หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 046
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 046
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่ง ตามความเป็นจริงแล้วเราต้องพยายามสำรวจเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ทุกอิริยาบถ ทุกวันทุกคืน นอกจากเรานอนหลับ ตื่นขึ้นมาแล้วเราก็พยายามวิเคราะห์กายวิเคราะห์จิต การวิเคราะห์นั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สติ’ หรือว่าสังเกต ความรู้ตัว ความรู้ตัวไม่มีเราก็สร้างขึ้นมา สร้างความสึกรู้ตัวขึ้นมา แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง
ส่วนการเกิดการดับของจิตนั้นเขามีอยู่แล้ว การเกิดการดับของขันธ์ห้า ของความคิด ของอารมณ์ที่มาปรุงแต่งจิต เขามีอยู่เดิม แล้วก็จิตกับความคิดเขาก็รวมกันอยู่เดิม เรามาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่เข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ รู้ไม่เท่าทันเราก็รู้จักควบคุมเอาไว้ จุดมุ่งหมายของการเจริญสติ เราต้องทำความเข้าใจให้ชัดแจ้ง ให้รู้ลักษณะอาการที่แท้จริง ไม่ใช่ว่าฝึกเฉยๆ การยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย หลับตาลืมตา เรามีสติรู้ฐานของจิต รู้ความปกติ รู้ความสงบ ตราบใดที่ยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ เราก็จะเดินปัญญาเข้าสู่วิปัสสนาไม่ได้เด็ดขาด ก็จะเป็นแค่เพียงปัญญาโลกีย์
ถ้าแยกรูปแยกนามได้ หรือว่าแยกจิตแยกความคิดได้ เราก็จะมองเห็นทาง ความรู้ตัวก็จะตามดู เห็นการเกิดการดับ เรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ เห็นความไม่เที่ยงของขันธ์ห้า รู้ลักษณะอาการของอนิจจังทุกขังอนัตตา อนิจจังความไม่เที่ยง ทุกขังความเป็นทุกข์ อนัตตาความว่างเปล่า เมื่อเขาจบลงเรื่องแล้วเรื่องเล่าๆ จิตของเราเข้าไปหลงเข้าไปรวมทำให้เกิดอัตตาตัวตน ถ้าเราคลายตรงนี้ออกได้ โมหะความหลงอย่างลุ่มลึกก็จะคลายออก เราก็จะมองเห็นอัตตาอนัตตา มองเห็นสมมติมองเห็นวิมุตติ ตามทำความเข้าใจ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ไม่ให้หลุดพ้นสายตาของสติปัญญาได้ แม้กระทั่งทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก
ถ้าเราแยกได้ จิตเห็นขันธ์ห้า ขาดการวิเคราะห์ขาดการตามดูทุกเรื่อง เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม คนทั่วไปส่วนมากก็อยู่ในการสร้างบารมี อยู่ในการสร้างอานิสงส์ ทำบุญ ละความตระหนี่เหนียวแน่นได้ระดับหนึ่ง ทำบุญที่โน่นทำบุญที่นี่ ไปปฏิบัติธรรมที่นั่นปฏิบัติธรรมที่นี่ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ดี ทำไมถึงว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะเป็นการสร้างอานิสงส์ สร้างบารมี หาประสบการณ์
ถ้าถึงวาระถึงเวลา อานิสงส์ของเราเพียงพอ บารมีของเราเพียงพอ กำลังสติของเราเพียงพอ เราก็จะเห็นได้ชัดแจ้งชัดเจน ตามทำความความเข้าใจให้ละเอียด เราก็จะมีตั้งแต่ความสุข สงบเยือกเย็น ไปอยู่ที่ไหนก็มีความสุข ถ้าเราเข้าใจ อยู่กลางโรงหนังกลางตลาดจิตก็เป็นสมาธิ ไม่ใช่ว่านั่งเฉยๆ จิตมันจะสว่างโล่งโปร่งเลยทีเดียว ไม่ใช่ ไม่ใช่ว่าไปเดินจงกรมไปนั่งสมาธิแล้วจิตมันจะสว่างโล่งโปร่งเลยทีเดียว
จิตจะสว่างโล่งโปร่งได้ก็เกิดจากการสังเกตเกิดจากการวิเคราะห์ แยกรูปแยกนาม คลายความหลงนั่นแหละ จิตจะว่างโล่งโปร่ง กายก็จะเบา ถ้ายังไม่เห็นตรงนี้ จิตได้รับความสงบก็เหมือนกับขันที่ยังคว่ำอยู่ ยังไม่ได้หงายขึ้นมา ยังไม่เข้าใจในกระแสของธรรมชาติของจิตที่แท้จริง
เราต้องพยายามหมั่นชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมด เจริญพรหมวิหารให้มากๆ มองโลกในทางที่ดี แต่ละวันตื่นขึ้นมา กายของเราเป็นอย่างไร ปกติดีอยู่หรือไม่ ความไม่เที่ยงของกายของรูปขันธ์ของเรา อันนี้ก็เป็นกองหนึ่งของขันธ์ห้า ความไม่เที่ยงของความคิดของอารมณ์ที่เขาเกิดๆ ดับๆ
ลักษณะของจิตที่ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ว่างจากการเกิด เราบังคับเอาไว้ หรือว่าว่างแบบธรรมชาติด้วยการรู้เห็นตามความเป็นจริง จิตยอมรับความเป็นจริง จิตของคนเราถ้าขาดการฝึกหัดปฏิบัติ เขาก็เกิดด้วยเขาก็หลงด้วย แม้ตั้งแต่ตัวของเขาเอง เขาก็ยังปิดบังอำพราง แล้วก็ขันธ์ห้า ขันธมารก็มาปิดบังดวงจิตของเราไว้อีกชั้นหนึ่ง กิเลสต่างๆ เข้ามาปิดเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง เยอะมากมายจริงๆ ถ้าเราไม่มีความเพียรที่เพียงพอ ไม่มีอานิสงส์ตบะบารมีที่เพียงพอ ก็ยากที่เขาจะเปิดเผย
ถ้าเขาเปิดเผยขึ้นมา เราก็จะมองเห็นความจริง ถ้ากำลังสติของเรามีเพียงพอ กำลังสติของเราหมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ หมั่นดับหมั่นละ หมั่นสร้างตบะบารมี ละความตระหนี่เหนียวแน่น ละความโลภ จากกิเลสหยาบๆ ไปหาละเอียด แล้วก็นิวรณธรรมต่างๆ ที่เป็นเครื่องกางกั้นจิตของเรา ให้ชัดแจ้ง สติของเราคมชัด จิตของเราก็จะฉายแววขึ้นมาให้เห็น
เห็นฐานของจิตที่แท้จริง ฐานของจิตอยู่ตรงไหน ก็อยู่กลางใจของเรานั่นแหละ เวลาเราตกใจหวั่นไหวผวามันเกิดขึ้นที่ตรงไหน เวลาจิตเกิดความอยากมันเกิดขึ้นที่ตรงไหน เคยวิเคราะห์ตัวเราไหม ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จิตของเราส่งไปข้างนอกสักกี่เรื่อง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เขาเริ่มก่อตัวอย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาเขาก่อตัวอย่างไร ทำไมจิตของเราถึงเคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิดนั้น อันนี้เป็นสิ่งที่เร็วไวมากทีเดียว
ถ้าเราขาดการสังเกต ยากที่จะเห็นตรงนี้ เขาไปรวมกันแล้วปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราวไปแล้ว เราถึงรู้ เราต้องพยายาม ไม่เข้าใจเท่าไรเราก็เพิ่มกำลังสติ หมั่นวิเคราะห์ให้มากๆ อย่าไปคร่ำเคร่ง เราสังเกตไปเรื่อยๆ สังเกตไม่ทันเราก็ดับควบคุมเอาไว้ ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ แม้ตั้งแต่ความอยากที่จะเห็นจิต อยากที่จะรู้ธรรม เราก็อย่าให้มี
เป็นความอยาก ความอยากให้เกิดจากตัวจิต ให้เป็นความต้องการสติปัญญา เข้าไปดูเข้าไปรู้เข้าไปเห็น รู้ไม่ทันเราก็รู้จักดับ พยายามทำของยากให้เป็นของง่าย อย่าพยายามทำของง่ายให้เป็นของยาก เราทำไปเรื่อยๆ ความคิดผุดขึ้นมาเราก็สังเกตดู รู้ไม่ทันเราก็ดับ เราก็พยายามสร้างความรู้ตัว แล้วก็สร้างความรู้ตัวให้ชัดแจ้ง แล้วก็ให้ต่อเนื่อง ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เขาเรียกว่า ‘ปฏิสังขาโย’
แม้แต่กับเรื่องการขบการฉันการรับประทาน กายหิวหรือว่าจิตเกิดความอยาก ถึงเราไม่ยึดมั่นถือมั่นก็ช่างเถอะ อย่าให้จิตเกิดความอยาก เราจะรับประทานด้วยสติทานด้วยปัญญา ทานมากทานน้อยก็เป็นเรื่องของปัญญา อย่าให้ความอยากเกิดขึ้นแม้แต่นิดเดียว เกิดขึ้นที่จิต ไม่ต้องไปเอาตัวโตๆ หรอก เอาตัวความอยากแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละ เราพยายามดับเสีย ดับทีนั้นทีนี้กำลังของกิเลสก็ไม่มี มันก็เหือดแห้งไป เราไม่เอาอาหารให้เขา
ถ้าเรามัวตั้งแต่ตามดูตามรู้ตามเห็น การสร้างกำลังจิตไม่มี การดับไม่มี การแยกไม่มี มันจะรู้ได้อย่างไร มีตั้งแต่ปัญญาโลกีย์ มีแต่ธรรมโลกีย์ กิเลสธรรมมันลากคออยู่ตลอดเวลา มันเล่นงานเราตลอดเวลา ถ้าเรารู้จักดับตั้งแต่ต้นเหตุ บั่นทอนกิเลสตั้งแต่ต้นเหตุเสีย แยกรูปแยกนาม แยกจิต แยกขันธ์ห้า คลายความหลง ตามดู หมั่นพร่ำสอนจิตอยู่ตลอดเวลา จิตเขาก็จะยอมรับความเป็นจริง เขาก็จะปล่อยเขาก็จะวาง การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด
ช่วงใหม่ๆ นี่เกิดทุกคน จิตเกิดขันธ์ห้าเกิด นาทีหนึ่ง 5 นาที มันไปสักกี่เรื่องก็ไม่รู้ กายทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร ตากระทบรูปหูกระทบเสียง ดวงวิญญาณหรือดวงจิตของเรามันเกิดความยินดียินร้ายไหม บางทีจิตปกติอยู่เราก็ขาดการดู จะไปเอาตั้งแต่เวลาเขาเกิดความทุกข์ไม่ทันหรอก
เราต้องพยายามเอาให้ได้ทุกอิริยาบถ ถ้าขยันหมั่นเพียรจริงๆ ก็ตามดูในกระทั่งนิมิต นิมิตเกิดจากขันธ์ห้ามาปรุงแต่งจิต หรือว่าจิตปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราว หรือว่าภพภูมิภายนอกมาทำให้เกิด ต้องเป็นคนที่ขยัน ทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องพยายามเอา ขยันทั้งภายนอก สมมติภายนอกเราก็ขยันหมั่นหมั่นเพียร เพื่อยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ไม่เห็นแก่ความเหน็ดความเหนื่อย ไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ส่วนรวม
เรามาอาศัยสมมติอยู่ เราก็พยายามทำสมมติให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย คนอื่นก็พลอยได้รับประโยชน์นั่นด้วย เรามาสร้างสะสมอานิสงส์ สร้างสะสมบารมีให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเราตลอดเวลา
อันนี้หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง เพียงแค่ชี้แนะให้ฟังเท่านั้นเอง พวกท่านจงพยายามพากันไปสังเกตไปวิเคราะห์ การเจริญสติ จุดมุ่งหมายของการเจริญสติอยู่ที่ตรงไหน ลักษณะของจิตอยู่ที่ตรงไหน จิตที่สงบปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ปราศจากนิวรณธรรมเป็นอย่างไร การดับการควบคุมจิตเป็นอย่างไร อยู่ในระดับไหน ไม่ใช่ว่าทำไปแบบไม่รู้เรื่อง เราต้องทำด้วย รู้ด้วย เห็นด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย กายของเราอยู่กับสมมติอยู่กับสังคม จิตของเราเป็นอย่างไร
ถ้าเราเข้าใจ เราก็จะเอาการงานเป็นการปฏิบัติ ทำงานไปด้วยจิตได้พักผ่อนไปด้วย จิตไม่เครียด อยู่ที่ไหนก็มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ถ้าเรามีเครื่องตัดสินคือความเป็นกลาง ความว่าง ไม่เข้าข้างตัวเองเข้าข้างคนอื่น อยู่คนเดียวก็มีความสุข ก็พยายามเอานะ ขยันหมั่นเพียรกันเอา
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง
ส่วนการเกิดการดับของจิตนั้นเขามีอยู่แล้ว การเกิดการดับของขันธ์ห้า ของความคิด ของอารมณ์ที่มาปรุงแต่งจิต เขามีอยู่เดิม แล้วก็จิตกับความคิดเขาก็รวมกันอยู่เดิม เรามาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่เข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ รู้ไม่เท่าทันเราก็รู้จักควบคุมเอาไว้ จุดมุ่งหมายของการเจริญสติ เราต้องทำความเข้าใจให้ชัดแจ้ง ให้รู้ลักษณะอาการที่แท้จริง ไม่ใช่ว่าฝึกเฉยๆ การยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย หลับตาลืมตา เรามีสติรู้ฐานของจิต รู้ความปกติ รู้ความสงบ ตราบใดที่ยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ เราก็จะเดินปัญญาเข้าสู่วิปัสสนาไม่ได้เด็ดขาด ก็จะเป็นแค่เพียงปัญญาโลกีย์
ถ้าแยกรูปแยกนามได้ หรือว่าแยกจิตแยกความคิดได้ เราก็จะมองเห็นทาง ความรู้ตัวก็จะตามดู เห็นการเกิดการดับ เรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ เห็นความไม่เที่ยงของขันธ์ห้า รู้ลักษณะอาการของอนิจจังทุกขังอนัตตา อนิจจังความไม่เที่ยง ทุกขังความเป็นทุกข์ อนัตตาความว่างเปล่า เมื่อเขาจบลงเรื่องแล้วเรื่องเล่าๆ จิตของเราเข้าไปหลงเข้าไปรวมทำให้เกิดอัตตาตัวตน ถ้าเราคลายตรงนี้ออกได้ โมหะความหลงอย่างลุ่มลึกก็จะคลายออก เราก็จะมองเห็นอัตตาอนัตตา มองเห็นสมมติมองเห็นวิมุตติ ตามทำความเข้าใจ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ไม่ให้หลุดพ้นสายตาของสติปัญญาได้ แม้กระทั่งทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก
ถ้าเราแยกได้ จิตเห็นขันธ์ห้า ขาดการวิเคราะห์ขาดการตามดูทุกเรื่อง เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม คนทั่วไปส่วนมากก็อยู่ในการสร้างบารมี อยู่ในการสร้างอานิสงส์ ทำบุญ ละความตระหนี่เหนียวแน่นได้ระดับหนึ่ง ทำบุญที่โน่นทำบุญที่นี่ ไปปฏิบัติธรรมที่นั่นปฏิบัติธรรมที่นี่ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ดี ทำไมถึงว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะเป็นการสร้างอานิสงส์ สร้างบารมี หาประสบการณ์
ถ้าถึงวาระถึงเวลา อานิสงส์ของเราเพียงพอ บารมีของเราเพียงพอ กำลังสติของเราเพียงพอ เราก็จะเห็นได้ชัดแจ้งชัดเจน ตามทำความความเข้าใจให้ละเอียด เราก็จะมีตั้งแต่ความสุข สงบเยือกเย็น ไปอยู่ที่ไหนก็มีความสุข ถ้าเราเข้าใจ อยู่กลางโรงหนังกลางตลาดจิตก็เป็นสมาธิ ไม่ใช่ว่านั่งเฉยๆ จิตมันจะสว่างโล่งโปร่งเลยทีเดียว ไม่ใช่ ไม่ใช่ว่าไปเดินจงกรมไปนั่งสมาธิแล้วจิตมันจะสว่างโล่งโปร่งเลยทีเดียว
จิตจะสว่างโล่งโปร่งได้ก็เกิดจากการสังเกตเกิดจากการวิเคราะห์ แยกรูปแยกนาม คลายความหลงนั่นแหละ จิตจะว่างโล่งโปร่ง กายก็จะเบา ถ้ายังไม่เห็นตรงนี้ จิตได้รับความสงบก็เหมือนกับขันที่ยังคว่ำอยู่ ยังไม่ได้หงายขึ้นมา ยังไม่เข้าใจในกระแสของธรรมชาติของจิตที่แท้จริง
เราต้องพยายามหมั่นชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมด เจริญพรหมวิหารให้มากๆ มองโลกในทางที่ดี แต่ละวันตื่นขึ้นมา กายของเราเป็นอย่างไร ปกติดีอยู่หรือไม่ ความไม่เที่ยงของกายของรูปขันธ์ของเรา อันนี้ก็เป็นกองหนึ่งของขันธ์ห้า ความไม่เที่ยงของความคิดของอารมณ์ที่เขาเกิดๆ ดับๆ
ลักษณะของจิตที่ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ว่างจากการเกิด เราบังคับเอาไว้ หรือว่าว่างแบบธรรมชาติด้วยการรู้เห็นตามความเป็นจริง จิตยอมรับความเป็นจริง จิตของคนเราถ้าขาดการฝึกหัดปฏิบัติ เขาก็เกิดด้วยเขาก็หลงด้วย แม้ตั้งแต่ตัวของเขาเอง เขาก็ยังปิดบังอำพราง แล้วก็ขันธ์ห้า ขันธมารก็มาปิดบังดวงจิตของเราไว้อีกชั้นหนึ่ง กิเลสต่างๆ เข้ามาปิดเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง เยอะมากมายจริงๆ ถ้าเราไม่มีความเพียรที่เพียงพอ ไม่มีอานิสงส์ตบะบารมีที่เพียงพอ ก็ยากที่เขาจะเปิดเผย
ถ้าเขาเปิดเผยขึ้นมา เราก็จะมองเห็นความจริง ถ้ากำลังสติของเรามีเพียงพอ กำลังสติของเราหมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ หมั่นดับหมั่นละ หมั่นสร้างตบะบารมี ละความตระหนี่เหนียวแน่น ละความโลภ จากกิเลสหยาบๆ ไปหาละเอียด แล้วก็นิวรณธรรมต่างๆ ที่เป็นเครื่องกางกั้นจิตของเรา ให้ชัดแจ้ง สติของเราคมชัด จิตของเราก็จะฉายแววขึ้นมาให้เห็น
เห็นฐานของจิตที่แท้จริง ฐานของจิตอยู่ตรงไหน ก็อยู่กลางใจของเรานั่นแหละ เวลาเราตกใจหวั่นไหวผวามันเกิดขึ้นที่ตรงไหน เวลาจิตเกิดความอยากมันเกิดขึ้นที่ตรงไหน เคยวิเคราะห์ตัวเราไหม ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จิตของเราส่งไปข้างนอกสักกี่เรื่อง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เขาเริ่มก่อตัวอย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาเขาก่อตัวอย่างไร ทำไมจิตของเราถึงเคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิดนั้น อันนี้เป็นสิ่งที่เร็วไวมากทีเดียว
ถ้าเราขาดการสังเกต ยากที่จะเห็นตรงนี้ เขาไปรวมกันแล้วปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราวไปแล้ว เราถึงรู้ เราต้องพยายาม ไม่เข้าใจเท่าไรเราก็เพิ่มกำลังสติ หมั่นวิเคราะห์ให้มากๆ อย่าไปคร่ำเคร่ง เราสังเกตไปเรื่อยๆ สังเกตไม่ทันเราก็ดับควบคุมเอาไว้ ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ แม้ตั้งแต่ความอยากที่จะเห็นจิต อยากที่จะรู้ธรรม เราก็อย่าให้มี
เป็นความอยาก ความอยากให้เกิดจากตัวจิต ให้เป็นความต้องการสติปัญญา เข้าไปดูเข้าไปรู้เข้าไปเห็น รู้ไม่ทันเราก็รู้จักดับ พยายามทำของยากให้เป็นของง่าย อย่าพยายามทำของง่ายให้เป็นของยาก เราทำไปเรื่อยๆ ความคิดผุดขึ้นมาเราก็สังเกตดู รู้ไม่ทันเราก็ดับ เราก็พยายามสร้างความรู้ตัว แล้วก็สร้างความรู้ตัวให้ชัดแจ้ง แล้วก็ให้ต่อเนื่อง ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เขาเรียกว่า ‘ปฏิสังขาโย’
แม้แต่กับเรื่องการขบการฉันการรับประทาน กายหิวหรือว่าจิตเกิดความอยาก ถึงเราไม่ยึดมั่นถือมั่นก็ช่างเถอะ อย่าให้จิตเกิดความอยาก เราจะรับประทานด้วยสติทานด้วยปัญญา ทานมากทานน้อยก็เป็นเรื่องของปัญญา อย่าให้ความอยากเกิดขึ้นแม้แต่นิดเดียว เกิดขึ้นที่จิต ไม่ต้องไปเอาตัวโตๆ หรอก เอาตัวความอยากแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละ เราพยายามดับเสีย ดับทีนั้นทีนี้กำลังของกิเลสก็ไม่มี มันก็เหือดแห้งไป เราไม่เอาอาหารให้เขา
ถ้าเรามัวตั้งแต่ตามดูตามรู้ตามเห็น การสร้างกำลังจิตไม่มี การดับไม่มี การแยกไม่มี มันจะรู้ได้อย่างไร มีตั้งแต่ปัญญาโลกีย์ มีแต่ธรรมโลกีย์ กิเลสธรรมมันลากคออยู่ตลอดเวลา มันเล่นงานเราตลอดเวลา ถ้าเรารู้จักดับตั้งแต่ต้นเหตุ บั่นทอนกิเลสตั้งแต่ต้นเหตุเสีย แยกรูปแยกนาม แยกจิต แยกขันธ์ห้า คลายความหลง ตามดู หมั่นพร่ำสอนจิตอยู่ตลอดเวลา จิตเขาก็จะยอมรับความเป็นจริง เขาก็จะปล่อยเขาก็จะวาง การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด
ช่วงใหม่ๆ นี่เกิดทุกคน จิตเกิดขันธ์ห้าเกิด นาทีหนึ่ง 5 นาที มันไปสักกี่เรื่องก็ไม่รู้ กายทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร ตากระทบรูปหูกระทบเสียง ดวงวิญญาณหรือดวงจิตของเรามันเกิดความยินดียินร้ายไหม บางทีจิตปกติอยู่เราก็ขาดการดู จะไปเอาตั้งแต่เวลาเขาเกิดความทุกข์ไม่ทันหรอก
เราต้องพยายามเอาให้ได้ทุกอิริยาบถ ถ้าขยันหมั่นเพียรจริงๆ ก็ตามดูในกระทั่งนิมิต นิมิตเกิดจากขันธ์ห้ามาปรุงแต่งจิต หรือว่าจิตปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราว หรือว่าภพภูมิภายนอกมาทำให้เกิด ต้องเป็นคนที่ขยัน ทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องพยายามเอา ขยันทั้งภายนอก สมมติภายนอกเราก็ขยันหมั่นหมั่นเพียร เพื่อยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ไม่เห็นแก่ความเหน็ดความเหนื่อย ไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ส่วนรวม
เรามาอาศัยสมมติอยู่ เราก็พยายามทำสมมติให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย คนอื่นก็พลอยได้รับประโยชน์นั่นด้วย เรามาสร้างสะสมอานิสงส์ สร้างสะสมบารมีให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเราตลอดเวลา
อันนี้หลวงพ่อเพียงแค่เล่าให้ฟัง เพียงแค่ชี้แนะให้ฟังเท่านั้นเอง พวกท่านจงพยายามพากันไปสังเกตไปวิเคราะห์ การเจริญสติ จุดมุ่งหมายของการเจริญสติอยู่ที่ตรงไหน ลักษณะของจิตอยู่ที่ตรงไหน จิตที่สงบปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ปราศจากนิวรณธรรมเป็นอย่างไร การดับการควบคุมจิตเป็นอย่างไร อยู่ในระดับไหน ไม่ใช่ว่าทำไปแบบไม่รู้เรื่อง เราต้องทำด้วย รู้ด้วย เห็นด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย กายของเราอยู่กับสมมติอยู่กับสังคม จิตของเราเป็นอย่างไร
ถ้าเราเข้าใจ เราก็จะเอาการงานเป็นการปฏิบัติ ทำงานไปด้วยจิตได้พักผ่อนไปด้วย จิตไม่เครียด อยู่ที่ไหนก็มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ถ้าเรามีเครื่องตัดสินคือความเป็นกลาง ความว่าง ไม่เข้าข้างตัวเองเข้าข้างคนอื่น อยู่คนเดียวก็มีความสุข ก็พยายามเอานะ ขยันหมั่นเพียรกันเอา
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง