หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 079
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 079
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราให้ต่อเนื่องกัน วางภาระ พวกเราก็วางภาระหน้าที่การงานต่างๆ เอาไว้ แล้วก็มาหยุดคิด มาดับความคิด ด้วยการสร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา นั่งตามอิริยาบถให้สบายไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบายที่สุด
ฟังไปด้วยน้อมสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องลองดูสิ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ 2-3 เที่ยว กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ความคิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากจิตเกิดจากขันธ์ห้าก็จะหยุด ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเราก็จะเด่นชัด นั่นแหละให้เราพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่อง
ถ้าความรู้สึกรับรู้พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความรู้สึกตัวนี่แหละเขาเรียกว่า ‘สติ’ รู้ทุกขณะลมหายใจเข้าหายใจออก เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ พยายามรู้ให้ต่อเนื่อง จาก 1 ครั้ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง ขึ้นไปเรื่อยๆ จนเป็นชั่วโมงจนเป็นวัน จนเป็นเดือนจนเป็นปี จนรับรู้โดยอัตโนมัติ
ความรู้สึกตัวไม่ต่อเนื่องเราก็ต้องสร้างขึ้นมา แล้วก็รู้จักสร้างให้ต่อเนื่องเพื่อที่จะให้รู้เท่าทันจิต รู้ลักษณะของจิต จิตที่สงบปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร จิตที่ไม่มีความโลภความโกรธ จิตที่ไม่มีความทะเยอทะยานอยาก จิตที่ไม่หลงขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ลักษณะอาการของขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างไร อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม ทำไมขันธ์ทั้งห้าถึงเป็นของหนัก
เราต้องพยายามสร้างตัวรู้ หรือว่าสร้างผู้รู้ หรือว่าสร้างความรู้ตัว ส่วนการเกิดการดับของจิตของขันธ์ห้านั้นเขามีอยู่มาอยู่ตลอด เราพยายามหมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกตตัวเรา ถ้าเราไม่วิเคราะห์ตัวเราก็ไม่รู้ว่าใครจะวิเคราะห์ให้ ขอให้เราน้อมกายน้อมใจของเราเข้ามาด้วยแรงบุญแรงศรัทธา มีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แล้วก็พยายามเดิน สร้าง ทำให้มีให้เกิดขึ้นในกายในจิต ให้รู้ด้วยเห็นด้วย
พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องทุกข์ สอนเรื่องดับทุกข์ อะไรคือทุกข์ การดับทุกข์เป็นอย่างไร หนทางเดินที่จะเข้าไปให้รู้ให้เห็นเป็นลักษณะอย่างไร แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ทรงชี้แนะแนวทางเอาไว้ให้ พวกเราจะเดินกันหรือไม่เท่านั้นเอง การเจริญพรหมวิหาร การเสียสละกิเลส การชำระจิตของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์
การเจริญรักษาศีล การเจริญสมาธิ การเจริญปัญญา ศีลสมาธิปัญญาเป็นลักษณะอย่างไร เราอย่ารู้ตั้งแต่ชื่อ คำว่าศีลความปกติ ปกติอยู่ในระดับไหน อยู่ในระดับกายปกติ วาจาปกติ ลึกลงไปอยู่ในระดับจิตปกติ ความปกตินั่นแหละคือศีล ความปกตินั่นแหละคือสมาธิ ความสงบนั่นแหละคือสมาธิ การสังเกตจนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากความคิด หรือว่าแยกรูปแยกนามนั่นแหละ คือสัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริง หนทางก็จะเปิด
เราก็จะเห็นสภาวธรรม เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ซึ่งเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป จิตของเราเข้าไปรวมจนเป็นสิ่งเดียวกัน เราก็เลยรู้ว่าเราคิด เราก็เลยรู้ว่าเราทำ ทำอย่างไรเราถึงจะคลายออกจากตรงนี้ เราต้องหมั่นสังเกตวิเคราะห์ตัวของเราเองอยู่ตลอดเวลา
เพียงแค่การเจริญสติพวกเราก็ยังทำกันไม่ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจิตของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่ครั้งสักกี่เที่ยว เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เราก็ไม่เคยสนใจเราก็ไม่เคยดับ ปล่อยเลยตามเลย ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอ ส่วนมากจะไม่ได้สร้าง จะเอาอะไรมาพลั้งเผลอล่ะ ก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมา แล้วก็ต้องรู้จักสร้างให้ต่อเนื่อง พลั้งเผลอเราก็เริ่มต้นใหม่ๆ หมั่นเคี่ยวเข็ญตัวเอง หมั่นปรับปรุงตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา
ขณะนี้เรามีหน้าที่อย่างไร เราต้องพยายามทำหน้าที่ของเราให้ดี เราจะไปให้ถึงจุดหมายปลายทางได้เลยทีเดียวเลยก็ยาก ต้องขยันหมั่นเพียรสร้างบารมี อาศัยกาลอาศัยเวลา อาศัยความเพียร อาศัยความอดทนอดกลั้นอยู่ตลอดเวลา ทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้งอย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งเสียดายเวลา ทุกเวลาทุกลมหายใจเข้าออกมีคุณค่ามากมายมหาศาล
แต่ละวันเราได้ทำเราได้สร้างคุณงามความดี เราได้ทำบุญให้กับตัวเราแล้วหรือยัง เราได้ทำบุญให้กับคนอื่น ให้กับพ่อให้กับแม่ ให้กับพี่กับน้อง กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายแล้วหรือยัง ตื่นขึ้นมาเรามีความเกียจคร้านเราก็พยายามละความเกียจคร้าน เราไม่มีความรับผิดชอบเราก็พยายามสร้างความรับผิดชอบ เรามีความแข็งกระด้างเราก็พยายามละความแข็งกระด้าง มีความอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักฝักใฝ่สนใจทั้งภาระหน้าที่การงาน ทั้งสนใจในการสังเกตในการวิเคราะห์จิต ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม
อะไรคือรูปธรรม อะไรคือนามธรรม กายของเราทำหน้าที่อย่างไร หูตาจมูกลิ้นกายซึ่งเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง เขาทำหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว ซึ่งเป็นทางผ่านส่งเข้าไปถึงดวงวิญญาณซึ่งอยู่ในกายของเรานี่แหละ ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมซึ่งมาอาศัยกายอยู่ เวลาตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง จิตของเราหรือว่าวิญญาณของเรานี้มีความรู้สึกรับรู้อย่างไร เราพยายามหัดสังเกตอยู่เราก็จะเห็น สักวันหนึ่ง ถ้าถึงวาระถึงเวลา ถ้าอานิสงส์ของเรามีเพียงพอ
อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง เราพยายามสร้างอานิสงส์ไปเรื่อยๆ วันละเล็กวันละน้อย จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง เราจะไปรีบเร่งก็ไม่ได้หรอกของอย่างนี้ เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราปลูกวันนี้เราจะเร่งให้เขาออกดอกออกผลให้สุกวันนี้ก็ไม่ได้ เราต้องหมั่นดูแลหมั่นให้น้ำให้ปุ๋ยหมั่นรักษาเขา ถึงวาระเวลาเขาก็ออกดอกออกผลให้เรา เราไม่อยากจะได้เราก็ต้องได้ การปฎิบัติจิตก็เหมือนกัน
เราพยายามสร้างตบะสร้างบารมีของเรา เรามีความเสียสละมีความอดทนอดกลั้น มีสัจจะกับตัวเราเอง มองโลกในทางที่ดี คิดดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม ถ้าถึงวาระเวลาแล้วกำลังสติกำลังปัญญาของเรามีความเต็มเปี่ยม เราก็จะเข้าใจในชีวิตของเรา ก็ต้องพยายามทำกัน ไม่ว่าลูกเด็กเล็กแดงผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่ว่าพระว่าชีก็ต้องขยันหมั่นเพียรกันนะ
พยายามสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งลองดูสิ นั่งอยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อกันเอา
ฟังไปด้วยน้อมสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องลองดูสิ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ 2-3 เที่ยว กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ความคิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากจิตเกิดจากขันธ์ห้าก็จะหยุด ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเราก็จะเด่นชัด นั่นแหละให้เราพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่อง
ถ้าความรู้สึกรับรู้พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความรู้สึกตัวนี่แหละเขาเรียกว่า ‘สติ’ รู้ทุกขณะลมหายใจเข้าหายใจออก เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ พยายามรู้ให้ต่อเนื่อง จาก 1 ครั้ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง ขึ้นไปเรื่อยๆ จนเป็นชั่วโมงจนเป็นวัน จนเป็นเดือนจนเป็นปี จนรับรู้โดยอัตโนมัติ
ความรู้สึกตัวไม่ต่อเนื่องเราก็ต้องสร้างขึ้นมา แล้วก็รู้จักสร้างให้ต่อเนื่องเพื่อที่จะให้รู้เท่าทันจิต รู้ลักษณะของจิต จิตที่สงบปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร จิตที่ไม่มีความโลภความโกรธ จิตที่ไม่มีความทะเยอทะยานอยาก จิตที่ไม่หลงขันธ์ห้าเป็นอย่างไร ลักษณะอาการของขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างไร อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม ทำไมขันธ์ทั้งห้าถึงเป็นของหนัก
เราต้องพยายามสร้างตัวรู้ หรือว่าสร้างผู้รู้ หรือว่าสร้างความรู้ตัว ส่วนการเกิดการดับของจิตของขันธ์ห้านั้นเขามีอยู่มาอยู่ตลอด เราพยายามหมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกตตัวเรา ถ้าเราไม่วิเคราะห์ตัวเราก็ไม่รู้ว่าใครจะวิเคราะห์ให้ ขอให้เราน้อมกายน้อมใจของเราเข้ามาด้วยแรงบุญแรงศรัทธา มีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แล้วก็พยายามเดิน สร้าง ทำให้มีให้เกิดขึ้นในกายในจิต ให้รู้ด้วยเห็นด้วย
พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องทุกข์ สอนเรื่องดับทุกข์ อะไรคือทุกข์ การดับทุกข์เป็นอย่างไร หนทางเดินที่จะเข้าไปให้รู้ให้เห็นเป็นลักษณะอย่างไร แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ทรงชี้แนะแนวทางเอาไว้ให้ พวกเราจะเดินกันหรือไม่เท่านั้นเอง การเจริญพรหมวิหาร การเสียสละกิเลส การชำระจิตของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์
การเจริญรักษาศีล การเจริญสมาธิ การเจริญปัญญา ศีลสมาธิปัญญาเป็นลักษณะอย่างไร เราอย่ารู้ตั้งแต่ชื่อ คำว่าศีลความปกติ ปกติอยู่ในระดับไหน อยู่ในระดับกายปกติ วาจาปกติ ลึกลงไปอยู่ในระดับจิตปกติ ความปกตินั่นแหละคือศีล ความปกตินั่นแหละคือสมาธิ ความสงบนั่นแหละคือสมาธิ การสังเกตจนกว่าจิตของเราจะคลายออกจากความคิด หรือว่าแยกรูปแยกนามนั่นแหละ คือสัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริง หนทางก็จะเปิด
เราก็จะเห็นสภาวธรรม เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ซึ่งเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป จิตของเราเข้าไปรวมจนเป็นสิ่งเดียวกัน เราก็เลยรู้ว่าเราคิด เราก็เลยรู้ว่าเราทำ ทำอย่างไรเราถึงจะคลายออกจากตรงนี้ เราต้องหมั่นสังเกตวิเคราะห์ตัวของเราเองอยู่ตลอดเวลา
เพียงแค่การเจริญสติพวกเราก็ยังทำกันไม่ต่อเนื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจิตของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่ครั้งสักกี่เที่ยว เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เราก็ไม่เคยสนใจเราก็ไม่เคยดับ ปล่อยเลยตามเลย ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอ ส่วนมากจะไม่ได้สร้าง จะเอาอะไรมาพลั้งเผลอล่ะ ก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมา แล้วก็ต้องรู้จักสร้างให้ต่อเนื่อง พลั้งเผลอเราก็เริ่มต้นใหม่ๆ หมั่นเคี่ยวเข็ญตัวเอง หมั่นปรับปรุงตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา
ขณะนี้เรามีหน้าที่อย่างไร เราต้องพยายามทำหน้าที่ของเราให้ดี เราจะไปให้ถึงจุดหมายปลายทางได้เลยทีเดียวเลยก็ยาก ต้องขยันหมั่นเพียรสร้างบารมี อาศัยกาลอาศัยเวลา อาศัยความเพียร อาศัยความอดทนอดกลั้นอยู่ตลอดเวลา ทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้งอย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งเสียดายเวลา ทุกเวลาทุกลมหายใจเข้าออกมีคุณค่ามากมายมหาศาล
แต่ละวันเราได้ทำเราได้สร้างคุณงามความดี เราได้ทำบุญให้กับตัวเราแล้วหรือยัง เราได้ทำบุญให้กับคนอื่น ให้กับพ่อให้กับแม่ ให้กับพี่กับน้อง กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายแล้วหรือยัง ตื่นขึ้นมาเรามีความเกียจคร้านเราก็พยายามละความเกียจคร้าน เราไม่มีความรับผิดชอบเราก็พยายามสร้างความรับผิดชอบ เรามีความแข็งกระด้างเราก็พยายามละความแข็งกระด้าง มีความอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักฝักใฝ่สนใจทั้งภาระหน้าที่การงาน ทั้งสนใจในการสังเกตในการวิเคราะห์จิต ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม
อะไรคือรูปธรรม อะไรคือนามธรรม กายของเราทำหน้าที่อย่างไร หูตาจมูกลิ้นกายซึ่งเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง เขาทำหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว ซึ่งเป็นทางผ่านส่งเข้าไปถึงดวงวิญญาณซึ่งอยู่ในกายของเรานี่แหละ ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมซึ่งมาอาศัยกายอยู่ เวลาตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง จิตของเราหรือว่าวิญญาณของเรานี้มีความรู้สึกรับรู้อย่างไร เราพยายามหัดสังเกตอยู่เราก็จะเห็น สักวันหนึ่ง ถ้าถึงวาระถึงเวลา ถ้าอานิสงส์ของเรามีเพียงพอ
อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง เราพยายามสร้างอานิสงส์ไปเรื่อยๆ วันละเล็กวันละน้อย จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง เราจะไปรีบเร่งก็ไม่ได้หรอกของอย่างนี้ เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้ เราปลูกวันนี้เราจะเร่งให้เขาออกดอกออกผลให้สุกวันนี้ก็ไม่ได้ เราต้องหมั่นดูแลหมั่นให้น้ำให้ปุ๋ยหมั่นรักษาเขา ถึงวาระเวลาเขาก็ออกดอกออกผลให้เรา เราไม่อยากจะได้เราก็ต้องได้ การปฎิบัติจิตก็เหมือนกัน
เราพยายามสร้างตบะสร้างบารมีของเรา เรามีความเสียสละมีความอดทนอดกลั้น มีสัจจะกับตัวเราเอง มองโลกในทางที่ดี คิดดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม ถ้าถึงวาระเวลาแล้วกำลังสติกำลังปัญญาของเรามีความเต็มเปี่ยม เราก็จะเข้าใจในชีวิตของเรา ก็ต้องพยายามทำกัน ไม่ว่าลูกเด็กเล็กแดงผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่ว่าพระว่าชีก็ต้องขยันหมั่นเพียรกันนะ
พยายามสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งลองดูสิ นั่งอยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อกันเอา