุได้ ก็ต้องเกิดจากการเจริญภาวนา แยกแยะรู้เห็นตามความเป็นจริง แล้วตามทำความเข้าใจ แล้วก็ละกิเลส
กิเลสตัวไหนละได้เราก็รู้ ตัวไหนยังละไม่ได้เราก็พยายามละ จิตของเราหลงอะไร หลงความคิดหลงอารมณ์ จิตของเราสงบ สงบอยู่ในระดับไหน ด้วยการบังคับเอาไว้ หรือว่าสงบจากการปราศจากกิเลส ด้วยการละกิเลส
ตราบใดที่เรายังแยกจิตออกจากขันธ์ห้า ออกจากความคิดไม่ได้ ถึงจะสงบอยู่ก็เป็นแค่เพียงขันที่คว่ำอยู่ ที่พระพุทธองค์บอกว่าขันที่คว่ำ ถ้าเราสังเกตแยกออกได้เมื่อไหร่ เหมือนกับหงายของที่คว่ำ เราก็ตามทำความเข้าใจ จิตเขาก็จะยอมรับความเป็นจริงเอง จิตนี่ก็แปลกถ้าไม่ฝึกฝนจริงๆ ยากที่เขาจะเปิดเผยตัวเองออกมาให้เรารู้ให้เราเห็น
ถ้าเรามีกำลังสติฝ่ายกุศลมากเพียงพอ สร้างตบะบารมีของเราให้มากเพียงพอ กำลังสติของเราเพียงพอเมื่อไหร่ เราก็อาจจะสังเกตแยกได้คลายได้ หาเหตุผลหาผลให้จิตของเรายอมรับความเป็นจริงได้ หมั่นพร่ำสอนจิตของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา ท่านจึงบอกว่า ‘ตนแลเป็นที่พึ่งของตน’
สตินี่แหละที่เราสร้างขึ้นมาจะเป็นที่พึ่งของจิต มองหาหนทางที่จะเดิน อะไรควรหรือไม่ควร อะไรเป็นกุศลหรือว่าอกุศล เราก็ต้องพยายามเดินให้ถูกทาง ด้วยการสร้างตบะบารมีตลอดเวลา ความเสียสละของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ เสียสละ ชำระสะสางกิเลส ละความโลภละความโกรธ ด้วยการบริจาคด้วยการให้ ให้ทั้งภายนอกให้ทั้งภายใน ให้อภัยทานให้อโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี แล้วก็สำรวมกายอินทรีย์ของเราตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน
อย่าไปมองข้ามในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ การเจริญสติก็อย่าไปเกียจคร้าน เราต้องเป็นคนขยัน คนขยันเท่านั้นที่จะรู้เห็นตามความเป็นจริง คนเกียจคร้านย่อมจะไม่เข้าใจ ถ้าเกียจคร้านไปอยู่ที่ไหนก็ลำบาก หนักตัวเองหนักคนอื่น เราต้องเป็นคนมีความระเบียบเรียบร้อย มองซ้ายมองขวา มองบนมองล่างมองกลาง หาหนทางให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้สึกตัวแล้วหรือยัง หรือว่าปล่อยจิตของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่องสักกี่เที่ยว ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่ครั้ง เราสำรวจจิตของเราแล้วหรือยัง อันนี้ถ้าเราไม่สร้างความรู้ตัวจริงๆ ก็ยากที่จะรู้จิต รู้ลักษณะของจิต ทุกคนก็มีอานิสงส์ ทุกคนก็มีศรัทธา น้อมกายเข้ามาในกองบุญ
แต่ละวันตื่นขึ้นมา ความต้องการอยากจะสร้างบุญสร้างอานิสงส์กัน ทุกคนปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์หาทางหลุดพ้น ถึงขวนขวายในการสร้างคุณงามความดี ในการสร้างอานิสงส์สร้างบารมี ด้วยการบริจาคด้วยการให้ทาน อันนี้มีประจำกันทุกคน ถ้าไม่มีก็คงจะเข้ามาไม่ถึงวัด มีการทำบุญ มีการให้ทาน มีศรัทธา เป็นพื้นฐานอยู่ประจำ
แต่การเจริญสติ การสำรวจกายสำรวจจิต เราต้องสร้างขึ้นมา ความรู้ตัวไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมา ปัญญาเก่าปัญญาโลกีย์นั้นมีกันเต็มเปี่ยมทุกคน การวิเคราะห์การพิจารณานั้นก็มีอยู่ระดับของสมมติ ปัญญาตรงนี้มีกันเต็มเปี่ยมกันทุกคน แต่ปัญญาที่เราจะน้อมเข้าไปทำความเข้าใจกับจิตเราต้องสร้างขึ้นมา แล้วก็หมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ลักษณะของจิต จิตที่สงบ จิตที่นิ่ง จิตที่ปราศจากการเกิด ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ปราศจากอารมณ์ ไม่เป็นทาสของอารมณ์ ไม่เป็นทาสของความโลภความโกรธ เขาเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องรู้ให้ชัดแจ้ง
ไม่ใช่ว่าไปฝึกที่โน่นไปฝึกที่นี่ แม้ตั้งแต่ความรู้ตัว หรือว่าสติก็ยังทำความเข้าใจไม่ได้ ยังสร้างขึ้นมาไม่ได้ ก็มีตั้งแต่กิเลสมันลากไป ในหลักธรรมจริงๆ แล้ว เราต้องละๆๆ ละความอยาก ละความอยากที่เกิดจากจิต เจริญสติเข้าไปละความอยากที่เกิดจากจิต แม้แต่อยากจะรู้ธรรม อยากจะได้ธรรม อยากได้รับความสงบ เราก็ต้องดับต้องละ จนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากขันธ์ห้าเราก็จะมองเห็นทาง ซึ่งพระพุทธองค์ท่านก็บอกว่าขันธ์ห้าเป็นของหนัก ลักษณะของขันธ์ห้านั้น ขันธ์เขาเรียกว่า ‘กอง’ กองของใครกองมันอยู่ แต่เราจะแยกแยะด้วยการเจริญสติเข้าไปทำความเข้าใจถึงจะรู้เห็นตามความเป็นจริง
เหมือนกับเชือกเส้นเดียวมันมีหลายเกลียวรวมกันอยู่ เชือกเส้นเดียวมีห้าเกลียวรวมกันอยู่ เราต้องคอยจับฉีกออกมาทีละเกลียวๆ ให้รู้ด้วยลักษณะอาการ แต่ถ้ามองในภาพรวมก็เป็นเชือกเส้นเดียวอยู่ กายของเราก็เหมือนกัน จิตของเราก็เหมือนกัน ถ้ามองในภาพรวมด้วยตามเนื้อก็เป็นกายของเราอยู่
แต่ถ้าเราเจริญสติเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ อะไรคือส่วนรูปธรรม อะไรคือส่วนนามธรรม สังเกตรู้ตั้งแต่ต้นเหตุ ตั้งแต่การเกิดการก่อตัวของจิตกับอาการของจิต ซึ่งเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ เขาเคลื่อนเข้าไปรวมกัน ถ้าเราสังเกตทันก็จะดีด หรือว่าแยกออกจากกัน นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘วิปัสสนา’ สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริง รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง รอบรู้ในลักษณะของจิตของตัวเรา แล้วก็ตามทำความเข้าใจ เราก็จะเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า รู้อนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้า ว่าจิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไรจนเป็นสิ่งเดียวแล้วก็ไปด้วยกัน แล้วก็ทำตามความคิดทำตามอารมณ์นั้น นั่นแหละหลงอยู่ในความคิดตรงนั้นอยู่ บางทีก็เป็นกุศลบางทีก็เป็นอกุศลบ้าง
ทุกคนต้องพยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ สังเกตทันเราก็ถึงจะรู้ถึงจะเห็น สังเกตไม่ทันเขาก็รวมกันไปแล้ว อย่าไปท้อถอยในการเจริญสติ อานิสงส์ของทุกคนมีกันเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว ได้สร้างบุญมา ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมกันมา ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าไม่ปฏิบัติธรรมกันมาก่อน ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์หรอก
ขณะที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เราก็ปฏิบัติธรรมมาเรื่อยๆ ในระดับของสมมติ มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี อะไรเป็นกุศลอะไรเป็นอกุศล อะไรเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียนกันมา มีการทำความเข้าใจ ได้ทำการทำงาน มีความรับผิดชอบอยู่ในระดับบุญกันอยู่แทบทุกคน
แต่การเจริญสติตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราได้สร้างความรู้ตัวได้ทั่วพร้อมแล้วหรือยัง เพียงแค่สร้างให้ต่อเนื่อง แล้วก็เอาไปทำความเข้าใจ พวกเราก็ยังทำกันไม่ค่อยจะได้เท่าไร แต่ก็ปรารถนาที่จะถึงจุดหมายปลายทางอยู่ ก็ต้องพยายามกัน ถึงพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ๆ
หมั่นสร้างคุณงามความดีให้แก่จิตของเรา ให้แก่กายของเรา ก็จะเกิดประโยชน์ทั้งภายนอกทั้งภายใน ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกนี้ คืออำนวยความสะดวกให้กายของเราอยู่ดีมีความสุข ให้จิตของเราอยู่ดีมีความสุข ถ้าเราทำดีอยู่ปัจจุบัน อนาคตก็จะออกมาดี เราทำปัจจุบันให้ดี วันพรุ่งนี้ก็จะมาเป็นวันนี้ เดือนหน้าปีหน้าก็จะมาเป็นวันนี้ วันพรุ่งนี้ก็มี ปีหน้าก็มี เมื่อวานที่ผ่านมาก็มี มรรคผลนิพพานก็มี สวรรค์นรกก็มี แต่เรายังอาจจะไม่รู้ไม่เห็น แต่เขามีอยู่
อันนี้พระพุทธองค์ท่านก็ให้พิสูจน์ได้ ด้วยการดำเนินการปฏิบัติตามทางให้ถูกทาง ก็จะรู้ก็จะเห็น เห็นความบริสุทธิ์เห็นความหลุดพ้น มองเห็นหนทางว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน แม้ตั้งแต่ความสงบเล็กๆ น้อยๆ พวกเราก็ต้องพยายามสร้างให้มี ไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆ แล้วจะรู้จะเห็นเลย คนเราจะถึงจุดหมายปลายทางได้จะบรรลุได้ ก็ต้องเกิดจากการเจริญภาวนา แยกแยะรู้เห็นตามความเป็นจริง แล้วตามทำความเข้าใจ แล้วก็ละกิเลส
กิเลสตัวไหนละได้เราก็รู้ ตัวไหนยังละไม่ได้เราก็พยายามละ จิตของเราหลงอะไร หลงความคิดหลงอารมณ์ จิตของเราสงบ สงบอยู่ในระดับไหน ด้วยการบังคับเอาไว้ หรือว่าสงบจากการปราศจากกิเลส ด้วยการละกิเลส
ตราบใดที่เรายังแยกจิตออกจากขันธ์ห้า ออกจากความคิดไม่ได้ ถึงจะสงบอยู่ก็เป็นแค่เพียงขันที่คว่ำอยู่ ที่พระพุทธองค์บอกว่าขันที่คว่ำ ถ้าเราสังเกตแยกออกได้เมื่อไหร่ เหมือนกับหงายของที่คว่ำ เราก็ตามทำความเข้าใจ จิตเขาก็จะยอมรับความเป็นจริงเอง จิตนี่ก็แปลกถ้าไม่ฝึกฝนจริงๆ ยากที่เขาจะเปิดเผยตัวเองออกมาให้เรารู้ให้เราเห็น
ถ้าเรามีกำลังสติฝ่ายกุศลมากเพียงพอ สร้างตบะบารมีของเราให้มากเพียงพอ กำลังสติของเราเพียงพอเมื่อไหร่ เราก็อาจจะสังเกตแยกได้คลายได้ หาเหตุผลหาผลให้จิตของเรายอมรับความเป็นจริงได้ หมั่นพร่ำสอนจิตของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา ท่านจึงบอกว่า ‘ตนแลเป็นที่พึ่งของตน’
สตินี่แหละที่เราสร้างขึ้นมาจะเป็นที่พึ่งของจิต มองหาหนทางที่จะเดิน อะไรควรหรือไม่ควร อะไรเป็นกุศลหรือว่าอกุศล เราก็ต้องพยายามเดินให้ถูกทาง ด้วยการสร้างตบะบารมีตลอดเวลา ความเสียสละของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ เสียสละ ชำระสะสางกิเลส ละความโลภละความโกรธ ด้วยการบริจาคด้วยการให้ ให้ทั้งภายนอกให้ทั้งภายใน ให้อภัยทานให้อโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี แล้วก็สำรวมกายอินทรีย์ของเราตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน
อย่าไปมองข้ามในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ การเจริญสติก็อย่าไปเกียจคร้าน เราต้องเป็นคนขยัน คนขยันเท่านั้นที่จะรู้เห็นตามความเป็นจริง คนเกียจคร้านย่อมจะไม่เข้าใจ ถ้าเกียจคร้านไปอยู่ที่ไหนก็ลำบาก หนักตัวเองหนักคนอื่น เราต้องเป็นคนมีความระเบียบเรียบร้อย มองซ้ายมองขวา มองบนมองล่างมองกลาง หาหนทางให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง