หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 022

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 022
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 022
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกตัวให้มีให้เกิดขึ้นให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน ด้วยการสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเอง นั่งให้สงบแล้วก็ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ไม่ต้องลองเลย สูดจริงๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็จะเด่นชัด เพียงแค่เรื่องการสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออก พวกเราพยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน

ใหม่ๆ ก็อาจจะพลั้งเผลอ ส่วนมากก็อาจจะพลั้งเผลอ เพราะว่าเราขาดความสนใจ เราอาจจะสนใจได้บ้างนิดๆ หน่อยๆ เพียงแค่คืบแค่ศอกแล้วก็วาง ไม่สนใจ เราต้องเอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บก็สร้างความรู้สึกอยู่กับการหายใจเข้าออกปุ๊บ แล้วก็รู้จักทำความเข้าใจกับความหมายความรู้สึกตัว แล้วก็พยายามรู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’

ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เราก็จะรู้ว่าเวลาจิตเกิดเป็นอย่างไร จิตปกติเป็นอย่างไร ฐานของจิตอยู่ตรงไหน เขาเริ่มก่อตัวอย่างไร แล้วก็อาการของความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต จิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ตรงนี้แหละสำคัญคือโมหะ อวิชชา เขาเรียกว่า ‘โมหะ’ ความหลง จิตของเราเข้าไปหลงกับความคิดหลงอารมณ์ เขาเรียกว่า ‘ไม่รอบรู้ในขันธ์ห้า’ ‘ไม่รอบรู้ในกองสังขาร’

เราก็รู้อยู่ในระดับเมื่อเขาหลงกันไปแล้ว แล้วก็ทำตามความคิดทำตามอารมณ์ จิตก็เกิดวิ่งส่งออกไปภายนอกตลอดเวลา ถ้าพูดถึงเรื่องของอริยสัจสี่ก็คือ สมุทัย นิโรธ มรรค ถ้าเราสร้างความรู้ตัวบ่อยๆ รู้ตัวบ่อยๆ รู้การหายใจเข้าออก อันนี้เป็นส่วนของการรู้กาย ต่อไปข้างหน้าก็รู้จิต รู้ลักษณะของความว่าง

ในความว่างนั้นมีดวงจิตอยู่ มีผู้รับรู้อยู่ ถ้าเราอยากจะเห็นรู้จิตชัดเจน เวลาจิตเกิดความอยากเป็นอย่างไร เราดับความอยากได้ไหม จิตเกิดความโกรธเป็นอย่างไร นั่นแหละคือตัวจิต อยู่เฉยๆ บางทีความคิดก็ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต นั่นแหละคืออาการของขันธ์ห้า มันเป็นเรื่องอะไรบ้างเรื่องอดีต หรือว่าเรื่องอนาคต จิตของเราเข้าไปรวม เขาเรียกว่า ‘เข้าไปเสวย’ จนเป็นตัวเดียวกัน ละเอียดมากทีเดียว ถ้าเราขาดการทำความเพียร ยากที่จะเข้าเห็นตรงนี้

ส่วนมากเราก็สร้างบารมี อันนี้เราจะไปบังคับกันไม่ได้ พยายามสร้างบารมีสร้างอานิสงส์ ถ้าถึงกาลถึงเวลาเขาก็จะเป็นของเขาเอง เราสร้างบารมี หมั่นสำรวจตรวจตรา รู้กายของเรา เรามีความขยันมันเพียรไหม เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตนหรือไม่ เรามีความกตัญญูกตเวที เรารู้จักการชำระสะสางกิเลส จิตของเราเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภ จิตของเราเกิดความอิจฉาริษยา เราก็พยายามดับ ละ แล้วก็ให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี คิดดีทำดีอยู่ตลอดเวลา

ทำบุญให้กับตัวเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราชำระนิวรณธรรมต่างๆ ออกจากใจของเรา ใจของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน มีความกำหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียง ขณะตื่นตัวอยู่ปัจจุบันนี่แหละ ใจของเรามีความอาฆาตพยาบาท เราก็พยายามอโหสิกรรม ใจของเรามีความกังวลมีความฟุ้งซ่าน เราก็พยายามดับ

ถ้าเราหมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ตัวเราอยู่บ่อยๆ มีตั้งแต่การขัดเกลาการเอาออก จิตของเราก็จะมีตั้งแต่ความสุข เรามีตั้งแต่เป็นผู้ให้ ให้ทั้งภายนอกให้ทั้งภายใน ก็จะเกิดปีติเกิดสุขอยู่ตลอดเวลา ถ้าความโลภความโกรธเกิดขึ้นที่ใจของเรา เราก็รีบดับ เราก็จะชนะกิเลส เราดับทีนั้นดับทีนี้ กำลังสติกำลังปัญญาของเราก็จะมากขึ้นๆ

อันนี้หลวงพ่อเล่าปลายเหตุ พวกท่านจงพยายามไปทำต้นเหตุ ให้ทำความเข้าใจกับต้นเหตุ คือการสร้างความรู้สึกตัวให้ได้เสียก่อน สร้างความรู้สึกตัวตั้งแต่เช้า ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ทั้งหลับตาลืมตา ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ทำ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้คิดหรอก เพราะว่าการเกิดการดับของจิตนั้นมีกันทุกคน การเกิดการดับของความคิดมีกันทุกคน

เรามาสร้างตัวรู้ตัวใหม่เข้าไปสังเกตดูรู้ให้ทัน รู้ไม่ทันเราก็ดับเขาเรียกว่า ‘สมถะ’ จิตเกิดเดี๋ยวนี้ เรารู้ไม่ทันต้นเหตุ เราก็ดับขณะนี้ ดับจนสังเกต จนรู้เห็นเขาคลายออกจากกันได้

จิตของคนเรานี่ก็แปลก หลอกตัวเองด้วยหลอกคนอื่นด้วย ปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา บางคนก็ปรุงเร็ว บางคนก็ปรุงช้า สมัยก่อนหลวงพ่อก็เหมือนกัน นั่งอยู่เฉยๆ มันก็คิดเรื่อยเปื่อยไปสารพัดอย่าง บางทีท่องมนต์สวดมนต์อยู่มันก็ไป ฝึกไปฝึกมามันก็ช้าลงๆๆ นิ่งขึ้นๆๆ เราชำระสะสางกิเลส ถ้าเขารู้ความจริงแล้วเอาอะไรมาฉุดเขาก็ไม่ไป การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด

เพราะว่าอะไร เพราะว่าเรารู้จักดับจักละจักทำความเข้าใจ เอาสติไปหมั่นพร่ำสอนจิตของตัวเองตลอดเวลา จิตเขาก็รู้เห็นตามความเป็นจริง เขาก็ไม่เกิด นั่นแหละเราดับความเกิดเสีย เราก็จะมองเห็นทางว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด

การเกิดมาอยู่ในภพมนุษย์เป็นการเกิดมาเพื่อสร้างอานิสงส์สร้างบารมี พวกเรามาสร้างบารมีกันให้เต็มที่ สร้างให้เต็มให้อิ่ม บารมีตั้งแต่ความเชื่อศรัทธา เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม เชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มีความขันติ​ ขันติอดทนอดกลั้น ขยันหมั่นเพียร อดทนอดกลั้นจากเหตุการณ์จากภายนอกที่เข้ามากระทบ อดทนอดกลั้นจากกิเลสที่เกิดขึ้นภายใน

เราก็ต้องรู้จักดับ มีสัจจะกับตัวเอง มีสัจจะกับคนอื่น นี่แหละเป็นการสร้างบารมี มีการชำระสะสางกิเลส มีการสำรวจการทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา ชีวิตของคนอื่น ชีวิตของเราเป็นอย่างนี้ ชีวิตของคนอื่นก็เป็นอย่างนี้ สภาพร่างกายของเราเป็นอย่างนี้ เราพิจารณาร่างกายของเราให้มันแตกให้มันกระจายออกไป คนอื่นก็เหมือนกันกับเรา เป็นดินน้ำลมไฟเหมือนกันกับเรา มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง

เหมือนกับพระพุทธองค์ท่านได้บอกพระภิกษุ ใบไม้ในป่าเป็นอย่างไร ท่านเอาแค่มาใบเดียวพิจารณาใบเดียว ใบอื่นก็เหมือนกันหมด ถ้าคนเรารู้จักพิจารณากายของตัวเอง พิจารณาจิตของตัวเอง แล้วทำความเข้าใจกับโลกภายในเสีย ทำความเข้าใจกับโลกธรรมแปดเสีย

ส่วนมากไม่เป็นอย่างนั้น ส่วนมากภายในก็ไม่ทำ ข้างนอกก็สะสม เอามาทับถมดวงจิตของตัวเองเป็นดินพอกหางหมูขึ้นไปเรื่อยๆ มันก็เลยแก้ไขไม่ถูกทาง เราก็ต้องพยายาม แก้ไขภายในแก้ไขภายนอก หมั่นวิเคราะห์หมั่นพิจารณา เราทำได้เท่าไรเราก็ทำ ทำได้มากได้น้อยเราก็ทำ ดีกว่าไม่ทำ อย่างน้อยๆ ก็เป็นอานิสงส์เป็นบุญสืบทอดต่อไปในวันข้างหน้า อย่าว่าไม่ทำ

หลวงพ่ออยากจะให้ทุกคนมาร่วมใจร่วมกายกันทำ กำลังกายทำกำลังใจน้อมเข้ามา เล็กๆ น้อยๆ ผู้มีน้อยก็ทำน้อย ผู้มีมากก็ได้ทำมาก แล้วแต่โอกาสบุญวาสนาของแต่ละบุคคลที่จัดสรรสร้างมา เพราะว่าตราบใดที่ยังเกิดอยู่ก็ต้องอาศัยอานิสงส์ผลบุญที่พวกเราได้สร้างได้ทำเอาไว้นี่แหละ

พวกเราสร้างทำเอาไว้ ไม่ใช่ทำเฉพาะตัวเรา ทำอนุเคราะห์ให้กับสมมติให้กับโลก ทำอนุเคราะห์ให้กับอนุชนคนรุ่นหลังได้มาสร้างสานต่อ เรามาสร้างกองบุญกองนี้เอาไว้ คนอื่นต่อไปข้างหน้าก็จะเป็นฐานบุญของคนทั่วไปในวันข้างหน้ามากมายมหาศาล ก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง