หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 084

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 084
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 084
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเอง พยายามฝึกสร้างความรู้ตัว รู้กายรู้จิต ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา หมั่นสำรวจตรวจตาดูตัวเรา อยู่คนเดียวเราก็ตรวจตราดูตัวเรา รู้ความปกติของจิต

เวลาตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง วิญญาณ หรือว่าดวงจิตของเราเกิดลักษณะอาการอย่างไร ผลักไส ดึงเข้ามา หรือว่ายินดียินร้าย หรือว่าปกติ เราพยายามสร้างตัวรู้ คือสร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง ส่วนการเกิดการดับของจิต การรับรู้ของจิตนั้นมีอยู่ แต่กำลังสติของเรารู้ไม่ทัน รู้เมื่อเขาเกิดแล้ว เราไม่รู้จักทำความเข้าใจให้ได้ตลอดสายเท่านั้นเอง ทั้งๆ ที่จิตของเราก็อยู่ในกายของเรา แต่เวลานี้จิตของเรายังเกิดอยู่ ยังหลงอยู่ ยังคว่ำอยู่ ยังไม่ได้หงาย

ทำไมถึงว่ายังคว่ำอยู่ เพราะว่าโมหะความหลงเข้าครอบงำ หรือว่าสมมติครอบงำดวงจิตอยู่ ตราบใดที่จิตยังไม่ได้คลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมด้วยกัน เขาก็ยังคว่ำอยู่ ถึงยังคว่ำอยู่ก็ยังอยู่ในกองบุญกองกุศลอยู่ เพราะว่าจิตฝักใฝ่ในบุญในกุศล พยายามสร้างบารมีอยู่ แต่ถ้ากำลังสติมีน้อยก็เข้าไม่ถึงตรงนี้

กำลังสติมีมากเราก็รู้จักดับ รู้จักควบคุมจิต ควบคุมอารมณ์ แล้วรู้จักสังเกตวิเคราะห์ สักวันหนึ่งก็จะเห็นจิตคลายออกจากความคิด ก็จะมองเห็นทางทะลุปรุโปร่ง สัมมาทิฏฐิก็จะเปิดทางให้ การตามดูตามทำความเข้าใจให้จิตรับรู้ก็จะตามมา กำลังสติก็จะค้นคว้าหาทุกสิ่งทุกอย่าง จนจิตยอมรับความเป็นจริง

อันนี้เป็นเรื่องที่ละเอียด และต้องเป็นบุคคลที่ขยัน หมั่นสร้างบารมี หมั่นชำระสะสางกิเลสออกจากใจพวกเรา กิเลสมากกิเลสน้อย กิเลสหยาบกิเลสละเอียด เราก็ต้องพยายาม มองโลกในทางที่ดี ทำดีคิดดีอยู่ตลอดเวลา ขยันหมั่นเพียรในภาระหน้าที่การงานของเรา ขยันหมั่นเพียรในการสำรวม ในการสังเกตในการวิเคราะห์ ขยันหมั่นเพียรในการทำความเข้าใจ ความระลึกรู้ตัว สติของเราพลั้งเผลอ แล้วก็การเจริญสติให้ต่อเนื่อง การรักษาสติการเจริญให้ต่อเนื่องนั่นแหละ การสร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง

การพูดภาษาสมมติ ถ้าไม่เข้าใจในหลักการพูดก็ยากที่จะเข้าใจในหลักของการปฏิบัติ ความรู้สึกรับรู้ เราก็พยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่อง นั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ การเกิดการดับของจิตเขาเรียกว่า ’นามธรรม’ กายก็เป็นรูปธรรม เราต้องรู้ส่วนรูปส่วนนาม แล้วก็แยกจิตออกจากความคิดซึ่งเป็นส่วนนามธรรมด้วยกันอีก มันหลายอย่างนะ อยู่ในกายของเราเนี่ย อยู่ในกายของเรานี่ที่ท่านเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ อาการของขันธ์ห้า แล้วก็อาการของจิต จำแนกแจกแจงออกเป็นกองของใครกองของมัน เหมือนกับเชือกมีอยู่ 5 เกลียว แต่เขาอยู่รวมกันก็เลยเป็นเชือกเส้นเดียวกัน กายของเราก็มีอยู่ 5 ขันธ์ เขาอยู่ร่วมกันก็เลยกลายเป็นกายของเราทางสมมติ

ถ้าเรามาสังเกตดูในเชือกเส้นเดียวนั้น มันจะมีอยู่ 5 เกลียว รวมกันอยู่ เรารู้ พยายามแยกแยะออกทีละเกลียวๆ ด้วยปัญญาที่มองเห็นตามความเป็นจริง แต่เขาก็ยังรวมกันอยู่ แต่เรารู้ให้เห็นด้วยตามความเป็นจริง กายของเราก็เหมือนกันนั่นแหละ ถ้าเรารู้จักวิเคราะห์พิจารณา ทีนี้ก็มาละกิเลสที่จิตให้มันสิ้นซากไปเสีย มันก็ยาก กิเลสมันเป็นยางเหนียว กว่าจะละได้ ออกได้หมด ก็ต้องสร้างบารมีอย่างเข้มข้นเลยทีเดียว ถึงละไม่หมด ก็พยายามค่อยสร้างไปทีละเล็กทีละน้อย ตามกำลังๆ ตามความเพียรของเรา ดีกว่าไม่ได้ทำ

วันนี้จิตของเราสงบ สงบสักกี่นาที เรามีกำลังสติเข้าไปควบคุมจิตของเราได้สักกี่ครั้ง ความพลั้งเผลอของเรามีสักกี่เที่ยว จิตของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เรื่องอะไรเราต้องหัดสังเกต เก็บรายละเอียดให้มากๆ เหตุการณ์จากภายนอกเข้ามาปรุงแต่งจิตของเราสักกี่ครั้ง

ขณะที่ตากระทบรูปหูกระทบเสียง จิตของเราเป็นอย่างไร พยายามทำความเข้าใจกับเขาเสีย แล้วก็รู้จักละ รู้จักดับ มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก จะว่ามากก็มาก จะว่าน้อยก็น้อย จะว่าไม่มีก็ไม่มี มันมีในทางสมมติ ไม่มีในทางวิมุตติ

อยู่กับโลกอยู่กับธรรม ธรรมกับโลกก็อยู่ด้วยกัน วิมุตติกับสมมติก็อยู่ด้วยกัน หมดลมหายใจเมื่อไหร่นั่นแหละ จิตถึงจะได้วางก้อนสมมติ แต่จิตตราบใดที่ยังเกิดอยู่ก็ต้องเกิด ต้องวนเวียนว่ายตายเกิด ถ้าจิตของเรายังเกิดอยู่ก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญกองกุศล หมั่นสร้างบุญสร้างอานิสงส์เอาไว้ ดีกว่าจิตของเราจะตกไถลถลำเข้าไปสู่ในทางอบาย มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ ภพภูมิต่างๆ มี

วันนี้มีวันพรุ่งนี้มีเมื่อวานนี้ก็มี ปีหน้าก็มีปีผ่านมาก็มี มีพ่อมีแม่ มีปู่มีย่า มีตามียาย ปู่ย่าตายายก็ตายไปหมดแล้ว แต่ก็ยังมีอยู่ นั่นแหละ เหมือนกันหมด เราก็ต้องพยายามเชื่อพระพุทธองค์ แล้วก็ประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของท่าน ไม่ได้มากก็ได้น้อย อย่างน้อยๆ ก็อยู่ในกองบุญเอาไว้ก็ยังดี ก็ต้องพยายามกันนะ

กระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องกัน วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ให้ต่อเนื่องกันสักระยะนะ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง