หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 119
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 119
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้ตัว รู้การหายใจเข้าออกของตัวเรา สักพักสักระยะหนึ่ง นั่งตามอิริยาบถให้สบายวางกายให้สบาย หยุดดับความคิดความกังวลความฟุ้งซ่านต่างๆ เอาไว้ให้หมด ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ลองดูซิ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว ความคิดต่างๆ ก็จะหยุดไป
สร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘การเจริญสติ’ รู้ตัว รู้กาย รู้การหายใจเข้าออก เรียกว่า ‘รู้กาย’ เราก็พยายามรู้ให้ต่อเนื่อง ถ้าเรารู้ต่อเนื่องเราก็จะรู้จิต รู้ลักษณะของจิต รู้ลักษณะการเกิดการดับของจิต ของความคิด ของอารมณ์ เขาเกิดอย่างไร เขาไปอย่างไร เราจะแก้ไขตัวเราอย่างไร อะไรเป็นกุศลอะไรเป็นอกุศล เราต้องศึกษาตัวเรา เราต้องน้อมเข้าไปสำรวจเรา อะไรคือส่วนรูปธรรม อะไรคือส่วนนามธรรมอยู่ตลอดเวลา จนกว่าจิตของเราจะไม่เกิดนั่นแหละ จนกว่าจะละกิเลสออกหมดจดออกจากจิตของเรา จนจิตของเราคลายจากความหลง จากความยึดมั่นถือมั่น หรือว่าแยกรูปแยกนาม ตามทำความเข้าใจและรู้จักละกิเลส พวกเราก็ละกิเลสกันอยู่ จะละได้มากละได้น้อยก็ขึ้นอยู่ความเพียรของแต่ละบุคคล บางครั้งก็ละได้ บางครั้งก็ละไม่ได้ บางครั้งก็ดับได้ บางครั้งก็ดับไม่ได้ เราก็ต้องพยายาม
หมั่นศึกษาหมั่นค้นคว้าเอา ทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับวิมุตติ วิมุตติกับสมมติก็อยู่ร่วมกัน โลกธรรมก็อยู่ร่วมกัน ธรรมะไม่ได้อยู่ที่ไหน อยู่ที่กายของเรา อยู่ที่ใจของเรา เราจะไปวิ่งหาภายนอกหาไม่เจอ ไปหาภายนอกนั่น เพียงแค่ไปหาประสบการณ์ไปเปลี่ยนบรรยากาศ
ถ้าเราเจริญสติน้อมเข้าไปสำรวจตรวจตราตัวเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา นั่นแหละคือหลักของการปฏิบัติ ถ้าเป็นอกุศลก็ละ เป็นกุศลก็เจริญ สูงขึ้นไปก็ไม่ให้ยึด เข้าไปยึดมั่นถือมั่น เราต้องพยายามขยันหมั่นเพียรเอา การได้ยินการได้ฟังการได้อ่านมีกันเต็มเปี่ยม การได้ศึกษาค้นคว้ามีกันเต็มเปี่ยม บุคคลผู้มีสติมีปัญญาไม่จำเป็นต้องไปฟังมากพูดมาก หมั่นแก้ไขตัวเองหมั่นปรับปรุงตัวเอง อยู่คนเดียวก็แก้ไขเรา อยู่หลายคนก็แก้ไขเรา มีความรับผิดชอบที่สูงต่อภาระหน้าที่การงาน ต่อสมมติต่างๆ ที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข
การเรียนธรรมการศึกษาธรรม เรียนจบถึงจุดหมายปลายทาง คือความดับความเกิด ถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้นไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามนะ ตราบใดที่จิตยังเกิดอยู่ต้องพยายามละความเกิด ละความหลง ทำให้มากๆ เจริญตบะบารมีให้มากๆ
คนเราเกิดมาอยู่ในโลกมนุษย์ก็อาศัยโลกมนุษย์นี้อยู่ไม่ได้นานหรอก สักพักสักระยะหนึ่งก็ไป ตราบใดที่จิตยังเกิดอยู่ก็ต้องเกิด ถ้าจะเกิดก็ให้เกิดในฝ่ายกุศล ละอกุศลเสีย เจริญกุศลให้มากๆ เรามาทำความเพียร เรามาทำความเข้าใจให้อยู่ได้ทุกสถานการณ์ มาศึกษา มาลดมาละมาทำความเข้าใจ มาชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา ถ้าเราไม่ละกิเลสออกจากใจของตัวเราแล้ว ก็ไม่มีใครจะละให้ได้เลยนอกจากตัวเราจะละเอาเอง แก้ไขเอาเอง
พระพุทธองค์ก็เป็นแค่บุคคลที่ชี้แนะแนวทางให้ ท่านถึงบอกว่า ‘ใครเห็นเราคนนั้นเห็นธรรม ใครเห็นจิตคนนั้นเห็นธรรม คนไหนเห็นธรรม คนนั้นก็เห็นเรา’ พระพุทธองค์ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม ท่านก็เป็นบรมครูของชาวโลก ของเหล่ามนุษย์ ของเหล่าเทวดาทั้งหลาย
ทีนี้เราอยากจะดับทุกข์ อยากจะหลุดพ้น เราก็เดินตามคำสอนของท่าน ด้วยการเจริญตบะ สร้างตบะบารมี การเจริญสติ การเดินปัญญา แยกรูปแยกนาม การชำระสะสางกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ท่านสอนเรื่องทุกข์ เรื่องดับทุกข์ สอนเรื่องอัตตา เรื่องอนัตตา สอนเรื่องสมมติ สอนเรื่องวิมุตติ ลักษณะของอัตตาเป็นอย่างไร ลักษณะของอนัตตาเป็นอย่างไร ก่อนที่จะเข้าถึงตรงนี้เราจะดำเนินได้อย่างไร
เพียงแค่การสร้างสติความระลึกรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน พวกเราก็ยังทำกันไม่ต่อเนื่อง ส่วนมากก็จะเอาตั้งแต่ปัญญาไปนึกเอาไปคิดเอา ว่าจะเป็นอย่างนั้นว่าจะเป็นอย่างนี้ ไปแสวงหาที่โน่นไปแสวงหาที่นี่ ถ้าจะเอากันจริงๆ ถ้าจะทำกันจริงๆ เพียงแค่รู้แนวทาง ทำความเข้าใจตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จนกระทั่งนอนหลับ เราไม่ทำตามอำนาจของความอยากที่เกิดจากกิเลสเกิดจากจิต
การสร้างความรู้ตัวที่ต่อเนื่องเป็นลักษณะอย่างไร ความรู้สึกตัวของเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ จิตของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน มีความกำหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียง มีความกังวล เราก็รู้จักดับอยู่ปัจจุบัน เราดับไม่ได้ เราจะเอาวิธีไหนเข้าไปดับ ใช้สมถะเข้าไปดับ หรือว่าตามดู ตามรู้ ตามเห็น ตามทำความเข้าใจ ไม่ทำตามอำนาจของกิเลส จนกว่าจิตจะแยกรูปแยกนาม คลายความหลง
จิตแยกรูปแยกนามเป็นแค่เริ่มต้นของสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงที่จะเข้าสู่วิปัสสนา หมายถึงรู้แจ้ง แล้วก็เห็น ทำความเข้าใจ รอบรู้ในกองสังขารของขันธ์ห้า ขันธ์ห้าของเราประกอบด้วยอะไรบ้าง ทำไมถึงเรียกว่าขันธ์ห้า ทำไมพระพุทธองค์ถึงบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์
เหมือนกับเชือกเส้นเดียวมีอยู่ห้าเกลียว ก็มารวมกันเป็นเชือกเส้นเดียว แต่เราให้รู้ด้วยปัญญาว่าเกลียวไหนบ้างเป็นเกลียวไหนบ้าง แต่เขาก็รวมกันอยู่ กายของเราก็มีลักษณะคล้ายๆ กัน กองรูปกองนาม กองความคิดกองอารมณ์ กองสังขารกองวิญญาณ มารวมกันอยู่
แต่ถ้าเจริญสติเข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์จริงๆ เราก็จะเห็นเป็นคนละส่วนกันอยู่ ก็จะมองเห็นแนวทางของการเดิน ของการดำเนินชีวิต ทำความเข้าใจกับโลกธรรมทั้งแปด ทำความเข้าใจกับทวารทั้งหก ซึ่งเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียงที่เข้าไปถึงวิญญาณ ซึ่งเข้าไปถึงดวงจิตของเรา ตัววิญญาณตัวสุดท้ายในขันธ์ห้า มันเข้าไปยินดียินร้าย เข้าไปร่วมเข้าไปเสวย ยึดได้อย่างไร เรื่องจิตเป็นของละเอียดอ่อน ไม่ใช่ว่าพูดเล่นๆ ต้องพูดจริงทำจริง จนกว่าจิตของเราคลายจากความหลง ตั้งมั่นรับรู้อยู่
จิตนี้ก็แปลก เราไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาเขา ไม่ได้ฝืนก็ยากที่เขาจะยอมรับความเป็นจริง กำลังสติกำลังปัญญาต้องหาเหตุหาผล หาเหตุหาผลหมั่นพร่ำสอนจิต ให้จิตรู้เห็นตามความเป็นจริง ส่วนมากจะรู้อยู่ระดับของสมมติ ไม่รู้อยู่ในระดับของวิมุตติ ถ้ารู้อยู่ระดับของวิมุตติ คือแยกจิตออกจากขันธ์ห้า แยกรูปแยกนาม ตามทำความเข้าใจ เรื่องอะไรที่เกิด ทำไมจิตของเราเข้าไปรวม เข้าไปร่วมจนเป็นตัวเดียวกัน
ถ้าแยกได้ ตามทำความเข้าใจได้ ทุกโอกาสทุกเวลาทุกขณะจิตนั่นแหละ จิตของเราถึงจะยอมรับความเป็นจริง ถึงแยกได้รู้ได้เห็นได้ ถ้าไม่ตามทำความเข้าใจเขาก็ซึมเข้าสู่สภาพเดิม
อันนี้ก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง ก็เรื่องเก่าๆ ของเรานี่แหละ ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก ก็มีตั้งแต่กายกับจิต รูปกับนาม การชำระสะสางกิเลส จะไปหาครูบาอาจารย์องค์ไหนก็เหมือนกันหมด ถ้าท่านเน้นเรื่องการฝึกหัดปฏิบัติจิต
ถ้าเรารู้จักการเจริญสติ ลักษณะของสติ รู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นอย่างนี้ เราพลั้งเผลอหรือไม่ สติของเราหลุดไปหรือไม่ ใหม่ๆ นี่ก็ธรรมดา ก็มีการพลั้งเผลอเพราะความเคยชิน ปัญญาเก่าความคิดเก่า ซึ่งเป็นความคิดที่เกิดจากจิตเกิดจากขันธ์ห้า เขาส่งไปก่อน เราต้องมาดับมาฝืน มาอดมาข่มสารพัดอย่าง ขนาบแล้วขนาบอีก หมั่นชำระ สะสางแล้วสะสางอีก ขอให้เราละมานะ ละทิฏฐิ ละความเห็นผิดออกไปเสีย แล้วก็ทำความเข้าใจจนกว่าจะแยกรูปแยกนามได้ หายสงสัยได้นั่นแหละ ก็มีตั้งแต่กำลังสติกำลังปัญญาที่จะค้นคว้าจนถึงจุดหมายปลายทาง อยู่คนเดียวก็มีความสุข ก็จะรู้ว่าจะเห็นว่ากิเลสตัวไหนมันจะมาหลอกเรา เราจะพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหนบ้าง เราจะแพ้หรือจะชนะ เราก็ตรวจสอบเราอยู่ตลอดเวลา
สตินี่ก็เปรียบเสมือนกับครูบาอาจารย์คอยพร่ำสอนเราอยู่ตลอดเวลา จิตนี้ก็เปรียบเสมือนกับลูกศิษย์ ที่คอยจะสอบได้หรือสอบตก เราก็มีสติดูรู้อยู่ตรงนี้ เราก็จะได้ฟังธรรมะอยู่ตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา อยู่คนเดียวเราก็ได้ฟังธรรมะ ได้ยินธรรมะ ใบไม้ร่วงเราก็ได้ฟังธรรม คนด่าคนว่าเราก็ได้ฟังธรรม เราจะได้ฟังอยู่ตลอดเวลา ถ้าเรามีสติคอยดูรู้จิต นอกนั้นก็เพียงแค่ทำหน้าที่ของสมมติไปตามหน้าที่เท่านั้นแหละ สมมติว่าเป็นอันนู้นเป็นอันนี้ เป็นอย่างนู้นเป็นอย่างนี้ อันนี้ก็เพียงแค่เล่าให้ฟังนะ
พวกเราต้องสร้างอานิสงส์ สร้างตบะสร้างบารมี ค่อยเป็นค่อยไปเอา อย่าไปทิ้ง อย่าไปทิ้งวัด อย่าไปทิ้งในการทำบุญ อย่าไปทิ้งในการให้ทาน เรามีโอกาสให้ก็รีบทำ ทำมากทำน้อยก็เป็นของเรา เราระลึกนึกถึงเมื่อไหร่จิตใจเราก็มีความสุข ก็ต้องพยายาม
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา
สร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘การเจริญสติ’ รู้ตัว รู้กาย รู้การหายใจเข้าออก เรียกว่า ‘รู้กาย’ เราก็พยายามรู้ให้ต่อเนื่อง ถ้าเรารู้ต่อเนื่องเราก็จะรู้จิต รู้ลักษณะของจิต รู้ลักษณะการเกิดการดับของจิต ของความคิด ของอารมณ์ เขาเกิดอย่างไร เขาไปอย่างไร เราจะแก้ไขตัวเราอย่างไร อะไรเป็นกุศลอะไรเป็นอกุศล เราต้องศึกษาตัวเรา เราต้องน้อมเข้าไปสำรวจเรา อะไรคือส่วนรูปธรรม อะไรคือส่วนนามธรรมอยู่ตลอดเวลา จนกว่าจิตของเราจะไม่เกิดนั่นแหละ จนกว่าจะละกิเลสออกหมดจดออกจากจิตของเรา จนจิตของเราคลายจากความหลง จากความยึดมั่นถือมั่น หรือว่าแยกรูปแยกนาม ตามทำความเข้าใจและรู้จักละกิเลส พวกเราก็ละกิเลสกันอยู่ จะละได้มากละได้น้อยก็ขึ้นอยู่ความเพียรของแต่ละบุคคล บางครั้งก็ละได้ บางครั้งก็ละไม่ได้ บางครั้งก็ดับได้ บางครั้งก็ดับไม่ได้ เราก็ต้องพยายาม
หมั่นศึกษาหมั่นค้นคว้าเอา ทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับวิมุตติ วิมุตติกับสมมติก็อยู่ร่วมกัน โลกธรรมก็อยู่ร่วมกัน ธรรมะไม่ได้อยู่ที่ไหน อยู่ที่กายของเรา อยู่ที่ใจของเรา เราจะไปวิ่งหาภายนอกหาไม่เจอ ไปหาภายนอกนั่น เพียงแค่ไปหาประสบการณ์ไปเปลี่ยนบรรยากาศ
ถ้าเราเจริญสติน้อมเข้าไปสำรวจตรวจตราตัวเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา นั่นแหละคือหลักของการปฏิบัติ ถ้าเป็นอกุศลก็ละ เป็นกุศลก็เจริญ สูงขึ้นไปก็ไม่ให้ยึด เข้าไปยึดมั่นถือมั่น เราต้องพยายามขยันหมั่นเพียรเอา การได้ยินการได้ฟังการได้อ่านมีกันเต็มเปี่ยม การได้ศึกษาค้นคว้ามีกันเต็มเปี่ยม บุคคลผู้มีสติมีปัญญาไม่จำเป็นต้องไปฟังมากพูดมาก หมั่นแก้ไขตัวเองหมั่นปรับปรุงตัวเอง อยู่คนเดียวก็แก้ไขเรา อยู่หลายคนก็แก้ไขเรา มีความรับผิดชอบที่สูงต่อภาระหน้าที่การงาน ต่อสมมติต่างๆ ที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข
การเรียนธรรมการศึกษาธรรม เรียนจบถึงจุดหมายปลายทาง คือความดับความเกิด ถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้นไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามนะ ตราบใดที่จิตยังเกิดอยู่ต้องพยายามละความเกิด ละความหลง ทำให้มากๆ เจริญตบะบารมีให้มากๆ
คนเราเกิดมาอยู่ในโลกมนุษย์ก็อาศัยโลกมนุษย์นี้อยู่ไม่ได้นานหรอก สักพักสักระยะหนึ่งก็ไป ตราบใดที่จิตยังเกิดอยู่ก็ต้องเกิด ถ้าจะเกิดก็ให้เกิดในฝ่ายกุศล ละอกุศลเสีย เจริญกุศลให้มากๆ เรามาทำความเพียร เรามาทำความเข้าใจให้อยู่ได้ทุกสถานการณ์ มาศึกษา มาลดมาละมาทำความเข้าใจ มาชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา ถ้าเราไม่ละกิเลสออกจากใจของตัวเราแล้ว ก็ไม่มีใครจะละให้ได้เลยนอกจากตัวเราจะละเอาเอง แก้ไขเอาเอง
พระพุทธองค์ก็เป็นแค่บุคคลที่ชี้แนะแนวทางให้ ท่านถึงบอกว่า ‘ใครเห็นเราคนนั้นเห็นธรรม ใครเห็นจิตคนนั้นเห็นธรรม คนไหนเห็นธรรม คนนั้นก็เห็นเรา’ พระพุทธองค์ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม ท่านก็เป็นบรมครูของชาวโลก ของเหล่ามนุษย์ ของเหล่าเทวดาทั้งหลาย
ทีนี้เราอยากจะดับทุกข์ อยากจะหลุดพ้น เราก็เดินตามคำสอนของท่าน ด้วยการเจริญตบะ สร้างตบะบารมี การเจริญสติ การเดินปัญญา แยกรูปแยกนาม การชำระสะสางกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ท่านสอนเรื่องทุกข์ เรื่องดับทุกข์ สอนเรื่องอัตตา เรื่องอนัตตา สอนเรื่องสมมติ สอนเรื่องวิมุตติ ลักษณะของอัตตาเป็นอย่างไร ลักษณะของอนัตตาเป็นอย่างไร ก่อนที่จะเข้าถึงตรงนี้เราจะดำเนินได้อย่างไร
เพียงแค่การสร้างสติความระลึกรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน พวกเราก็ยังทำกันไม่ต่อเนื่อง ส่วนมากก็จะเอาตั้งแต่ปัญญาไปนึกเอาไปคิดเอา ว่าจะเป็นอย่างนั้นว่าจะเป็นอย่างนี้ ไปแสวงหาที่โน่นไปแสวงหาที่นี่ ถ้าจะเอากันจริงๆ ถ้าจะทำกันจริงๆ เพียงแค่รู้แนวทาง ทำความเข้าใจตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จนกระทั่งนอนหลับ เราไม่ทำตามอำนาจของความอยากที่เกิดจากกิเลสเกิดจากจิต
การสร้างความรู้ตัวที่ต่อเนื่องเป็นลักษณะอย่างไร ความรู้สึกตัวของเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ จิตของเรามีความกังวล มีความฟุ้งซ่าน มีความกำหนัดยินดีในรูปรสกลิ่นเสียง มีความกังวล เราก็รู้จักดับอยู่ปัจจุบัน เราดับไม่ได้ เราจะเอาวิธีไหนเข้าไปดับ ใช้สมถะเข้าไปดับ หรือว่าตามดู ตามรู้ ตามเห็น ตามทำความเข้าใจ ไม่ทำตามอำนาจของกิเลส จนกว่าจิตจะแยกรูปแยกนาม คลายความหลง
จิตแยกรูปแยกนามเป็นแค่เริ่มต้นของสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงที่จะเข้าสู่วิปัสสนา หมายถึงรู้แจ้ง แล้วก็เห็น ทำความเข้าใจ รอบรู้ในกองสังขารของขันธ์ห้า ขันธ์ห้าของเราประกอบด้วยอะไรบ้าง ทำไมถึงเรียกว่าขันธ์ห้า ทำไมพระพุทธองค์ถึงบอกว่าเป็นกองเป็นขันธ์
เหมือนกับเชือกเส้นเดียวมีอยู่ห้าเกลียว ก็มารวมกันเป็นเชือกเส้นเดียว แต่เราให้รู้ด้วยปัญญาว่าเกลียวไหนบ้างเป็นเกลียวไหนบ้าง แต่เขาก็รวมกันอยู่ กายของเราก็มีลักษณะคล้ายๆ กัน กองรูปกองนาม กองความคิดกองอารมณ์ กองสังขารกองวิญญาณ มารวมกันอยู่
แต่ถ้าเจริญสติเข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์จริงๆ เราก็จะเห็นเป็นคนละส่วนกันอยู่ ก็จะมองเห็นแนวทางของการเดิน ของการดำเนินชีวิต ทำความเข้าใจกับโลกธรรมทั้งแปด ทำความเข้าใจกับทวารทั้งหก ซึ่งเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียงที่เข้าไปถึงวิญญาณ ซึ่งเข้าไปถึงดวงจิตของเรา ตัววิญญาณตัวสุดท้ายในขันธ์ห้า มันเข้าไปยินดียินร้าย เข้าไปร่วมเข้าไปเสวย ยึดได้อย่างไร เรื่องจิตเป็นของละเอียดอ่อน ไม่ใช่ว่าพูดเล่นๆ ต้องพูดจริงทำจริง จนกว่าจิตของเราคลายจากความหลง ตั้งมั่นรับรู้อยู่
จิตนี้ก็แปลก เราไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติขัดเกลาเขา ไม่ได้ฝืนก็ยากที่เขาจะยอมรับความเป็นจริง กำลังสติกำลังปัญญาต้องหาเหตุหาผล หาเหตุหาผลหมั่นพร่ำสอนจิต ให้จิตรู้เห็นตามความเป็นจริง ส่วนมากจะรู้อยู่ระดับของสมมติ ไม่รู้อยู่ในระดับของวิมุตติ ถ้ารู้อยู่ระดับของวิมุตติ คือแยกจิตออกจากขันธ์ห้า แยกรูปแยกนาม ตามทำความเข้าใจ เรื่องอะไรที่เกิด ทำไมจิตของเราเข้าไปรวม เข้าไปร่วมจนเป็นตัวเดียวกัน
ถ้าแยกได้ ตามทำความเข้าใจได้ ทุกโอกาสทุกเวลาทุกขณะจิตนั่นแหละ จิตของเราถึงจะยอมรับความเป็นจริง ถึงแยกได้รู้ได้เห็นได้ ถ้าไม่ตามทำความเข้าใจเขาก็ซึมเข้าสู่สภาพเดิม
อันนี้ก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง ก็เรื่องเก่าๆ ของเรานี่แหละ ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก ก็มีตั้งแต่กายกับจิต รูปกับนาม การชำระสะสางกิเลส จะไปหาครูบาอาจารย์องค์ไหนก็เหมือนกันหมด ถ้าท่านเน้นเรื่องการฝึกหัดปฏิบัติจิต
ถ้าเรารู้จักการเจริญสติ ลักษณะของสติ รู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นอย่างนี้ เราพลั้งเผลอหรือไม่ สติของเราหลุดไปหรือไม่ ใหม่ๆ นี่ก็ธรรมดา ก็มีการพลั้งเผลอเพราะความเคยชิน ปัญญาเก่าความคิดเก่า ซึ่งเป็นความคิดที่เกิดจากจิตเกิดจากขันธ์ห้า เขาส่งไปก่อน เราต้องมาดับมาฝืน มาอดมาข่มสารพัดอย่าง ขนาบแล้วขนาบอีก หมั่นชำระ สะสางแล้วสะสางอีก ขอให้เราละมานะ ละทิฏฐิ ละความเห็นผิดออกไปเสีย แล้วก็ทำความเข้าใจจนกว่าจะแยกรูปแยกนามได้ หายสงสัยได้นั่นแหละ ก็มีตั้งแต่กำลังสติกำลังปัญญาที่จะค้นคว้าจนถึงจุดหมายปลายทาง อยู่คนเดียวก็มีความสุข ก็จะรู้ว่าจะเห็นว่ากิเลสตัวไหนมันจะมาหลอกเรา เราจะพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหนบ้าง เราจะแพ้หรือจะชนะ เราก็ตรวจสอบเราอยู่ตลอดเวลา
สตินี่ก็เปรียบเสมือนกับครูบาอาจารย์คอยพร่ำสอนเราอยู่ตลอดเวลา จิตนี้ก็เปรียบเสมือนกับลูกศิษย์ ที่คอยจะสอบได้หรือสอบตก เราก็มีสติดูรู้อยู่ตรงนี้ เราก็จะได้ฟังธรรมะอยู่ตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา อยู่คนเดียวเราก็ได้ฟังธรรมะ ได้ยินธรรมะ ใบไม้ร่วงเราก็ได้ฟังธรรม คนด่าคนว่าเราก็ได้ฟังธรรม เราจะได้ฟังอยู่ตลอดเวลา ถ้าเรามีสติคอยดูรู้จิต นอกนั้นก็เพียงแค่ทำหน้าที่ของสมมติไปตามหน้าที่เท่านั้นแหละ สมมติว่าเป็นอันนู้นเป็นอันนี้ เป็นอย่างนู้นเป็นอย่างนี้ อันนี้ก็เพียงแค่เล่าให้ฟังนะ
พวกเราต้องสร้างอานิสงส์ สร้างตบะสร้างบารมี ค่อยเป็นค่อยไปเอา อย่าไปทิ้ง อย่าไปทิ้งวัด อย่าไปทิ้งในการทำบุญ อย่าไปทิ้งในการให้ทาน เรามีโอกาสให้ก็รีบทำ ทำมากทำน้อยก็เป็นของเรา เราระลึกนึกถึงเมื่อไหร่จิตใจเราก็มีความสุข ก็ต้องพยายาม
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา