หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 092

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 092
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 092
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเอง นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วย น้อมสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ลองดูสิ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็รู้สึกว่าสงบตั้งมั่นขึ้น จิตของเราก็จะสงบระงับลง ความรู้สึกก็จะเด่นชัด ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกนั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สติรู้ตัว’

ถ้าเรามีความรู้สึกรู้ที่ต่อเนื่องเชาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ไม่ใช่ว่าไปนึกคิดเอาให้ต่อเนื่อง อันนั้นเป็นปัญญาโลกีย์ เป็นปัญญาของโลกของสมมติ เราต้องสร้างความรู้สึกตัวแล้วก็สร้างให้ต่อเนื่อง ถ้าเกียจคร้านในการเจริญตรงนี้ สติของเราก็จะไม่ตั้งมั่นขึ้น

ส่วนการเกิดการดับของจิตนั้น เขาก็เกิดๆ ดับๆ อยู่แล้ว อาการของความคิดที่ผุดมาปรุงแต่งจิตนั้นเขาก็มีอยู่แล้ว ซึ่งเรียกว่าอาการของขันธ์ห้า จิตของเราเป็นผู้รู้ แต่เวลานี้เขารู้อยู่ในระดับของโลกิยะ เขารู้อยู่ในระดับของโลกสมมติ รู้อยู่ เกิดอยู่ แต่เขาก็ยังหลงความคิดหลงอารมณ์อยู่ เราต้องมาสร้างความรู้สึกตัวตัวใหม่ให้เยอะๆ เพื่อที่จะเข้าไปคลายจิตออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เรารู้ความรู้ตัวไม่รู้ตั้งแต่ต้นเหตุ เราก็รู้จักดับรู้จักควบคุมเอาไว้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้หรอก เราพยายามหัดสังเกตบ่อยๆ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา

ตื่นขึ้นมาปุ๊บ เราก็พยายามสร้างความรู้ตัว รู้ความปกติไว้เป็นหลัก จะก้าวจะเดินเราก็พยายามมีความรู้สึกรับรู้อยู่ จิตจะเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับ จิตเกิดความโลภ เกิดความโกรธ เกิดความทะเยอทะยานอยาก เราก็รู้จักดับ ความอยากเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละพวกเราไม่เคยสังเกตดู อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ความทะเยอทะยานอยาก

คนทั่วไปนี่ความอยากขึ้นหน้า ความอยากความหวัง ไปบังคับไปกระตุ้นจิต ทำให้จิตเกิดความอยากความหวังสารพัดอย่าง อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา จิตของเราก็เลยเกิดเป็นทาสของอารมณ์ ทั้งๆ ที่จิตของเราบางทีเขาก็ส่งออกไปภายนอกอยู่ การดับการควบคุมการละ ใหม่ๆ ถึงเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแสกิเลสเลยทีเดียว

สำหรับบุคคลใดที่มีตบะมีบารมีมาก่อน การฝึกฝนจิตก็อาจจะไปเร็วได้ไว จิตมีความเสียสละ มีพรหมวิหาร มีความเมตตา รู้จักละความตระหนี่เหนียวแน่นออกจิตใจของเรา จิตเกิดความโกรธก็รู้จักดับความโกรธ รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี จิตเกิดความยินดียินร้ายหรือว่าจิตเกิดผลักไส เราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม ควบคุมในระดับ ระดับบั้นปลาย ระดับกลาง ระดับวาจา ระดับกาย ลึกลงไปก็ระดับจิต แล้วก็สำรวมอินทรีย์ของตัวเราอยู่ตลอดเวลา

ตากระทบรูปใจของเราเป็นอย่างไรบ้าง หูกระทบเสียงใจของเราเป็นอย่างไรบ้าง เราหมั่นสอดส่อง สติหมั่นรู้ตัวรู้จิตอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่มีการทำความเพียรที่ต่อเนื่องก็ยากที่จะเข้าใจ เพราะว่าจิตเป็นของละเอียดอ่อน ตามธรรมดาจิตนี่เป็นฝ่ายนามธรรม ส่วนมากเราอาจจะมองเฉพาะทางด้านรูปธรรม เราขาดการดูลักษณะอาการของนามธรรม ว่าเขาเกิดอย่างไร ลักษณะอาการของนามธรรมนั้นมีกี่อย่าง มีอะไรบ้าง ตัววิญญาณตัวสุดท้ายมันเข้าไปรวมไปร่วมกันจนเป็นสิ่งเดียวกันได้อย่างไร ถึงเกิดโมหะเกิดความหลง

ท่านถึงบอกให้สังเกตให้วิเคราะห์ จนจิตของเราคลายความหลง แล้วตามดูอาการของความคิด ของอารมณ์ จนจิตของเรายอมรับความจริงได้นั่นแหละ เขาถึงจะปล่อยจะวางได้ อันนั้นเอาไว้ทีหลัง เพียงแค่การสร้างความรู้สึกตัวพวกเรายังสร้างกันไม่ได้ต่อเนื่องกัน ส่วนมากก็พลั้งเผลอ พลั้งเผลอกับเล่นสนุกสนานกัน การประพฤติการปฏิบัติ เดินก็เดินไปอย่างนั้น นั่งก็นั่งไปอย่างนั้น เดินก็เดินคิด นั่งก็นั่งคิด คิดหาธรรมนั่นแหละ

แต่ตามหลักธรรมแล้ว ท่านให้ดับความคิด ให้หยุด สร้างความตัวรู้เข้าไปดับเข้าไปควบคุม จนสังเกต จนคลายแล้ว ก็ถึงตามดู ตามดูตามรู้เห็นลักษณะอาการของความคิด หรือว่ารอบรู้ในกองสังขารของเราหมั่นพร่ำสอนจิตของตัวเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่พร่ำสอนตัวเราแล้วไม่มีใครจะพร่ำสอนให้ มีความรับผิดชอบที่สูง ละความเกียจคร้านเจริญพรหมวิหารให้มากๆ สร้างความขยันหมั่นเพียรให้มากๆ สักวันหนึ่งเราก็จะเข้าใจในแนวทาง มองเห็นแนวทางที่จะเดิน

อันไหนที่ทำให้จิตของเราโล่งโปร่งเบาสบายนั่นแหละคือหนทาง อันไหนที่ทำให้จิตของเราอึดอัด อันไหนที่ทำจิตของเราให้เศร้าหมองนั้นไม่ใช่ทาง แนวทางนั้นพระพุทธพระองค์ท่านได้ชี้แนะแนวทางเอาไว้หมดแล้ว พวกเราจะเดินหรือไม่เท่านั้นเอง

การได้ยินการได้ฟังการได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม การสังเกตการวิเคราะห์จากเล็กๆ น้อยๆ พวกเราขาดความละเอียดตรงนี้ เราต้องพยายามเอา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับ หมั่นทบทวนตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา ไปอยู่ที่ไหนก็ดีหมด

การทำบุญการให้ทาน ไม่ว่าอยู่ในสถานที่แห่งใด อยู่คนเดียวเราก็ทำบุญให้กับตัวเรา อยู่กับพ่อกับแม่ กับพี่กับน้องเราก็ได้ทำบุญ ให้กับบริวาร ให้กับพี่กับน้องของเรา อยู่กับหมู่อยู่กับคณะ เราก็รู้จักแบ่งสันปันส่วนรู้จักรับผิดชอบ ทำบุญทั้งแรงกายแรงใจแรงวาจา แม้ตั้งแต่การให้อภัยทาน เราพยายามทำให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง เราก็จะได้อยู่กับธรรมของพระพุทธองค์ เราก็จะได้ฟังธรรมะอยู่ตลอดเวลา รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา ถ้าเรามีสติคอยตรวจสอบเราตลอดเวลา

อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้งนะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี หลวงพ่อก็เล่าตั้งแต่ของเก่า เอาของเก่ามาเล่า เอาของเก่ามาย้ำ แต่พวกท่านทำไม่เข้าถึงกัน ก็เลยไม่เข้าใจกัน ก็ต้องพยายาม ส่วนมากจะไปกระโดดเอาตั้งแต่ผล ไม่เอาต้นเหตุให้ดีเสียก่อน ถ้าต้นเหตุดีก็จะส่งผลถึงอนาคตได้เองนั่นแหละ ก็ต้องพยายามกัน

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง