หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 076
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 076
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เมื่อคืนนี้ก็มีญาติโยมจากกรุงเทพฯหลายคนหลายท่าน ประมาณ 50-60 กว่าท่าน ได้มาแวะมาพัก มาเปลี่ยนอิริยาบถ พากันมาพักที่วัดของเรา ว่าเป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนาสาธุ เป็นอย่างไร พากันนอนหลับดีมั้ย พากันนอนหลับสบายดีมั้ย ถ้ายังไม่อยากจะกลับก็ต่อวีซ่าอีก 2-3 คืนก็ได้นะ มีโอกาสมาเถอะ มาพักผ่อน มาพักผ่อนกาย มาพักผ่อนใจ เปลี่ยนบรรยากาศ มาที่นี่ก็เหมือนกับมาบ้านของเรา หาโอกาสมา มาทำความเข้าใจมาสำรวจเรา ยากที่จะได้มา หลายคนหลายท่านหลายสถานที่ร่วมกันมา บางทีสถานที่ของเราอาจจะคับแคบไปหน่อยก็ขออภัยด้วย
ฝนฟ้าไม่ตกก็ไม่เป็นไร อยู่ที่โล่งโปร่งๆ ศาลาริมน้ำก็พอได้พักอาศัยอยู่ ที่ว่างที่โล่งที่โปร่ง มีโอกาส ได้มีโอกาสได้น้อมกายน้อมใจของตัวเราเข้ามา มาสร้างบุญสร้างอานิสงส์กัน ถ้าใจไม่เป็นบุญก็คงจะไม่ได้มาถึงที่นี่ จิตใจเป็นบุญ น้อมกายเข้ามาทำบุญ ในการทำบุญในการให้ทาน
วางภาระหน้าที่การงานทางบ้านก็วางกันมาแล้ว ทีนี้เราก็มารู้จักวางความยึดมั่นถือมั่น วางความคิดวางอารมณ์ มาทำความเข้าใจกับจิตของตัวเรา ทุกเรื่อง ทุกเรื่องในชีวิตของเรา เราต้องทำความเข้าใจ จะปล่อยปละละเลยไม่ได้เลย
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราต้องรู้จักสำรวจ สำรวจตัวเราเองว่าจิตของเราเป็นอย่างไร จิตของเราสงบปกติ จิตของเรากังวล จิตของเราฟุ้งซ่าน เราก็รู้จักหาวิธีแก้ ภาระหน้าที่การงานอะไรของเราไม่เรียบร้อย เราก็รู้จักทำ รู้จักทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับวิมุตติ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ เราต้องทำความเข้าใจ
อย่าไปคิดว่าตัวเราไม่ได้ปฏิบัติ ทุกคนปฏิบัติธรรมกันมาก่อน ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนก็สร้างอานิสงส์สร้างบุญกันมาก่อน ถ้าไม่มีอานิสงส์ไม่มีบุญพอก็คงจะยากที่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ในการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ก็ได้สร้างบุญบารมีกันตั้งแต่เกิดนั่นแหละ ก็ได้ปฏิบัติธรรมกันมาก็ตั้งแต่เกิดนั่นแหละ หายใจก็หายใจตั้งแต่เกิด
สภาพร่างกายรูปธรรมก็มีการเปลี่ยนแปลง จากเด็กเป็นเด็กโต ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านกาลผ่านเวลา บางคนบางท่านก็เรียนจบชั้นสูงๆ ได้ประกอบภาระหน้าที่การงานมีความรับผิดชอบที่สูง มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ ผ่านกาลผ่านเวลา นั่นก็คือหลักของการปฏิบัติธรรมอยู่ในระดับของสมมติ แต่ความไม่เข้าใจก็เลยว่าตัวเราไม่ได้ปฏิบัติ นึกว่าไปอยู่วัดนุ่งขาวห่มขาว ไปเดินจงกรม ไปนั่งสมาธิถึงเป็นการปฏิบัติ อันนั้นก็เป็นแค่เพียงเสี้ยวเดียว
ตามความเป็นจริงแล้ว ทุกคนก็ปฏิบัติกันอยู่ รู้จักหน้าที่ รู้จักรับผิดชอบ มีความเสียสละ มีความอดทนอดกลั้น รู้จักผิดถูกชั่วดีอยู่ในระดับของสมมติ รู้จักหน้าที่ทำความเข้าใจ ขยันหมั่นเพียรสร้างสมมติให้เกิดประโยชน์ แต่ในส่วนที่สูงๆ เท่านั้นเองที่ยังไม่เข้าใจ ก็คือการแยกรูปแยกนาม การเจริญสติ
การสร้างสติเข้าไปแยกรูปแยกนาม อะไรคือรูปธรรม อะไรคือนามธรรม ตรงนี้แหละที่ยังไม่ได้สนใจ ถึงอาจจะรู้แต่ก็รู้อยู่เพียงแค่ผิวเผิน รู้ไม่ต่อเนื่องก็เลยไม่เข้าใจในเรื่องสภาวธรรม ในเรื่องการเกิดการดับของจิต อาการของจิต อาการของความคิด ซึ่งเป็นขันธ์ห้าซึ่งอยู่ในกายของเรา ก็เลยว่าเราไม่ได้ปฏิบัติธรรม ทุกคนก็ปฏิบัติกันมากันทั้งนั้น ทุกคนก็มีบุญมีสติปัญญาทางสมมติเป็นอัจฉริยะกัน
เราอย่าปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา แต่ละวันตื่นขึ้นมา เราได้เจริญสติเข้าไปสำรวจจิตของเราแล้วหรือยัง เอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาโน่น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ ก็สังเกตจิตของเรา รู้ความปกติ จะลุกจากก้าวจะเดิน จะทำโน่นทำนี่ จิตนิ่งรับรู้อยู่ แต่เวลานี้จิตของเรายังหลงอยู่
เราอาจจะว่าเราไม่หลง ในส่วนลึกๆ จิตของเรายังหลงความคิดหลงอารมณ์ บางทีก็เป็นทาสของกิเลสอยู่ ตราบใดที่เรายังคลายจิตออกจากความหลงไม่ได้ หรือว่าแยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็ยังหลงอยู่ อาจจะหลงอยู่ในระดับของสมมติ
เราต้องมาวิเคราะห์ตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง แล้วก็รู้จักเจริญพรหมวิหาร สร้างตบะบารมีให้มีให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ความเสียสละของเราเต็มเปี่ยม ความเสียสละ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเมตตา มองโลกในทางที่ดี มีความวิริยะในการสำรวจ ในการชำระสะสางกิเลส มีความเพียรในการทำหน้าที่ของตัวเราให้ถูกต้องในคุณงามความดีอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเรารู้จักเรา ถ้าเราแก้ไขตัวเราได้ เราไปอยู่ที่ไหนก็มีตั้งแต่ความสุข ไม่เกียจคร้าน อยู่ที่ไหนก็เป็นวัด ทำกายให้เป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ หมั่นเจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ อยู่ที่บ้านอยู่ที่ทำงานอยู่ไร่อยู่นา เราก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธองค์ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ ก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา ถ้าเรามีสติน้อมเข้าไปสำรวจจิตของเรา
แต่เราก็มีอยู่ แต่เป็นสติปัญญาระดับของสมมติเท่านั้นเอง เพราะว่าจิตของเรายังไม่ได้คลายออกจากความยึดมั่นถือมั่น จิตของเรายังไม่ได้หงาย หรือว่ายังไม่ได้แยกรูปแยกนาม อันนี้เป็นของละเอียด นอกจากบุคคลที่มีสติปัญญามีความเพียรที่ต่อเนื่องถึงจะเข้าใจ
ถ้าขาดการเจริญสติที่ต่อเนื่อง ก็ยากที่จะเข้าใจทุกเรื่องในชีวิต ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สติของเราพลั้งเผลอเราก็พยายามสร้างขึ้นมา แม้ตั้งแต่การสร้างความรู้สึกตัว หรือว่าสร้างสติ พวกเราก็ยังไม่ได้สร้างกันเลย อาจจะมีอยู่กระท่อนกระแท่น รู้อยู่เป็นบางครั้ง คิดก็รู้ทำก็รู้ ก็รู้อยู่ในความหลงอยู่ เพราะว่าขาดการคลาย ขาดการแยกรูปแยกนาม ขาดการทำความเข้าใจ
ทุกคนก็เป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกันหมด ทุกคนเกิดมาก็เพื่อที่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง คือความบริสุทธิ์ความหลุดพ้นของจิตของใจของพวกเราเอง มีโอกาสก็ขอเชิญมา ก็เชิญมา ณ สถานที่ตรงนี้
หลวงพ่อก็มีโอกาสก็พาได้สร้างบุญสร้างอานิสงส์กัน หลวงพ่อก็จะได้สร้างโรงทานตลอด เวลาญาติโยมมา มาวัดมากราบมาไหว้ก็จะได้อิ่มหนำสำราญกัน ไม่ให้อดไม่หิวไม่ให้อยาก ได้มาไหว้พระบรมสารีริกธาตุ ได้มากราบไหว้พระพุทธรูปหยกซึ่งเป็นองค์แทนพระพุทธองค์
ถ้าอยากจะให้สูงขึ้นไป เราก็ประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของท่าน หมั่นชำระสะสางกิเลสออกจากจิตใจของเรา การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การดับการละกิเลสเป็นอย่างนี้ การคลายความหลงการแยกรูปแยกนามเป็นอย่างนี้
การศึกษาการเล่าเรียน การทำความเข้าใจ ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือการสังเกตการวิเคราะห์จริงๆ ตรงนี้จะรู้ไม่ทันอาการของจิตอาการของความคิดเท่าไรจะเอาตั้งแต่ปัญญาเก่าๆ ก็อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ แต่ยังไม่ถูกต้องในระดับของวิมุตติ
ในระดับของวิมุตติ เราก็ต้องพยายามเจริญสติเข้าไปแยกเข้าไปคลาย แล้วก็รู้จักหมั่นชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา อย่าไปท้อ ต้องเป็นคนขยัน ถ้าเกียจคร้านความเกียจคร้านก็เข้าครอบงำ ต้องเป็นคนขยันเป็นคนมีความรับผิดชอบที่สูง รับผิดชอบกับตัวเราเอง รับผิดชอบต่อส่วนรวม รับผิดชอบต่อสังคม
ถ้าเราเข้าใจแล้ว ก็มีตั้งแต่ความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ถ้าคนเรารู้จักมีความเสียสละ มีความรับผิดชอบ ไม่เห็นแก่ตัว มีตั้งแต่ความเสียสละ ไปอยู่ที่ไหนก็มีตั้งแต่ความสุข มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม สูงขึ้นไปก็มีการชำระสะสางกิเลส สำรวมอินทรีย์ ทำความเข้าใจกับทวาร กับกายของเรา กับทวารทั้งหกของเรา ทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับวิมุตติ เราก็จะได้อยู่กับธรรมะ กายของเรานี่แหละก้อนธรรม จิตของเรานี่แหละองค์ธรรม แต่เวลานี้จิตของเราก็ยังเป็นโลกอยู่ กายของเราก็ยังเป็นก้อนทุกข์ก้อนโลกอยู่ เราต้องรู้จักจำแนกแจกแจงอยู่ตลอดเวลา เราก็จะได้ฟังธรรมอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สติก็จะเป็นอาจารย์คอยตรวจสอบจิต
จิตนี่ก็เปรียบเสมือนกับลูกศิษย์ สอบได้สอบตก เป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของกิเลส จิตของเราหลงอะไร เราก็จะได้รู้ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเขาส่งออกไปภายนอกสักกี่ครั้ง สักกี่เรื่อง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เราเคยวิเคราะห์มั้ย แม้ตั้งแต่เรื่องการอยู่การกิน การรับประทานอาหารการขบการฉัน กายของเราหิว หรือว่าจิตของเราเกิดความอยากหรือไม่ เราเคยวิเคราะห์หรือไม่ ลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออก เราเคยมีความรู้สึกรับรู้ที่ต่อเนื่องกันหรือไม่ เราอาจจะมีความรู้สึกรับรู้อยู่แต่เป็นบางครั้ง นี่แหละสติความรู้สึกตัว ถ้าไม่มี เราถึงสร้างให้มี สร้างให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้กายแล้วก็รู้จิต อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา
ทุกคนมีเวลามีโอกาสเท่าเทียมกันหมด จะรู้จักไขว่คว้าเอามาสร้างให้เกิดประโยชน์หรือไม่เท่านั้นเอง ทุกคนก็สร้างบารมีกันมาดี บางคนก็สร้างมาน้อย บางคนก็สร้างมามาก ในเมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว เราก็มีโอกาสได้สร้าง เพียงแค่คิด คิดดีทำดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม ถึงจะเกิดประโยชน์ แล้วรู้จักวิถีรู้จักอุบายในการเจริญสติ แล้วก็พยายามเจริญพรหมวิหารให้มากๆ ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไปเสียเปรียบกิเลสคนโน้นเสียเปรียบกิเลสคนนี้ ถ้าเราชนะตัวเราแล้ว เราก็จะชนะหมดทุกสิ่งทุกอย่าง
ตนจงเป็นที่พึ่งของตน อะไรคือตนที่แท้จริง สติที่เราสร้างขึ้นมานี่ตนหนึ่ง ส่วนจิตของเรานั่นแหละตนหนึ่ง ต้องรู้กายรู้จิตๆ กายของเราก็ยังอาศัยสมมติอยู่ เราก็ต้องทำความเข้าใจ ก็ต้องพยายามกันนะ เป็นโอกาสที่ดีที่ทุกคนได้มา ได้มา ณ สถานที่ตรงนี้ ได้มาพักผ่อน หากายวิเวกหาจิตวิเวก มีโอกาสก็พากันมา ขอเชิญมามาพักผ่อน มาที่นี่ก็เหมือนกับมาบ้านของเรา มีอะไรก็ช่วยกัน ก็เป็นอานิสงส์เป็นผลบุญของทุกคน ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพัก สักระยะหนึ่งเสียก่อน นั่งตามอิริยาบถให้สบายไม่ต้องพนมมือ นั่งให้สบายที่สุด วางกายให้สบายวางใจให้สบาย ดับความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ทุกเรื่องเอาไว้ให้หมด อย่าเพิ่งนึกอย่าเพิ่งคิดอะไรทั้งสิ้น พวกเราก็ได้วางภาระหน้าที่การงาน วางทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ ถึงได้มาถึงที่นี่
แล้วก็ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจนะ อย่าไปบังคับลมหายใจ การสูดลมหายใจก็ไปยาวๆ แล้วก็ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้น จิตของเราก็มีความสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกรับรู้เวลาลมกระทบปลายจมูกนั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สติรู้ตัว’
เวลาลมเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา เวลาลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา เขาเรียกว่า ‘มีความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง’ ลมเข้าก็รู้ ลมออกก็รู้ มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ตรงนี้แหละ คนไม่ค่อยจะสนใจกัน มีตั้งแต่ไปนึกเอาไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ความรู้ตัวก็เลยไม่ได้สร้าง ทั้งที่เป็นปัญญาโลกีย์ที่ปกปิดดวงจิตของเราเอาไว้ เราต้องมาสร้างความรู้ตัว
แม้แต่เรื่องของการหายใจเข้าออก เวลาเราจะตั้งสติระลึกรู้ให้ชัดเจน ก็เกิดความอึดอัดเพราะความไม่เคยชิน บางทีสมองก็ตึง เป็นการเพ่ง เราอย่าไปเพ่ง เพียงแค่มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ถ้าเราเอาจิตไปจดจ่อ หน้าอกก็แน่น เราต้องพยายามหัดสังเกตบ่อยๆ หัดทำความเข้าใจบ่อยๆ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่าย
พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน ก่อนที่จะพูดก็หยุดพูด ก่อนที่จะคิดก็หยุดคิด ไอ้ตัวหยุดตัวยับยั้ง นั่นแหละคือตัวสติแหละ ไอ้ตัวที่จะคิดส่งออกไปเรื่องนู้นเรื่องนี้ นั่นแหละคือตัวจิต บางทีก็ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตโดยที่เราไม่ตั้งใจคิด เขาเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’
จิตกับขันธ์ห้าเข้าไปรวมกันทำให้เกิดอัตตาตัวตน บางทีจิตก็เกิดกิเลส เกิดความทะเยอทะยานอยาก อยากในรูปในรสในกลิ่นในเสียง อยากสารพัดอย่าง เราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม ตัวควบคุมนั่นแหละคือตัวสติ ควบคุมบ่อยๆ
ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด เพราะว่าความเคยชิน ธรรมชาติของจิตเขาชอบคิดชอบเที่ยว ชอบส่งออกไปภายนอก เรื่องโน้นบ้างเรื่องนี้บ้าง สารพัดเรื่องที่เขาจะเกิด พอโดนควบคุมหน่อยก็เลยอึดอัด ก็เลยไม่สนใจในการดูแลในการควบคุม ควบคุมแล้วก็ดูแล แล้วก็สังเกตและวิเคราะห์จนกว่าจิตจะคลายออกจากความหลง หรือว่าแยกรูปแยกนามได้ สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริงถึงจะเปิดทางให้
มองเห็นหนทางทะลุปรุโปร่ง เราก็จะทำความเข้าใจ แล้วก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตา เข้าใจในเรื่องอนัตตา เข้าใจในเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตา ในขันธ์ห้าของตัวเรา เข้าใจในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ตราบใดที่ยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็ยังอยู่ในการสร้างอานิสงส์สร้างบารมี ยังอยู่ในกองบุญอยู่ ยังพากันสร้างบุญสร้างอานิสงส์ อย่าพากันทิ้งในการทำบุญ ทำบุญให้กับตัวเรา ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ กับพี่กับน้อง กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ทำบุญให้กับตัวเรา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราก็สำรวจตัวเรา ตัวเรามีความรับผิดชอบสูงหรือไม่ มีความเสียสละ มีความอดทน มีสัจจะ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน พูดจริงทำจริง มีความขยันหมั่นเพียร รู้จักสำรวจสำรวมกายอินทรีย์ของตัวเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราทำได้อย่างนี้ สักวันหนึ่งเราก็คงจะรู้แนวทางในการดำเนินชีวิตของตัวเรา
ส่วนมากก็จะเอาไปใช้ตั้งแต่ปัญญาของโลกๆ ปัญญาของโลกีย์ อันนี้ไม่ใช่ว่าไม่ดี ก็ดีอยู่ ดีอยู่ในระดับหนึ่ง เราอยากให้สูงขึ้นไปอีก ไม่ให้จิตของเราไปทุกข์ไปกังวลกับสิ่งต่างๆ
เราถึงให้เจริญสติให้ได้ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่าย ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด ใหม่ๆ ก็อาจจะช้า เพราะว่าความเคยชินเก่าๆ ปัญญาเก่าเข้าไปก่อนหมด เราก็ต้องพยายาม หมั่นปรับปรุงตัวเอง แก้ไขตัวเอง ถ้าเราไม่แก้ไขตัวเราเอง ก็ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้เลย นอกจากตัวของเราเอง
การทำบุญการให้ทาน พวกเรามีโอกาสได้สร้างบุญ พวกเรามีโอกาสได้ทำบุญให้ทานร่วมกันได้ ทำมากทำน้อยก็เป็นอานิสงส์ของพวกเรา โอกาสเปิดให้สถานที่เปิดให้ ทำบุญให้กับตัวเรา ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ กับพี่กับน้อง กับเพื่อนร่วมงานด้วยกัน รู้จักให้อภัยทาน มองโลกในทางที่ดี ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดีไป ถ้าจิตของเราดีแล้ว อะไรก็จะดี อะไรผิดพลาดเราก็รีบแก้ไขเสีย ผิดพลาดเราก็รีบแก้ไข แก้ไขไม่ได้ก็อุเบกขา ทำใหม่ ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข
ถ้าคนเรารู้จักความเสียสละ รู้จักความรับผิดชอบ ขยันหมั่นเพียร ละ กำจัด ความเกียจคร้านออกจากจิตจากใจของเรา ทุกคนก็มีบุญ อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่ได้ปฏิบัติ ทุกคนปฏิบัติธรรมกันมาทั้งนั้น จะปฏิบัติมามากมาน้อยก็ขึ้นอยู่กับอานิสงส์การสร้างบารมี ส่วนมากจะไปเอาตั้งแต่ผล การเริ่มต้น การสังเกตการวิเคราะห์ การดับการควบคุม การเริ่มต้นยังไม่ต่อเนื่อง เราก็เลยไปนึกเอาตั้งแต่ผลเสีย มันก็เลยปิดกั้นเอาไว้
แม้ตั้งแต่ความอยาก อยากจะรู้ธรรม อยากจะได้ธรรม อยากจะเห็นธรรม เราก็ต้องละความอยาก เราต้องสร้างสติเข้าไปดับเข้าไปควบคุม อะไรคือความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมา อะไรคือจิต ลักษณะของจิตที่สงบปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร จิตที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น จิตที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร เราต้องรู้ ต้องทำความเข้าใจกัน เราเดินไม่ถึงวันนี้ วันพรุ่งนี้เราก็ต้องเดินถึงตราบใดที่เรายังเดินอยู่ ก็ต้องพยายาม
ตั้งสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกของเราให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน ทำจิตให้ว่าง สมองให้โปร่ง กายให้โล่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูก ให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะนะ
พากันไว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อกันนะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง
ฝนฟ้าไม่ตกก็ไม่เป็นไร อยู่ที่โล่งโปร่งๆ ศาลาริมน้ำก็พอได้พักอาศัยอยู่ ที่ว่างที่โล่งที่โปร่ง มีโอกาส ได้มีโอกาสได้น้อมกายน้อมใจของตัวเราเข้ามา มาสร้างบุญสร้างอานิสงส์กัน ถ้าใจไม่เป็นบุญก็คงจะไม่ได้มาถึงที่นี่ จิตใจเป็นบุญ น้อมกายเข้ามาทำบุญ ในการทำบุญในการให้ทาน
วางภาระหน้าที่การงานทางบ้านก็วางกันมาแล้ว ทีนี้เราก็มารู้จักวางความยึดมั่นถือมั่น วางความคิดวางอารมณ์ มาทำความเข้าใจกับจิตของตัวเรา ทุกเรื่อง ทุกเรื่องในชีวิตของเรา เราต้องทำความเข้าใจ จะปล่อยปละละเลยไม่ได้เลย
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราต้องรู้จักสำรวจ สำรวจตัวเราเองว่าจิตของเราเป็นอย่างไร จิตของเราสงบปกติ จิตของเรากังวล จิตของเราฟุ้งซ่าน เราก็รู้จักหาวิธีแก้ ภาระหน้าที่การงานอะไรของเราไม่เรียบร้อย เราก็รู้จักทำ รู้จักทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับวิมุตติ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ เราต้องทำความเข้าใจ
อย่าไปคิดว่าตัวเราไม่ได้ปฏิบัติ ทุกคนปฏิบัติธรรมกันมาก่อน ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนก็สร้างอานิสงส์สร้างบุญกันมาก่อน ถ้าไม่มีอานิสงส์ไม่มีบุญพอก็คงจะยากที่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ในการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ก็ได้สร้างบุญบารมีกันตั้งแต่เกิดนั่นแหละ ก็ได้ปฏิบัติธรรมกันมาก็ตั้งแต่เกิดนั่นแหละ หายใจก็หายใจตั้งแต่เกิด
สภาพร่างกายรูปธรรมก็มีการเปลี่ยนแปลง จากเด็กเป็นเด็กโต ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านกาลผ่านเวลา บางคนบางท่านก็เรียนจบชั้นสูงๆ ได้ประกอบภาระหน้าที่การงานมีความรับผิดชอบที่สูง มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ ผ่านกาลผ่านเวลา นั่นก็คือหลักของการปฏิบัติธรรมอยู่ในระดับของสมมติ แต่ความไม่เข้าใจก็เลยว่าตัวเราไม่ได้ปฏิบัติ นึกว่าไปอยู่วัดนุ่งขาวห่มขาว ไปเดินจงกรม ไปนั่งสมาธิถึงเป็นการปฏิบัติ อันนั้นก็เป็นแค่เพียงเสี้ยวเดียว
ตามความเป็นจริงแล้ว ทุกคนก็ปฏิบัติกันอยู่ รู้จักหน้าที่ รู้จักรับผิดชอบ มีความเสียสละ มีความอดทนอดกลั้น รู้จักผิดถูกชั่วดีอยู่ในระดับของสมมติ รู้จักหน้าที่ทำความเข้าใจ ขยันหมั่นเพียรสร้างสมมติให้เกิดประโยชน์ แต่ในส่วนที่สูงๆ เท่านั้นเองที่ยังไม่เข้าใจ ก็คือการแยกรูปแยกนาม การเจริญสติ
การสร้างสติเข้าไปแยกรูปแยกนาม อะไรคือรูปธรรม อะไรคือนามธรรม ตรงนี้แหละที่ยังไม่ได้สนใจ ถึงอาจจะรู้แต่ก็รู้อยู่เพียงแค่ผิวเผิน รู้ไม่ต่อเนื่องก็เลยไม่เข้าใจในเรื่องสภาวธรรม ในเรื่องการเกิดการดับของจิต อาการของจิต อาการของความคิด ซึ่งเป็นขันธ์ห้าซึ่งอยู่ในกายของเรา ก็เลยว่าเราไม่ได้ปฏิบัติธรรม ทุกคนก็ปฏิบัติกันมากันทั้งนั้น ทุกคนก็มีบุญมีสติปัญญาทางสมมติเป็นอัจฉริยะกัน
เราอย่าปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา แต่ละวันตื่นขึ้นมา เราได้เจริญสติเข้าไปสำรวจจิตของเราแล้วหรือยัง เอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมาโน่น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ ก็สังเกตจิตของเรา รู้ความปกติ จะลุกจากก้าวจะเดิน จะทำโน่นทำนี่ จิตนิ่งรับรู้อยู่ แต่เวลานี้จิตของเรายังหลงอยู่
เราอาจจะว่าเราไม่หลง ในส่วนลึกๆ จิตของเรายังหลงความคิดหลงอารมณ์ บางทีก็เป็นทาสของกิเลสอยู่ ตราบใดที่เรายังคลายจิตออกจากความหลงไม่ได้ หรือว่าแยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็ยังหลงอยู่ อาจจะหลงอยู่ในระดับของสมมติ
เราต้องมาวิเคราะห์ตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง แล้วก็รู้จักเจริญพรหมวิหาร สร้างตบะบารมีให้มีให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ความเสียสละของเราเต็มเปี่ยม ความเสียสละ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเมตตา มองโลกในทางที่ดี มีความวิริยะในการสำรวจ ในการชำระสะสางกิเลส มีความเพียรในการทำหน้าที่ของตัวเราให้ถูกต้องในคุณงามความดีอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเรารู้จักเรา ถ้าเราแก้ไขตัวเราได้ เราไปอยู่ที่ไหนก็มีตั้งแต่ความสุข ไม่เกียจคร้าน อยู่ที่ไหนก็เป็นวัด ทำกายให้เป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ หมั่นเจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ อยู่ที่บ้านอยู่ที่ทำงานอยู่ไร่อยู่นา เราก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธองค์ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ ก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เรา ถ้าเรามีสติน้อมเข้าไปสำรวจจิตของเรา
แต่เราก็มีอยู่ แต่เป็นสติปัญญาระดับของสมมติเท่านั้นเอง เพราะว่าจิตของเรายังไม่ได้คลายออกจากความยึดมั่นถือมั่น จิตของเรายังไม่ได้หงาย หรือว่ายังไม่ได้แยกรูปแยกนาม อันนี้เป็นของละเอียด นอกจากบุคคลที่มีสติปัญญามีความเพียรที่ต่อเนื่องถึงจะเข้าใจ
ถ้าขาดการเจริญสติที่ต่อเนื่อง ก็ยากที่จะเข้าใจทุกเรื่องในชีวิต ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สติของเราพลั้งเผลอเราก็พยายามสร้างขึ้นมา แม้ตั้งแต่การสร้างความรู้สึกตัว หรือว่าสร้างสติ พวกเราก็ยังไม่ได้สร้างกันเลย อาจจะมีอยู่กระท่อนกระแท่น รู้อยู่เป็นบางครั้ง คิดก็รู้ทำก็รู้ ก็รู้อยู่ในความหลงอยู่ เพราะว่าขาดการคลาย ขาดการแยกรูปแยกนาม ขาดการทำความเข้าใจ
ทุกคนก็เป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกันหมด ทุกคนเกิดมาก็เพื่อที่จะเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง คือความบริสุทธิ์ความหลุดพ้นของจิตของใจของพวกเราเอง มีโอกาสก็ขอเชิญมา ก็เชิญมา ณ สถานที่ตรงนี้
หลวงพ่อก็มีโอกาสก็พาได้สร้างบุญสร้างอานิสงส์กัน หลวงพ่อก็จะได้สร้างโรงทานตลอด เวลาญาติโยมมา มาวัดมากราบมาไหว้ก็จะได้อิ่มหนำสำราญกัน ไม่ให้อดไม่หิวไม่ให้อยาก ได้มาไหว้พระบรมสารีริกธาตุ ได้มากราบไหว้พระพุทธรูปหยกซึ่งเป็นองค์แทนพระพุทธองค์
ถ้าอยากจะให้สูงขึ้นไป เราก็ประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของท่าน หมั่นชำระสะสางกิเลสออกจากจิตใจของเรา การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การดับการละกิเลสเป็นอย่างนี้ การคลายความหลงการแยกรูปแยกนามเป็นอย่างนี้
การศึกษาการเล่าเรียน การทำความเข้าใจ ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แต่การลงมือการสังเกตการวิเคราะห์จริงๆ ตรงนี้จะรู้ไม่ทันอาการของจิตอาการของความคิดเท่าไรจะเอาตั้งแต่ปัญญาเก่าๆ ก็อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ แต่ยังไม่ถูกต้องในระดับของวิมุตติ
ในระดับของวิมุตติ เราก็ต้องพยายามเจริญสติเข้าไปแยกเข้าไปคลาย แล้วก็รู้จักหมั่นชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา อย่าไปท้อ ต้องเป็นคนขยัน ถ้าเกียจคร้านความเกียจคร้านก็เข้าครอบงำ ต้องเป็นคนขยันเป็นคนมีความรับผิดชอบที่สูง รับผิดชอบกับตัวเราเอง รับผิดชอบต่อส่วนรวม รับผิดชอบต่อสังคม
ถ้าเราเข้าใจแล้ว ก็มีตั้งแต่ความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ถ้าคนเรารู้จักมีความเสียสละ มีความรับผิดชอบ ไม่เห็นแก่ตัว มีตั้งแต่ความเสียสละ ไปอยู่ที่ไหนก็มีตั้งแต่ความสุข มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม สูงขึ้นไปก็มีการชำระสะสางกิเลส สำรวมอินทรีย์ ทำความเข้าใจกับทวาร กับกายของเรา กับทวารทั้งหกของเรา ทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับวิมุตติ เราก็จะได้อยู่กับธรรมะ กายของเรานี่แหละก้อนธรรม จิตของเรานี่แหละองค์ธรรม แต่เวลานี้จิตของเราก็ยังเป็นโลกอยู่ กายของเราก็ยังเป็นก้อนทุกข์ก้อนโลกอยู่ เราต้องรู้จักจำแนกแจกแจงอยู่ตลอดเวลา เราก็จะได้ฟังธรรมอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สติก็จะเป็นอาจารย์คอยตรวจสอบจิต
จิตนี่ก็เปรียบเสมือนกับลูกศิษย์ สอบได้สอบตก เป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของกิเลส จิตของเราหลงอะไร เราก็จะได้รู้ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเขาส่งออกไปภายนอกสักกี่ครั้ง สักกี่เรื่อง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เราเคยวิเคราะห์มั้ย แม้ตั้งแต่เรื่องการอยู่การกิน การรับประทานอาหารการขบการฉัน กายของเราหิว หรือว่าจิตของเราเกิดความอยากหรือไม่ เราเคยวิเคราะห์หรือไม่ ลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออก เราเคยมีความรู้สึกรับรู้ที่ต่อเนื่องกันหรือไม่ เราอาจจะมีความรู้สึกรับรู้อยู่แต่เป็นบางครั้ง นี่แหละสติความรู้สึกตัว ถ้าไม่มี เราถึงสร้างให้มี สร้างให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้กายแล้วก็รู้จิต อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา
ทุกคนมีเวลามีโอกาสเท่าเทียมกันหมด จะรู้จักไขว่คว้าเอามาสร้างให้เกิดประโยชน์หรือไม่เท่านั้นเอง ทุกคนก็สร้างบารมีกันมาดี บางคนก็สร้างมาน้อย บางคนก็สร้างมามาก ในเมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว เราก็มีโอกาสได้สร้าง เพียงแค่คิด คิดดีทำดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม ถึงจะเกิดประโยชน์ แล้วรู้จักวิถีรู้จักอุบายในการเจริญสติ แล้วก็พยายามเจริญพรหมวิหารให้มากๆ ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไปเสียเปรียบกิเลสคนโน้นเสียเปรียบกิเลสคนนี้ ถ้าเราชนะตัวเราแล้ว เราก็จะชนะหมดทุกสิ่งทุกอย่าง
ตนจงเป็นที่พึ่งของตน อะไรคือตนที่แท้จริง สติที่เราสร้างขึ้นมานี่ตนหนึ่ง ส่วนจิตของเรานั่นแหละตนหนึ่ง ต้องรู้กายรู้จิตๆ กายของเราก็ยังอาศัยสมมติอยู่ เราก็ต้องทำความเข้าใจ ก็ต้องพยายามกันนะ เป็นโอกาสที่ดีที่ทุกคนได้มา ได้มา ณ สถานที่ตรงนี้ ได้มาพักผ่อน หากายวิเวกหาจิตวิเวก มีโอกาสก็พากันมา ขอเชิญมามาพักผ่อน มาที่นี่ก็เหมือนกับมาบ้านของเรา มีอะไรก็ช่วยกัน ก็เป็นอานิสงส์เป็นผลบุญของทุกคน ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพัก สักระยะหนึ่งเสียก่อน นั่งตามอิริยาบถให้สบายไม่ต้องพนมมือ นั่งให้สบายที่สุด วางกายให้สบายวางใจให้สบาย ดับความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ทุกเรื่องเอาไว้ให้หมด อย่าเพิ่งนึกอย่าเพิ่งคิดอะไรทั้งสิ้น พวกเราก็ได้วางภาระหน้าที่การงาน วางทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ ถึงได้มาถึงที่นี่
แล้วก็ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจนะ อย่าไปบังคับลมหายใจ การสูดลมหายใจก็ไปยาวๆ แล้วก็ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้น จิตของเราก็มีความสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกรับรู้เวลาลมกระทบปลายจมูกนั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สติรู้ตัว’
เวลาลมเข้าก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา เวลาลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา เขาเรียกว่า ‘มีความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง’ ลมเข้าก็รู้ ลมออกก็รู้ มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ตรงนี้แหละ คนไม่ค่อยจะสนใจกัน มีตั้งแต่ไปนึกเอาไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ความรู้ตัวก็เลยไม่ได้สร้าง ทั้งที่เป็นปัญญาโลกีย์ที่ปกปิดดวงจิตของเราเอาไว้ เราต้องมาสร้างความรู้ตัว
แม้แต่เรื่องของการหายใจเข้าออก เวลาเราจะตั้งสติระลึกรู้ให้ชัดเจน ก็เกิดความอึดอัดเพราะความไม่เคยชิน บางทีสมองก็ตึง เป็นการเพ่ง เราอย่าไปเพ่ง เพียงแค่มีความรู้สึกรับรู้อยู่ ถ้าเราเอาจิตไปจดจ่อ หน้าอกก็แน่น เราต้องพยายามหัดสังเกตบ่อยๆ หัดทำความเข้าใจบ่อยๆ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่าย
พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน ก่อนที่จะพูดก็หยุดพูด ก่อนที่จะคิดก็หยุดคิด ไอ้ตัวหยุดตัวยับยั้ง นั่นแหละคือตัวสติแหละ ไอ้ตัวที่จะคิดส่งออกไปเรื่องนู้นเรื่องนี้ นั่นแหละคือตัวจิต บางทีก็ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตโดยที่เราไม่ตั้งใจคิด เขาเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’
จิตกับขันธ์ห้าเข้าไปรวมกันทำให้เกิดอัตตาตัวตน บางทีจิตก็เกิดกิเลส เกิดความทะเยอทะยานอยาก อยากในรูปในรสในกลิ่นในเสียง อยากสารพัดอย่าง เราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม ตัวควบคุมนั่นแหละคือตัวสติ ควบคุมบ่อยๆ
ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด เพราะว่าความเคยชิน ธรรมชาติของจิตเขาชอบคิดชอบเที่ยว ชอบส่งออกไปภายนอก เรื่องโน้นบ้างเรื่องนี้บ้าง สารพัดเรื่องที่เขาจะเกิด พอโดนควบคุมหน่อยก็เลยอึดอัด ก็เลยไม่สนใจในการดูแลในการควบคุม ควบคุมแล้วก็ดูแล แล้วก็สังเกตและวิเคราะห์จนกว่าจิตจะคลายออกจากความหลง หรือว่าแยกรูปแยกนามได้ สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริงถึงจะเปิดทางให้
มองเห็นหนทางทะลุปรุโปร่ง เราก็จะทำความเข้าใจ แล้วก็จะเข้าใจในเรื่องอัตตา เข้าใจในเรื่องอนัตตา เข้าใจในเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตา ในขันธ์ห้าของตัวเรา เข้าใจในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ตราบใดที่ยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็ยังอยู่ในการสร้างอานิสงส์สร้างบารมี ยังอยู่ในกองบุญอยู่ ยังพากันสร้างบุญสร้างอานิสงส์ อย่าพากันทิ้งในการทำบุญ ทำบุญให้กับตัวเรา ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ กับพี่กับน้อง กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ทำบุญให้กับตัวเรา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราก็สำรวจตัวเรา ตัวเรามีความรับผิดชอบสูงหรือไม่ มีความเสียสละ มีความอดทน มีสัจจะ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน พูดจริงทำจริง มีความขยันหมั่นเพียร รู้จักสำรวจสำรวมกายอินทรีย์ของตัวเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราทำได้อย่างนี้ สักวันหนึ่งเราก็คงจะรู้แนวทางในการดำเนินชีวิตของตัวเรา
ส่วนมากก็จะเอาไปใช้ตั้งแต่ปัญญาของโลกๆ ปัญญาของโลกีย์ อันนี้ไม่ใช่ว่าไม่ดี ก็ดีอยู่ ดีอยู่ในระดับหนึ่ง เราอยากให้สูงขึ้นไปอีก ไม่ให้จิตของเราไปทุกข์ไปกังวลกับสิ่งต่างๆ
เราถึงให้เจริญสติให้ได้ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่าย ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด ใหม่ๆ ก็อาจจะช้า เพราะว่าความเคยชินเก่าๆ ปัญญาเก่าเข้าไปก่อนหมด เราก็ต้องพยายาม หมั่นปรับปรุงตัวเอง แก้ไขตัวเอง ถ้าเราไม่แก้ไขตัวเราเอง ก็ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้เลย นอกจากตัวของเราเอง
การทำบุญการให้ทาน พวกเรามีโอกาสได้สร้างบุญ พวกเรามีโอกาสได้ทำบุญให้ทานร่วมกันได้ ทำมากทำน้อยก็เป็นอานิสงส์ของพวกเรา โอกาสเปิดให้สถานที่เปิดให้ ทำบุญให้กับตัวเรา ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ กับพี่กับน้อง กับเพื่อนร่วมงานด้วยกัน รู้จักให้อภัยทาน มองโลกในทางที่ดี ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดีไป ถ้าจิตของเราดีแล้ว อะไรก็จะดี อะไรผิดพลาดเราก็รีบแก้ไขเสีย ผิดพลาดเราก็รีบแก้ไข แก้ไขไม่ได้ก็อุเบกขา ทำใหม่ ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีตั้งแต่ความสุข
ถ้าคนเรารู้จักความเสียสละ รู้จักความรับผิดชอบ ขยันหมั่นเพียร ละ กำจัด ความเกียจคร้านออกจากจิตจากใจของเรา ทุกคนก็มีบุญ อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่ได้ปฏิบัติ ทุกคนปฏิบัติธรรมกันมาทั้งนั้น จะปฏิบัติมามากมาน้อยก็ขึ้นอยู่กับอานิสงส์การสร้างบารมี ส่วนมากจะไปเอาตั้งแต่ผล การเริ่มต้น การสังเกตการวิเคราะห์ การดับการควบคุม การเริ่มต้นยังไม่ต่อเนื่อง เราก็เลยไปนึกเอาตั้งแต่ผลเสีย มันก็เลยปิดกั้นเอาไว้
แม้ตั้งแต่ความอยาก อยากจะรู้ธรรม อยากจะได้ธรรม อยากจะเห็นธรรม เราก็ต้องละความอยาก เราต้องสร้างสติเข้าไปดับเข้าไปควบคุม อะไรคือความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมา อะไรคือจิต ลักษณะของจิตที่สงบปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร จิตที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น จิตที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร เราต้องรู้ ต้องทำความเข้าใจกัน เราเดินไม่ถึงวันนี้ วันพรุ่งนี้เราก็ต้องเดินถึงตราบใดที่เรายังเดินอยู่ ก็ต้องพยายาม
ตั้งสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกของเราให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน ทำจิตให้ว่าง สมองให้โปร่ง กายให้โล่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูก ให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะนะ
พากันไว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อกันนะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง