หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 080

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 080
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 080
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงทำความสงบ เจริญสติสร้างความรู้ตัว สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเอง ให้ต่อเนื่องกันสักพัก สักระยะหนึ่ง ตามความเป็นจริงแล้วเราต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์ตัวเรา แก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งเรานอนหลับ ในชีวิตประจำวันของเรา

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้รู้กายของเรา เราได้รู้จิตของเราแล้วหรือยัง อะไรยังขาดตกบกพร่องอยู่เราก็รีบแก้ไข ทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง ไม่ว่าทางส่วนรูปธรรม ไม่ว่าทางด้านนามธรรม เราต้องพยายามทำความเข้าใจให้รู้ให้เห็น ตามทำความเข้าใจ ไม่ให้จิตของเราเป็นทาสของอารมณ์ ไม่ให้จิตของเราเป็นทาสของกิเลส ไม่ให้จิตของเราหลงเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ

ตามความเป็นจริงแล้วไม่มีอะไร เกิดมาก็ไม่มีอะไร เพราะความหลงถึงได้ทำให้จิตของเราได้เกิด เกิดมาอยู่ในภพของมนุษย์ แล้วก็มายึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ในส่วนลึกๆ ก็มายึดมั่นถือมั่นในกายของตัวเราเอง แล้วก็เป็นทาสของความทะเยอทะยานอยาก ความโลภความโกรธ เพราะความไม่รู้อวิชชาเข้ามาครอบงำเท่านั้นเอง

แต่เราก็อยู่กับสมมติ เราก็ต้องทำความเข้าใจกับสมมติ ทำสมมติให้เกิดประโยชน์ ไม่ให้ยึดติดในสมมตินะ รู้จักแก้ไขรู้จักใช้ปัญญา มีมากก็ไม่ทุกข์ มีน้อยก็ไม่ทุกข์ ไม่มีก็ไม่ทุกข์ ถ้ารู้จักปล่อยรู้จักวาง แต่ทางด้านสมมตินั้น เราก็ต้องดูแลรักษาอยู่ เพราะว่ากายของเราก็ยังอาศัยสมมติอยู่ กายของเรายังอาศัยปัจจัยสี่ อาศัยโลกอยู่

ถ้าเราไม่ทำสมมติให้ดี สภาพกายของเราก็ลำบาก ส่งผลถึงจิตก็ลำบาก เพราะว่าเขาเกี่ยวเนื่องกันอยู่ สมมติกับวิมุตติก็เกี่ยวเนื่องกันอยู่ นอกจากเราจะเดินปัญญาให้แยบคายจึงจะคลายภายในได้ แยกรูปแยกนามได้ ทำความเข้าใจกับข้างนอก สมมติเราก็สร้างสมมติ ไม่ให้กายสมมติลำบาก ก็ต้องพยายาม ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยวิเคราะห์ค่อยพิจารณาหาเหตุหาผล

ในขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ถ้าหมดลมหายใจเมื่อไหร่เราได้วางสมมติคือร่างกายของเรา ไม่ให้จิตของเราไปเกาะเกี่ยวในสิ่งต่างๆ เกาะเกี่ยวกับโลก โลกธรรมแปด ลาภยศสรรเสริญ สุขทุกข์นินทา เสื่อมลาภเสื่อมยศ

เราก็ต้องพยายาม ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็ต้องพิจารณาตัวเอง แก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา อะไรคือรูปธรรมอะไรคือนามธรรม จิตฝักใฝ่ศรัทธาน้อมกายเข้ามาในการทำบุญในการให้ทาน อันนี้เป็นการสร้างบารมี สะสมบุญสะสมบารมี ให้มีให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา สูงขึ้นไปก็รู้จักให้อภัยทาน อโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี คิดดีทำดีอยู่ตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราก็ถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ตราบใดที่เรายังแสวงหาอยู่

ทุกคนเกิดมาก็มีบุญอยู่แล้วถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว เราก็พยายามสร้างคุณงามความดีสร้างประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ปัจจุบันให้ดีก็จะส่งผลถึงอนาคต เพราะว่าการเวียนว่ายตายเกิดของดวงจิตแต่ละดวง ถ้ายังดับความเกิดไม่ได้ เขาก็ต้องเกิด

ถ้าจะเกิดก็ขอให้เกิดในฝ่ายกุศล ถ้าเป็นฝ่ายอกุศลเราก็พยายามละเสีย หมั่นสร้างกุศลให้เต็มเปี่ยม หมั่นสร้างบารมีให้เต็มเปี่ยม ถ้าถึงเวลาแล้วก็จะถึงจุดหมายปลายทาง คือความดับความสิ้น ดับสิ้นแห่งการเกิด คลายความหลง ละกิเลส ดับความเกิด ไม่ต้องกลับมาเกิดให้ทนทุกข์ทรมานในวัฏสงสาร ในการเดินทางอีกต่อไป เราก็ต้องพยายามดับความเกิดเสียตั้งแต่ยังมีลมหายใจอยู่นี้

การเกิดของจิตนั่นแหละคือการเกิด เกิดแล้วยังไม่พอนะ เพราะยังหลงอยู่ ยังหลงอยู่ในกองสังขาร ในความคิดในอารมณ์ กองสังขารหรือว่าขันธ์ห้านั่นแหละ ที่เราเคยได้ยินกัน ‘ขันธ์ห้าเป็นของหนักเด้อๆ’ อยู่นั่นแหละ แต่เขาพากันแบกพากันยึด

พระอริยเจ้าผู้รู้ทั้งหลายไม่แบกของหนักนะ รู้ความจริงแล้วก็วาง วางแล้วก็ละกิเลส ไม่เป็นทาสของกิเลส อยู่กับกิเลสแต่ไม่ยึดติด กายของเรานี่แหละเป็นก้อนกิเลสก้อนกรรม ถ้าจิตของเราเป็นบุญกายของเราก็เป็นบุญ ก้อนบุญ กายวาจาใจก็เป็นบุญ ถ้าเรารู้จักสร้างบุญเราก็อยู่กับบุญตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมามองโลกในทางที่ดี จิตดีจิตสบาย จิตก็เป็นบุญ คิดดีใจก็เป็นบุญ วาจาก็เป็นบุญ เราก็อยู่กับบุญ กายของเรานี่แหละเป็นวัด ใจของเรานี่แหละเป็นพระ

ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมะที่ไหนหรอก แสวงหาที่ใจของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่าย สมมติภายนอกก็เอื้ออำนวยในการประพฤติในการปฏิบัติ เราจะฝึกหัดปฏิบัติคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน จุดมุ่งหมายก็เพื่อที่จะคลายกิเลส ละกิเลส คลายความหลงออกจากใจของเราให้ได้

ถ้ายังไม่เข้าใจความหมายก็ปฏิบัติแบบหลงๆ อยู่ ตราบใดที่ยังคลายไม่ได้ก็หลงอยู่ แต่ก็ขอให้หลงอยู่ในกองบุญก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้สร้าง ดีกว่าไม่ได้ทำ สร้างสะสมอานิสงส์บุญทีละเล็กทีละน้อย เดี๋ยวก็เต็มอิ่มเองนั่นแหละ เหมือนกับเราทานข้าว ทานทีละเล็กทีละน้อย ถึงเวลาอิ่มเราก็รู้ว่าอิ่ม

การสร้างสะสมบุญก็เหมือนกัน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี แล้วการเจริญสติการเจริญสมาธิ เราก็ต้องพยายามมี เอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมานั่นแหละ พลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ๆ ทำความเข้าใจกับกายของเรา ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณของเราทำหน้าที่อย่างไร หลวงพ่อก็พูดเรื่องเก่าของเก่ามาตั้งร่วม 20 กว่าปี ของเก่านี้แหละพยายามทำให้ได้

มีความเชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อมั่นในทางที่ถูก บอกตัวเองให้ได้ใช้ตัวเองให้เป็น แก้ไขตัวเองให้ได้ บุคคลผู้รู้มีสติมีปัญญามองเห็นทางนิดเดียว ทำความเพียรคลายกิเลสออกให้มันหมด สำรอกกิเลสออกให้มันหมด

เรื่องการประพฤติปฏิบัติกายปฏิบัติจิตปฏิบัติธรรมนี่เป็นของละเอียด ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจให้ถูกต้องนี่ก็ยาก แม้ตั้งแต่การอยากจะได้ธรรม อยากจะรู้ธรรม ท่านก็ยังให้ละความอยากนั้นเสีย ให้ดับ ให้ดับให้ละ ให้ดับตัวในตัวธรรม ตัวจิตแสวงตัวธรรมไม่เจอ เราก็ต้องสร้างผู้รู้เข้าไปดับ เข้าไปควบคุมเข้าไปคลาย เป็นของละเอียดอ่อนเราต้องค่อยศึกษาค่อยสังเกตเอา

ครูบาอาจารย์สถานที่ก็เป็นแค่เพียงแผนที่เท่านั้นแหละ หากพวกเราไม่ทำก็เหมือนเดิม จะไปปฏิบัติธรรมที่ไหนก็เหมือนเดิม ถ้าการละกิเลสไม่มี การคลายความหลงไม่มี การเจริญพรหมวิหารไม่มี จะไปอยู่กับพระพุทธองค์ก็ไม่เข้าใจในธรรม ที่พระพุทธองค์ท่านบอกว่า ‘ใครเห็นธรรมคนนั้นเห็นเรา ใครเห็นจิตคนนั้นเห็นธรรม ใครเห็นธรรมคนนั้นเห็นเราตถาคต’ หมายถึงเห็นจิตรู้จิตนั่นแหละ

คลายความหลง ละกิเลส ละความยึดมั่นถือมั่น พระพุทธองค์ก็จะมาอยู่ด้วย พระพุทธเจ้าก็มาอยู่ด้วย พุทธะก็คือผู้รู้ รู้อะไร รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในกองกิเลส ละกิเลสคลายความหลง ทำจิตให้สะอาดให้บริสุทธิ์ นั่นแหละคือพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ก็อยู่ที่ใจของเรานั่นแหละ ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน

เราไม่เข้าใจเราถึงแสวงหาสถานที่ แสวงหาครูบาอาจารย์ เราเข้าใจแล้วครูบาอาจารย์อยู่กับเราตลอดเวลา กาย สถานที่ของกายของเรานี่แหละ เป็นสนามรบกับกิเลส ตามความเป็นจริงนั้นจิตไม่มีกิเลส เขามาหลงเขาถึงเป็นทาสของกิเลส เรามาละกิเลสออกเสีย มาคลายความหลงเสีย ส่วนมากจะคลายไม่ได้กัน แม้แต่ข้างนอกภายนอกก็ไปยึด ยึดมั่นถือมันว่าเป็นของเรา เป็นนั่นเป็นนี่ เอานั่นเอานี่มายึดมาทับถมดวงจิตมาหลายภพหลายกัปหลายกัลป์ มาชาตินี้ก็มายึดเอาอีก มาหนักเข้าไปอีก ตามความเป็นจริงแล้ว ทุกคนก็อยากปล่อยอยากวาง แต่ไม่รู้จักจุดปล่อยจุดวาง ก็เลยวางไม่ได้ ทำใจไม่ได้

ถ้าเรารู้จักทำใจเสีย อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด รู้จักแก้รู้จักดับ รู้จักสำรวจตัวเอง พอละได้ก็ละ พอวางได้ก็วาง ใจก็จะว่างโล่งโปร่งมากขึ้น จากน้อยๆ ไปหามากๆ จนเรามองเห็นตามความเป็นจริงได้เมื่อไหร่นั่นแหละ ใจของเราก็ไม่เอาหรอก การเกิดเป็นทุกข์ การเป็นทาสของกิเลสเป็นทุกข์ เขาก็ไม่เอา

เขาจะละเขาจะวางหมด อยู่กับสมมติใช้สมมติให้เกิดประโยชน์ จนกว่าจะหมดลมหายใจ เราถึงจะได้วางสมมติจริงๆ เพราะว่ากายของเราเป็นก้อนสมมติ สมมติภายนอกก็สิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว เราก็ยุ่งเกี่ยวด้วยสติด้วยปัญญากัน ก็ต้องพยายามนะ

คนที่จะถึงจุดหมายปลายทางได้ก็ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียร ขยันหมั่นเพียรให้ถูกทาง ขยันมั่นเพียรในการสำรวจ ในการทำความเข้าใจ ในการละกิเลส ขยันหมั่นเพียรในภาระหน้าที่การงานทั้งภายนอก ทั้งงานภายนอกงานภายใน

ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข ไม่ได้มีความทุกข์ ผิดพลาดแก้ไขใหม่ พลั้งเผลอแก้ไขใหม่ปรับปรุงตัวเอง ปรับปรุงภายนอกภายในอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องพยายามกัน

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง