หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 078

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 078
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 078
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีๆ การเจริญสติทุกอิริยาบถตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความรู้ตัว สร้างความรู้สึกตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมา รู้ความปกติของจิตรู้ความปกติของกาย รู้ลักษณะอาการของความคิดของอารมณ์ ว่าเขาเกิดอย่างไร จิตของเราเข้าไปร่วมได้อย่างไร พยายามเน้นให้ได้ทุกอิริยาบถ ไม่ใช่ว่าจะไปหลงงมงายเอาแค่รูปแบบแค่พิธีรีตอง เราเคารพด้วยใจๆ ระลึกนึกถึงด้วยใจ ด้วยสติด้วยปัญญา ไปเห็นบางครั้งบางทีก็พากันหลงงมงายมากมาย บางทีบางคนนี่ไปฝึกหัดปฏิบัติทำอะไรไม่เป็นเลยก็มี ใส่ชุดขาวนุ่งขาวห่มขาวแล้วก็ไปวัด แล้วก็ไปนอนคุยกันสารพัดเรื่อง แทนที่จะไปเจริญสติไม่มี เจริญสติเข้าไปดับ เข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์สำรวจตัวเรา มันถึงจะถูก เพียงแค่คิดว่าไปวัดแล้วก็ได้ปฏิบัติธรรม อย่างนั้นไม่ใช่

ตามความเป็นจริงเราต้องสำรวจตัวเราแก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน การฝึกหัดปฏิบัติเราต้องรู้ความหมายของการเจริญสติ รู้ลักษณะของสติให้ชัดเจน สร้างสติขึ้นมาให้ชัดเจน สร้างความรู้ตัวขึ้นมาให้ชัดเจน

ส่วนจิตนั้นเขาก็เกิดๆ ดับๆ ความคิดอาการของขันธ์ห้าเขาก็เกิดๆ ดับๆ เขามีอยู่แล้ว เรารู้ไม่ทันต้นเหตุเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม จิตของเราจะเป็นกุศลหรือว่าอกุศล จิตของเราเกิดความกังวลหรือว่าเกิดความฟุ้งซ่าน ถ้าเรามีสติความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะรู้เท่าทัน จิตของเราเกิดกิเลสเราก็รู้จักดับ ไม่ใช่ว่าไปฝึกหัดปฏิบัติโดยที่ไม่รู้จักอะไรเลย ถึงปฏิบัติจนกระทั่งวันตาย ฝึกจนกระทั่งวันตายก็ไม่เข้าใจ ถ้าไม่รู้หนทางไม่รู้แนวทาง เราต้องแก้ไขทั้งภายนอกแก้ไขทั้งภายใน ให้เรียบร้อยให้บริบูรณ์ถึงจะถึงจุดหมายปลายทางได้

กิเลสเป็นลักษณะหน้าตาอาการอย่างไร เกิดขึ้นเวลาไหนเราต้องดับเวลานั้น เราต้องเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ความหลง มันหลงกันหมดทุกคนนั่นแหละ จะหลงละเอียดหลงหยาบ หลงมากหลงน้อย แม้ตั้งแต่การทำบุญให้ทานก็ยังอยู่ในระดับแห่งความหลงอยู่ แต่เป็นความหลงที่เป็นฝ่ายกุศล ไม่ใช่ว่าความหลงอกุศล แต่ก็ยังดี ยังดีอยู่ในฝ่ายกุศลฝ่ายบุญ

ตามความเป็นจริงแล้วก็ให้สร้างบุญสร้างกุศลนั่นแหละ แต่ไม่ให้หลงไม่ให้ยึด ให้อยู่เหนือบุญ สร้างเพื่อให้เกิดประโยชน์ เพื่อชำระสะสางกิเลส ละอกุศลเจริญกุศล จนกว่าจิตของเราจะหลุดพ้น จิตของเราหลุดพ้นเราก็ยังสร้างกุศลต่อ เพื่อยังประโยชน์ตนประโยชน์ท่านให้สูงสุด ประโยชน์ในโลกนี้

ไม่ใช่ว่าไปปฏิบัติแบบหลงๆ งมๆ งายๆ บางคนเคยเห็นหลับตานั่งสมาธิไม่ถึง 3 นาที ก็ลุกขึ้นไปกรวดน้ำ ‘อิมินา ปุญญะกัมเมนะ’ ลุกเสร็จจน หยาดน้ำเสร็จแล้วก็ไปนั่งสมาธิต่อ นั่งสมาธิต่อไม่ถึง 2-3 นาทีก็ไปหยาดน้ำ ‘อิมินา ปุญญะกัมเมนะ’ อยู่อย่างนั้นน่ะ เป็นวันเป็นชั่วโมง ชั่วโมงหนึ่งได้สัก 30-40 เที่ยว จะเป็นบุญได้อย่างไร

ใจของเราน้อมเข้ามา มีความปีติมีความสุข มีความสงบมีความเยือกเย็น เราเน้นการเดินจงกรมหรือว่าการนั่งสมาธิ ถ้าเราเข้าใจ สติของเราต้องให้รู้ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่ายเราต้องรู้ให้ต่อเนื่องๆ

ความหมายของการเจริญสติก็เพื่อที่เข้าไปรู้จิต รู้ฐานของจิต รู้การก่อตัวของจิต รู้การก่อตัวของความคิด แล้วก็ละกิเลส เจริญพรหมวิหารให้มันต่อเนื่องถึงจะถูกต้อง ละความเกียจคร้านเพิ่มความขยันหมั่นเพียร ทำความเข้าใจกับสมมติ เคารพสมมติ ไม่ยึดติดในสมมตินั้น

อะไรคือสมมติบัญญัติ อะไรคือวิมุตติ ลักษณะของธรรม สภาวธรรม ภาษาธรรมภาษาโลก สักแต่ว่าดูสักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าฟังเป็นลักษณะอย่างไร ถ้าเราหมั่นสำรวจตรวจตราดูตัวเราตลอดเวลา ถ้าเห็นจิต เห็นการเกิดการดับของความคิด จะมีความสุขในการทำความเข้าใจ ในการดูในการรู้ทุกอิริยาบถ

ความรู้ตัวสติของเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องก็ยังทำกันไม่ต่อเนื่องอยู่ ทั้งที่จิตก็ฝักใฝ่ในบุญอยู่นั่นแหละ ปัญญาของทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม เป็นปัญญาอัจฉริยะ เป็นอัจฉริยะในทางโลกีย์ ในทางโลก แต่อัจริยะในทางธรรมเราต้องสร้างขึ้นมา

สำรวจรู้จากน้อยๆ เห็นจากน้อยๆ เห็นจากการเริ่มเกิดเริ่มก่อตัว เห็นจากการคลายความหลง การแยกรูปแยกนาม ทำความเข้าใจกับศีล ความปกติของกายของวาจาของใจ ทำความปกติกับสมาธิ สมาธินั่นแหละความปกติ ปัญญาคือการแยกรูปแยกนาม ปัญญาเราสร้างขึ้นมา แต่เรายังแยกรูปแยกนามไม่ได้ เราก็ต้องพยายามหัดสังเกตหัดวิเคราะห์เอา ไม่เหลือวิสัยหรอก ก็ต้องพยายามเอา ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็เหมือนกันนั่นแหละ อย่าพากันเกียจคร้าน ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ หรือว่าสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเรา สร้างความรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา นี่แหละเขาเรียกว่า ‘เจริญสติ’ รู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ทุกขณะลมหายใจเข้าออก

เวลาลมหายใจเข้ากระทบปลายจมูกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ เวลาลมหายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ ลมหายใจยาวก็มีความรู้สึกรับรู้ว่ายาว ออกยาวก็มีความรู้สึกรับรู้ว่ายาว ถ้ามีความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มต้นขึ้นมาใหม่ ถ้าพลั้งเผลอเราเริ่มใหม่อยู่บ่อยๆ ให้เกิดความเคยชินให้เกิดความชำนาญ ไม่ต้องพนมมือ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย

สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เพียงแค่เรื่องลมหายใจเข้าออก พวกเรายังศึกษากันไม่ละเอียด ก็เลยรู้ไม่ทัน ก็เลยรู้ความรู้สึกรับรู้ไม่ทัน เพราะว่าหายใจเราไม่มีความรู้สึกรับรู้ มันก็หายใจอยู่อย่างนั้นแหละตั้งแต่เกิด

เรามาสร้างความรู้สึกรับรู้ให้ชัดเจน เขาเรียกว่า ‘รู้กาย’ มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่กายของเราให้ต่อเนื่องอยู่ปัจจุบันทุกขณะลมหายใจเข้าออก ถ้าเราทำได้เราก็จะรู้จิต รู้ลักษณะของจิต รู้ลักษณะอาการของความคิด อะไรเป็นกุศลอะไรเป็นอกุศล อะไรควรเจริญอะไรควรละ การเกิดของจิต การก่อตัวของจิต การก่อตัวของความคิด สำรวมกายอินทรีย์ของเรา ก่อนที่จะพูดก่อนที่จะคิดก่อนที่จะลงมือทำ เราต้องจำแนกแจกแจงให้ละเอียดทุกอย่าง

ให้รู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วย ถึงจะเป็นปัญญาที่แท้จริง เพียงแค่ปัญญาฝ่ายดับ หรือว่าเจริญสติเข้าไปควบคุมจิต ควบคุมอารมณ์ให้มันสั้นลง เราก็ยังทำกันไม่ค่อยจะได้ สติก็ยังไม่ได้สร้างให้ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาความรู้ตัวต่อเนื่องกันถึง 5 นาทียัง 10 นาทีหรือยัง เปล่าเลยไม่ได้สร้าง

เรารู้อยู่ รู้จิตเวลาเขาเกิดอยู่แค่นั้น ต้องรู้ให้ลึกๆ แล้วก็เจริญพรหมวิหารให้มากๆ มองโลกในทางที่ดี คิดดีทำดี มีความเสียสละมีความอนุเคราะห์อยู่ตลอดเวลา ละกิเลสออกจากจิตจากใจของเรา จิตของเรามีความทะเยอทะยานอยาก เราก็รู้จักด้บ อยากอันนู้นอยากอันนี้ อยากในรูปในรสในกลิ่นในเสียง แม้แต่อยากจะรู้ธรรมอยากจะได้ธรรม

การประพฤติปฏิบัติธรรม เราต้องรู้จักธรรม ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม ตัวจิตนั่นแหละคือตัวธรรม เราต้องเจริญความรู้ตัว หรือว่าเจริญสติเข้าไปดูเข้าไปรู้ ใจของเรามันยังเป็นโลกอยู่ ยังวิ่งอยู่ยังหลงอยู่ เราต้องเข้าไปควบคุมเข้าไปดับ เข้าไปแยกเข้าไปคลาย ตามทำความเข้าใจ หาเหตุหาผลให้จิตของเรายอมรับความเป็นจริงได้ ให้รู้เห็นรับรู้ตามสภาพความเป็นจริงได้ เขาถึงจะปล่อยจะวางได้ ถึงเขาปล่อยเขาวางแล้ว เราก็มาละกิเลสออกจากจิตจากใจของเราอีก

จิตปล่อยวาง ละวางขันธ์ห้า กว่าจะละวางขันธ์ห้า คลายความหลงหรือว่าละโมหะได้ มันก็ยากแสนยาก กว่าจะละกิเลสหยาบๆ ไปหาละเอียดได้อีก มันก็ยากแสนยาก ถ้าเราไม่มีความเพียรที่ต่อเนื่อง ไม่มีการสร้างสะสมบุญบารมีให้เต็มเปี่ยมมันก็ยากอยู่ เราก็ต้องพยายาม ถึงจะยากถึงขนาดไหนเราก็ต้องพยายาม หมั่นน้อมกายน้อมใจของเราเข้ามา หมั่นสำรวจตรวจตา หมั่นละอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ขยันหมั่นเพียรในการทำความเข้าใจกับสมมติ สักวันหนึ่งเราคงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางได้เอง ก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าชี ขยันหมั่นเพียร ให้ทำความเข้าใจให้ชัดเจน

สร้างความระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องกัน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ทำกายให้โล่ง สมองให้โปร่ง จิตให้ว่าง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกันนะ

ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อกันเอานะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง