หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 060

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 060
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 060
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีๆ นะพระเราชีเรา ก่อนที่จะขบจะฉันอย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ตื่นขึ้นมาเราก็รีบวิเคราะห์เรารีบสังเกตจิตของเรา ความปกติของกายของจิต

ญาติโยมทางสระบุรีคงจะหลับสบายดีนะ ฝนฟ้าก็ตกร่มรื่นร่มเย็น คนบุญมาก็อย่างนี้แหละ นำความชุ่มชื้นมาให้ฝนตกก็เย็นสบาย วางกายให้สบายวางใจให้สบายนะ อยู่บ้านของเราไม่ต้องไปกังวลอะไร มีอะไรก็ช่วยกันทำ มาสร้างอานิสงส์ นี่แหละคือการปฏิบัติ การปฏิบัติคือการสร้างอานิสงส์สร้างประโยชน์

การปฏิบัติ ถ้าเราไม่มีความเสียสละเราก็ทำอะไรไม่ค่อยได้ มีความเสียสละมีความรับผิดชอบ สร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้น ทำงานไปด้วย พยายามสังเกตน้อมเข้าไปดูรู้จิตของเราไปด้วย จิตของเราเกิดความกังวลหรือไม่ จิตของเราเกิดความปกติ เกิดความฟุ้งซ่านเราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม ละนิวรณธรรม ละความเกียจคร้านออกจากใจของเรา มีความสุขอยู่กับการกับงาน

อยู่ที่บ้านเราก็ทำเหมือนอยู่ที่วัด อยู่ที่วัดเราก็ทำเหมือนที่บ้าน อะไรเราขาดตกบกพร่องเราก็พยายามรีบแก้ไข เราก็จะมีความสุขอยู่ทุกสถานการณ์ อยู่กับหมู่กับคณะเราก็มีความสุข อยู่คนเดียวเราก็มีความสุข อะไรขาดตกบกพร่องเราก็รีบทำ ภาระหน้าที่การงานเราทำไม่เรียบร้อยเราก็ทำให้เรียบร้อย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนมีความรับผิดชอบตัวเอง มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม การงานก็ก้าวหน้าชีวิตก็มั่นคง ถ้าคนเรารู้จักช่วยเหลือตัวเอง รู้จักแก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา

ญาติโยมก็พากันมาหลายคนหลายท่าน คณะทางโรงปูนท่านก็ใจดี มีผู้บริหารใจดีใจกว้างขวาง ได้ทำบุญให้กับบริวารทำบุญให้กับลูกน้อง ให้ลูกน้องให้บริวารได้มาพักผ่อน ได้มาคลายเครียดกับภาระหน้าที่การงานประจำที่ทำอยู่ มาก็ได้มาสร้างอานิสงส์กัน คนโน้นก็ช่วยสิ่งนั้นบ้างคนนี้ก็ได้ช่วยสิ่งนี้บ้าง

หลวงพ่อก็ขอบคุณทุกคนได้มาช่วยกันสร้างอานิสงส์กัน ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ตกอับถ้าคนเราขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบที่สูง รับผิดชอบในชีวิตของเรา รับผิดชอบในชีวิตของส่วนรวม อยู่บ้านเราก็รับผิดชอบกับตัวเรากับครอบครัวของเรา มีความรับผิดชอบที่สูง มีพรหมวิหาร ถ้าเราขาดตกบกพร่องอะไรเราก็รีบแก้ไข แก้ไขตัวเราเอง ทั้งภายนอกทั้งภายใน ไปอยู่ที่ไหนก็มีความสุข

พระเราก็เหมือนกัน พยายามขยันหมั่นเพียรกัน อย่าไปเกียจคร้าน ถ้าความเกียจคร้านเข้าครอบงำแล้ว ไปอยู่ที่ไหนก็ลำบาก หาความเป็นสิริมงคลให้เกิดขึ้นในกายในใจของเรายาก เราต้องขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ ยิ่งเรามาอยู่ร่วมกันเยอะๆ อยู่คนละทิศละที่ละทาง มีโอกาสได้เข้ามาบวชก็มาเป็นลูกของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน เราก็พยายามขัดเกลาทั้งภายใน ขัดเกลาความประพฤติของตัวเราให้ดี อย่าให้คนอื่นได้บังคับ เราต้องมีวินัยในตัวของเราเอง

วันนี้อากาศก็ชุ่มชื้นร่มรื่นร่มเย็นดี เมื่อวานนี้ก็ช่วยกันมัดเหล็ก มัดเหล็กติดหินกาบ ญาติโยมท่านไหนช่วยได้ อยากจะช่วยอะไรช่วยได้หมด ช่วยได้หมด ทางโรงครัวก็ช่วยกันทำ ทำกับข้าวกับปลา ชอบอะไรเราก็ทำ แต่อย่าให้จิตเกิดความอยาก ถ้าจิตเกิดความอยาก ยินดียินร้ายผลักไส หรือว่าไม่เป็นกลางเราก็รีบดับเสีย สนุกทำ นี่แหละใจก็โล่งโปร่ง เข้ามาในป่าแล้วก็มีตั้งแต่ความโล่งความโปร่ง ความอิ่มความสบาย ไม่ต้องไปเคี่ยวเข็ญให้ยากให้ลำบาก

ถ้าใจของเรากังวลเรื่องภาระหน้าที่การงานต่างๆ ทางบ้าน เราก็รีบดับรีบควบคุมเอาไว้ ขณะนี้กายของเราอยู่ที่วัด ใจของเราก็ให้สงบปกติอยู่ภายในวัด ไม่ใช่ว่าไม่ให้คิด ถ้าจะคิดก็เป็นเรื่องของสติเรื่องของปัญญา ส่วนใจของเราต้องสงบนิ่ง แต่เวลานี้บางทีใจของเรายังเกิดอยู่ยังวิ่งอยู่ เราก็ต้องรู้จักควบคุมไม่ให้ใจของเราส่งออกไปภายนอก ควบคุมบ่อยๆ ทำบ่อยๆ ใจของเราก็จะสงบขึ้นมาเอง ไม่เหลือวิสัยหรอก ทำบ่อยๆ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาโน่น

พอรู้ตัวปุ๊บรู้กายปุ๊บรู้จิตปั๊บ ลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกเราก็มีความรู้สึกรับรู้ จะก้าวจะเดินก็มีความรู้สึกรับรู้ ให้จิตรับรู้ ถ้าจิตนิ่งสงบปัจจุบันสติคอยดูรู้อยู่ กายของเราเคลื่อนไหวนิดเดียวเขาก็รู้ อะไรเข้ามากระทบเล็กๆ น้อยๆ เขาก็รู้ ถ้าสติของเราเร็วไว เราต้องพยายามดู รู้ความคิดรู้อารมณ์ รอบรู้ในของสังขารของตัวเราให้ชัดเจน เราก็จะรอบรู้หมดนั่นแหละ เขาเรียกว่ารอบรู้ในโลก รอบรู้ในกองสังขาร

บางคนบางท่านก็มีเพียบพร้อม บางคนบางท่านก็ยังมียังไม่บริบูรณ์ ก็ต้องแก้ไขกันไปตามสมมติ ตราบใดที่พวกเรายังเดินอยู่ก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทาง ไม่เดินถึงช้าก็ต้องเดินถึงเร็ว ก็ต้องพยายามเอา

เมื่อคืนนี้ฝนตกเลยไม่ได้ไปเดินข้างนอกเลยนะ ไม่ได้ไปเจอผีหลอก ผีหลอกเยอะอยู่ในป่า เดินไปเดี๋ยวก็เสียงดังก๊อกแก๊กๆ สมัยก่อนมาอยู่ป่าช้าใหม่ๆ รก ไม่เป็นอย่างนี้หรอก มีแต่ป่าเพ็กป่าหนาม หลุมศพเผาศพฝังศพกันเต็มเกลื่อนไปหมด ไม่น่าอยู่เหมือนกับสมัยนี้ ช่วงเข้ามาอยู่ในป่าใหม่ๆ กลัวก็กลัว กลัวผีหลอก แต่จำใจมา เพราะว่ามาฝึกละความกลัว

กลัวหลุมไหนก็ไปนอนอยู่หลุมนั้น จนรอบป่าช้า นั่งกลัวก็นอน นอนหงายกลัวก็นอนคว่ำ กลัวกระทั่งปลวกกระทั่งใบไม้ร่วง เสียงอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็กลัวหวั่นไหวผวา เดินไปนี่ปลวกสั่นหัวเยอะๆ นี่ สั่นหัวใส่ใบตองนี่จิตใจหวั่นไหวผวา สมัยก่อนจะนั่งจะเดินมือนี่ต้องถือไฟฉาย จะเดินสร้างสติแต่ละทีนี่ไฟฉายต้องกราดไปทั่วให้รอบเสียก่อน ว่าผีหลอกตนใดจะมานั่งดูเราอยู่ มันกลัวถึงขนาดนั้น มันปรุงมันแต่ง เวลาจะเข้ากลดเข้ามุ้งก็ต้องวิ่งเข้า กลัวว่าผีหลอกจะมาดึงขาเอาไว้ ขนาดอยู่ในป่าช้าแท้ๆ นั่นยังปรุงแต่ง ผีตัวข้างในมันออกไปหลอก

ฝึกไปฝึกมาเขาก็แข็งแกร่งขึ้น กล้าหาญขึ้น หนักแน่นขึ้น อะไรเข้ามากระทบก็ไม่หวั่นไหว เราต้องมาฝึกจิต ฝึกจิตของตัวเรา ละความกลัว แล้วก็ละความอยาก ละความทะเยอทะยานอยาก ละนิวรณธรรมต่างๆ สร้างความขยันหมั่นเพียรให้กับตัวเรา ถ้าเรารู้จิตของเราชัดเจนก็จะมีตั้งแต่ความขยัน ไม่อยากพักผ่อนเลยทั้งกลางวันทั้งกลางคืน

ทำงานไปด้วยดูจิตไปด้วย มีความสุขได้ประโยชน์ไปด้วย หัดวิเคราะห์ไปด้วย จนกระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างบริบูรณ์นั่นแหละ ตั้งแต่ก่อนสติปัญญาก็ไม่มีอะไร ฝึกไปฝึกมาเราก็หัดวิเคราะห์หัดทำความเข้าใจ สร้างตั้งแต่ประโยชน์ ภายในก็มีความสุข ข้างนอกก็ได้ประโยชน์ ได้ประโยชน์ทั้งสองทาง ประโยชน์ภายในก็ได้ประโยชน์ภายนอกก็ได้ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย คนอื่นมาก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย นี่แหละอานิสงส์ของการประพฤติการปฏิบัติ

ปฏิบัติคลายความหลง คลายความยึดมั่นถือมั่น เราไม่อยากจะได้เราก็ได้เอง เป็นการสร้างตบะบารมี ถ้าเราไม่มีความเสียสละมา ก็คงจะไม่มาถึงวัด มีความเสียสละมาถึงได้มาถึง เสียสละกาลเสียสละเวลาที่มีค่าทางสมมติเข้ามา น้อมกายเข้ามาวัด อันนี้ก็ได้แล้วได้ในส่วนหนึ่ง ทีนี้เข้ามาวัด จิตของเรายังมีความกังวลมีความฟุ้งซ่าน เราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม การวิธีดับก็คือการเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่การหายใจเข้าออก เขาเรียกว่า ‘สมถะ’ ถ้าจิตก่อตัวส่งไปภายนอกขณะนี้ เราก็สูดลมหายใจยาวๆ ผ่อนลมหายใจยาวๆ มันก็ดับมันก็สงบ ใหม่ๆ ก็อาจจะฉุดรั้งกันเป็นธรรมดา เรื่องจิตเป็นของละเอียดอ่อน ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจนี่ก็ยาก

พวกเรามานี่พวกเราก็มาสร้างบารมีกัน มาสร้างบารมี เปลี่ยนสถานที่ ได้รับความรู้สึกที่ดี หมั่นวิเคราะห์ตัวเราขึ้นมา ได้บ้างไม่ได้บ้างก็เริ่มใหม่ เริ่มอยู่บ่อยๆ เข้ามาวัดก็รู้สึกว่ามีความสบาย เห็นญาติพี่น้องมีตั้งแต่หมู่คณะเพื่อน ให้ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จิตก็มีความสุข นั่นแหละความสบายเกิดขึ้น ทางสมมติกายก็ไม่ได้ลำบาก ที่พักที่อาศัยก็พอมีได้หลับได้นอน ก็คลายความวิตกกังวลขึ้น

บางคนบางท่านที่ยังไม่ได้เคยมาก็อาจจะคิดไปก่อน เราจะไปอยู่อย่างไร ไปอยู่ที่วัดไปนอนอย่างไร ไปกินอย่างไร ไปนั่งอย่างไร ไปทำอย่างไร นั่นแหละกิเลสมันหลอกหมดแล้ว กิเลสมันหลอกเอาไว้ ถ้าเรามาจริงๆ แล้วไม่เหมือนกับที่เราคิดเลย อะไรๆ ก็มีตั้งแต่ความสุขความสบาย มีตั้งแต่มาเพิ่มความเพียรในการสังเกตในการวิเคราะห์ให้เร็วให้ไวขึ้น ก็เลยมีความสุขสบายขึ้น มีโอกาสก็พากันมาได้ตลอดเวลานะ ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่าน จงสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเอง ให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อนนะ อันนี้เป็นการย้ำเป็นการเตือน ตามความเป็นจริงพวกท่านต้องสร้างขึ้นมาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา แล้วก็พยายามสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้ได้ ถึงจะพลั้งเผลอไปก็เริ่มขึ้นมาใหม่ จนกว่ากำลังความรู้สึกตัวจะต่อเนื่อง จนกว่าจะเอาไปใช้ เอาไปรู้เท่าทันจิต รู้ทันความคิดที่เขาเกิดๆ ดับๆ ได้อย่างไร เขาหลงอะไร เราต้องฝึกให้เกิดความเคยชิน

ใหม่ๆ ก็อาจหายใจไม่คล่อง ถ้าเราไม่ได้สร้างความรู้สึกตัว การหายใจของเราก็หายใจตั้งแต่เกิดขึ้นมานั่นแหละ มันเป็นการหายใจธรรมชาติ เพียงแค่เรามีรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่องกันให้ได้เท่านั้นเอง เรามาสร้างความรู้สึกขึ้นมาใหม่

ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด บางทีสมองก็ตึงบางทีหน้าอกก็แน่น ให้เราพยายามสร้างความรู้สึกให้เป็นธรรมชาติที่สุดแล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง ถ้าเราทำอย่างนี้ให้เกิดความเคยชิน เราก็จะเข้าใจในชีวิตของเรา อะไรเป็นกุศลอะไรเป็นอกุศล อะไรควรแก้อะไรควรเจริญ ยิ่งมีความสุข ได้ปรับปรุงชีวิตของเรา อะไรขาดตกบกพร่อง อะไรคือความทุกข์ สาเหตุแห่งทุกข์เป็นอย่างไร มันก็จะได้ขยายตัวออกไป เห็นอะไรดีๆ เยอะในกายของเรา

บางทีบางคนบางท่านก็สร้างบุญมาดี จิตก็มีตั้งแต่ความปีติ มีตั้งแต่ความสงบ มีตั้งแต่ความสุข แต่ไม่มีความรู้ตัวหรือว่ามีสติเข้าไปดูเข้าไปรู้ให้ทัน การควบคุมจิตเป็นลักษณะอย่างนี้ การสังเกต การแยกรูปแยกนาม หรือว่าแยกจิตออกจากความคิด ถ้าเรารู้ทันเขาก็จะแยกของเขาเอง เขาก็จะเป็นของเขาเอง ก็ต้องพยายามกันนะ

ทุกคนก็มีบุญอยู่แล้วได้เกิดมาเป็นมนุษย์ นี่ก็มีบุญอันประเสริฐเลยทีเดียว ผ่านกาลผ่านเวลา มีชีวิตเติบโตขึ้นมาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ จากเด็กเติบโตขึ้นมา ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน บางคนบางท่านก็เรียนจบบริบูรณ์ บางคนบางท่านก็สมมติก็บริบูรณ์ไม่ได้ลำบาก บางคนบางท่านก็ยังต่อสู้ดิ้นรน เราก็ต้องพยายาม

อย่าทำให้ใจของเราเป็นทุกข์ ต่อสู้ดิ้นรนด้วยสติด้วยปัญญาด้วยเหตุด้วยผล หมั่นสร้างฐานะครอบครัวของตัวเราเอง หมั่นสร้างความเป็นอยู่ของเราเอง จากน้อยๆ ไปหามากๆ มีความรับผิดชอบที่สูง ถึงจะช้าก็ต้องอดทนอดกลั้นกับกาลกับเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะบริบูรณ์

ไม่มีใครที่จะมีความบริบูรณ์มาตั้งแต่เกิด เกิดมาก็ไม่มีแม้กระทั่งเสื้อผ้า มาหาเอาทีหลัง ความสมบูรณ์พูนสุขทางสมมติ เราก็สร้างขึ้นมาทีหลัง เพื่อยังอัตภาพสมมติให้อยู่ดีมีความสุข เราก็ต้องพยายาม หมั่นวิเคราะห์ตัวเราเอง ทุกคนเกิดมาด้วยแรงบุญแรงกรรม แล้วก็มาทำความเข้าใจกับชีวิตก้อนนี้เสีย ก่อนที่ธาตุขันธ์ของเราจะหมดสภาพ

หมั่นสร้างบุญสร้างกุศล ตราบใดที่จิตของเรายังไม่ถึงจุดหมาย คือความบริสุทธิ์ความหลุดพ้น เราก็สร้างอานิสงส์ให้เต็มเปี่ยมไปเรื่อยๆ พวกเรามาก็เพื่อที่จะมาสร้างบุญสร้างอานิสงส์กัน ไม่ได้มากก็ได้น้อย ก็พยายามมาสร้างกัน อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง ทุกเรื่องในชีวิตของเรา เราต้องทำความเข้าใจหมด ไม่ใช่ว่าจะทำความเข้าใจเล็กๆ น้อยๆ ทำความเข้าใจในเรื่องชีวิตของเราแล้วก็โลกธรรมแปด ลาภยศสรรเสริญ สุขทุกข์นินทาต่างๆ ความเป็นอยู่ต่างๆ

อันนี้หลวงพ่อก็เพียงแค่ย้ำแค่เตือนเท่านั้นแหละ พวกท่านจงพากันไปทำกันเอา สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันสักพักนะ พากันไหว้พระพร้อมกันพยายามพากันไปทำความเข้าใจต่อกันนะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง แค่ย้ำแค่เตือนชั่วครั้งชั่วคราว

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง