หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 004
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 004
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ ทำความสงบให้มีให้เกิดขึ้นในใจของพวกเรากัน สักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน ตามความเป็นจริงเราต้องพยายามเจริญสติให้ได้ทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ รีบสำรวจกายสำรวจจิตของตัวเราเอง จนเป็นอัตโนมัติ จนเป็นความเคยชิน ในการรับรู้ ในการสังเกต ในการวิเคราะห์
แต่ละวันตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่เลยทีเดียว นั่นแหละคือกิจวัตรประจำวันของเราทุกคน ไม่ใช่ว่าเวลาโน้นถึงจะทำ เวลานี้ถึงจะทำ กิเลสต่างๆ ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลาหรอก
ให้เราพยายามสำรวจแล้วก็ทำความเข้าใจ แล้วก็รู้จักสร้างตบะบารมีให้มีให้เกิดขึ้น ในกายในจิตของเรา จิตของทุกคนมีศรัทธาน้อมเข้ามาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม แล้วก็ฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทานอยู่ตลอดเวลา
เราต้องทำความเข้าใจกับความหมาย แม้ตั้งแต่เรื่องของการให้ทาน เราให้ทาน ลักษณะของการให้ทาน ทานอย่างไร คำว่าทาน ความหมายของคำว่าทาน ทานไปเพื่ออะไร ในหลักธรรมแล้ว การให้ทานเพื่อที่จะชำระกิเลสออกจากจิตจากใจของเรา กิเลสหยาบๆ ไปหากิเลสละเอียดที่สุด
การรักษาศีล เราก็ต้องทำความเข้าใจกับศีล ศีลระดับสมมติ ศีลระดับสังคม จนกระทั่งถึงอธิจิต อธิศีล ถึงตัวศีลจริงๆ ก็ตัวจิตของเรานั้นแหละ จิตของเราปกติ จิตของเราสงบ นั่นแหละคือตัวศีล ไม่ใช่ว่าเราจะไปพร่ำวอนขออยู่ตลอดเวลา อันนี้ยังไม่ใช่ ตื่นขึ้นมากายวาจาของเราก็ปกตินั่นแหละ ก็คือศีลทางกายทางวาจา ใจปกตินั่นก็คือศีล
เราต้องสำรวจ สร้างความรู้ตัวหรือว่าเจริญสติเข้าไปสำรวจดู ส่วนมากเราก็ไปเอาตั้งแต่ปัญญาที่เกิดจากจิตเกิดจากขันธ์ห้า ซึ่งเขาหลงกันอยู่ เราถึงมาสร้างผู้รู้ มาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่เข้าไปสำรวจ เรารู้ไม่เท่าทันการเกิดของขันธ์ห้า การเกิดของจิต เราก็ใช้สมถะเข้าไปดับ แล้วแต่อุบายของแต่ละคน แล้วแต่อุบายของแต่ละท่าน ที่จะทำให้จิตของตัวเองสงบได้
ไม่ใช่ว่าจะปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา กายของเรานี้เกิดมามีอะไรบ้าง เราต้องดูต้องรู้ อะไรคือส่วนรูปธรรม อะไรคือส่วนนามธรรม เราไม่เข้าใจแนวทางเราถึงแสวงหาแนวทาง แนวทางนั้นมีอยู่ตั้งนานแล้ว พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม การดำเนินจิต การดำเนินชีวิต ไปในลักษณะอย่างไรถึงจะถึงจุดหมายปลายทาง พระพุทธองค์ท่านค้นพบเรื่องการดับทุกข์ อะไรคือทุกข์ อะไรคือสาเหตุแห่งทุกข์
ทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับวิมุตติ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ ทำไมถึงอยู่ร่วมกัน สมมติกับวิมุตติถึงอยู่ร่วมกัน อะไรคืออัตตา อะไรคืออนัตตา ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ ถึงจะเห็น ถึงจะเข้าใจ
ท่านถึงบอกว่าให้ละทิฏฐิ ละมานะ ละความเห็นแก่ตัวต่างๆ มองดูให้รู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง กายของเราทำหน้าที่อย่างไรบ้าง ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไรบ้าง ภาษาธรรมภาษาโลก สักแต่ว่าดูสักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าฟังเป็นลักษณะอย่างไร การแยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากจิตของเราเป็นอย่างไร หูตาจมูกลิ้นกายเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง ตัววิญญาณหรือว่าดวงจิตของเราอยู่ในลักษณะอย่างไร
เราต้องจำแนกแจงให้ชัดเจน แม้ตั้งแต่ความรู้สึกตัว แม้ตั้งแต่การเจริญสติ ตั้งแต่เช้าขึ้นมาเราได้สร้างให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง คนที่จะเข้าไปถึงจุดหมายปลายทางต้องเป็นบุคคลที่มีความเสียสละอย่างยิ่งยวด มีความเสียสละอย่างสูง และก็มีความขยันหมั่นเพียรในการวิเคราะห์ ในการสำเหนียก ในการน้อม
ทุกคนก็ได้ผ่าน ได้ศึกษา ได้ยินได้ฟังกันมามากพอ ทุกคนมีสติมีปัญญา เมื่อรู้แนวทางแล้ว กายวิเวกเป็นอย่างนี้ จิตวิเวกเป็นอย่างนี้ จิตวิเวกจากการเกิดเป็นอย่างนี้ จิตวิเวกจากอารมณ์ จากขันธ์ห้า จากกิเลสเป็นอย่างนี้
จิตของคนเรานี่ก็แปลก ถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติ ไม่ได้ขัดเกลา เขาก็ทั้งหลงทั้งเกิด เป็นทาสของอารมณ์เป็นทาสของกิเลส กิเลสเป็นหน้าตาอย่างไร อาการอย่างไร เราก็ยังไม่เคยเห็น เรารู้ตั้งแต่ชื่อของเขา แม้ตั้งแต่ความโกรธ มันโกรธขึ้นมาแล้วเราถึงรู้ มีความอยาก ความทะเยอทะยานอยาก มันอยากขึ้นมาแล้วเราถึงรู้
เราไม่รู้ตั้งแต่เขาก่อตัวอย่างไร ต้นเหตุเป็นอย่างไร เราไม่เข้าไปดับถึงขณะเขาก่อตัว เพราะว่ากำลังสติของเรามีน้อย หรือบางทีแทบไม่ได้สร้างกันเลย แทบไม่มีกันเลย เวลาจิตเกิดความโกรธที ความโลภที ความอยากที ถึงจะเข้าไปดับ เข้าไปหยุดเข้าไปยับยั้ง มันจะไปทันได้อย่างไร เพราะว่าเราไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่องตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
ถ้าเราเจริญสติให้ต่อเนื่องอยู่ปัจจุบันตั้งแต่ตื่นขึ้นมา พอตื่นขึ้นมาปุ๊บ ความรู้ตัวรู้การหายใจเข้าออก รู้ความปกติของจิต สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน จิตจะก่อตัวก็รู้เท่าทัน ความคิดจะผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตก็รู้เท่าทัน เพียงแค่ดำเนินจุดนี้ให้ได้เสียก่อน ถ้าเรารู้เท่าทันจิตกับขันธ์ห้าเขาจะแยกออกจากกัน ถ้าเราเห็นตรงนี้เราก็ตามทำความเข้าใจตรงนี้ นั่นแหละถึงจะเรียกว่าวิปัสสนา หรือว่าสัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้
เพียงแค่เริ่มต้น ทีนี้กำลังสติของเราจะตามทำความเข้าใจให้รู้ ให้รู้เห็นตามความเป็นจริงทุกอย่าง เราก็จะเข้าใจในเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้า ว่าเขาเกิดอย่างไร จิตของเราเข้าไปหลงเข้าไปรวมเข้าไปยึด ทำให้เกิดอัตตาตัวตน ถ้าเราแยกตรงนี้ได้คลายตรงนี้ได้จิตของเราก็วางอัตตาตัวตนได้ เราอาจจะมองเห็นอัตตาตัวตนตั้งแต่ทางด้านรูปธรรมคือก้อนเนื้อ แต่ส่วนจิตกับความคิดอีก ลึกๆ ลงไปอีกตรงนั้นเราไม่ได้แยก ถ้าเราแยกได้ จิตก็จะวางอัตตาตัวตนได้ทันที
แต่เขาก็อยู่ร่วมกัน จิตกับกายก็อาศัยกันอยู่ ถ้าถึงวาระถึงเวลาจริงๆ นั่นแหละ เขาถึงจะแตกจะดับ คนส่วนมากจะเอาตั้งแต่ปัญญาอย่างเดียว จะเอาตั้งแต่ปัญญา แม้ตั้งแต่จะคิดพิจารณาในธรรมก็ยังเป็นกิเลสธรรม ตราบใดที่ยังแยกไม่ได้
บางครั้งบางคราวจิตของเราก็ปกติ จิตก็สงบอยู่ แต่ยังคลายออกจากขันธ์ห้าไม่ได้ นี่ก็เปรียบเสมือนกับขันที่ยังคว่ำอยู่ ถ้าแยกได้คลายได้เมื่อไหร่ นั่นแหละเขาถึงจะหงายขึ้นมา เหมือนกับหงายของที่คว่ำ
ทีนี้การสำรวจการตามทำความเข้าใจ ถ้าเราไม่ขยันหมั่นเพียร เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร ไม่ให้กิเลส ความทะเยอทะยานอยากเล็กๆ น้อยๆ เข้ามารบกวนจิตใจของเราได้เลย ความอยากแม้แต่นิดเดียวไม่ให้เกิดขึ้นที่จิต ไม่ต้องไปเอาความอยากตัวใหญ่ๆ หรอกเอาตัวเล็กๆ นั่นแหละ ที่เขาเกิด เราดับได้ไหม เราละได้ไหม เราต้องพยายามดูตรงจุดนี้เสียก่อน
ถ้าเรามีสติคอยตรวจดูรู้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา เราก็จะได้ฟังธรรมตลอดเวลา ตากระทบรูปจิตเกิดหรือไม่ หูกระทบเสียงจิตเกิดหรือไม่ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เราอยู่ตลอดเวลา ส่วนการตามทำความเข้าใจกับขันธ์ห้า มีเรื่องอะไรบ้างที่เขาเข้ามาปรุงแต่งจิตของเรา
บางทีก็เป็นเรื่องอดีตซึ่งเรียกว่าอาการของสัญญา บางทีจิตของเราเข้าไปเสวยซึ่งเรียกว่ายินดียินร้าย บางทีก็เป็นทุกขเวทนาบ้าง บางทีก็สุขเวทนาบ้าง บางทีก็เป็นกลางๆ เราก็ต้องพยายามจำแนกออกให้เห็นเป็นชิ้นๆ ส่วนๆ เป็นกอง ที่เราสวดท่องกันทุกวันว่า ขันธ์ห้าเป็นของหนักๆ
นี่แหละ ถ้ารู้ตรงนี้แล้ว มันก็วางอัตตาตัวตนได้ กายสมมติก็มีอยู่ เราต้องทำความเข้าใจกับสมมติก้อนนี้ แล้วก็ทำความเข้าใจกับโลกธรรมแปด การชำระสะสางกิเลสก็ตามมาอีก เราชำระสะสางกิเลสได้มากได้น้อย สภาวะจิตของเราก็จะค่อยขยับเขยื่อนเลื่อนขึ้นไป สู่ที่สูงเรื่อยๆ จนเป็นอริยะห่างไกลจากกิเลส
จนจิตไม่มีกิเลส หน่วงเหนี่ยวเอาความว่างเป็นอารมณ์ ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘นิพพาน’ จิตยังเกิดอยู่จิตก็ยังไม่เที่ยง จิตไม่เกิด จิตนิ่ง จิตสงบ ปราศจากกิเลสเขาเรียกว่า ‘จิตเที่ยง นิพพานก็เที่ยง’
ไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอก นิพพาน หาอยู่ในใจของเรานี่แหละ ไม่ต้องไปดิ้นรนหาที่ไหน การจะเข้าสู่ที่สูงได้ต้องเป็นคนที่มีความขยันหมั่นเพียร ทั้งภายนอกทั้งภายใน แม้ตั้งแต่ภาระหน้าที่ภายนอก หรือว่าสมมติภายนอกเราก็พยายามทำให้เรียบร้อยให้บริบูรณ์ ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่ธรรม ความเสียสละไม่มี มีตั้งแต่ความเห็นแก่ตัว มันจะไปได้อย่างไร
เราต้องเป็นบุคคลที่มีความเสียสละ ออกให้หมด สำรอกกิเลสออกให้มันหมด เราไม่แก้ไขตัวเราไม่มีใครที่จะแก้ให้ตัวเราได้เลย นอกจากตัวของเราเอง
การทำบุญ การให้ทาน พวกเรามีโอกาสได้ทำร่วมกัน ทำบุญเราก็ทำ ทำบุญทางด้านสมมติ เราก็พยายามหมั่นสำรวจตรวจตราดูตัวเราอยู่ตลอดเวลา เรามีความเสียสละเต็มที่หรือไม่ เรามีความอดทนอดกลั้นจากเหตุการณ์ต่างๆ หรือไม่ เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน เรามีพรหมวิหาร มองโลกในทางที่ดี คิดดี ไม่อคติ ไม่เพ่งโทษ เรารู้จักสำรวมกายอินทรีย์ของเราไหม
แต่ละวันตื่นขึ้นมา ก่อนที่จะพูด พูดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์เราก็ไม่พูด แม้ตั้งแต่สติปัญญา คิด คิดก็ในทางที่ดี ถ้าเป็นคิดอกุศลเราก็พยายามละพยายามดับ
ตราบใดที่เรายังขยันหมั่นเพียร เราต้องเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ว่าไม่มีเวลา การได้ยินได้ฟังการได้ปฏิบัติ บางคนบางท่านก็ไปปฏิบัติที่นู่นมาที่นี่มา อันนั้นก็เป็นการดี ไม่ใช่ว่าไม่ดี เป็นการสร้างบารมี ตราบใดที่เรายังเดิน ยังแยกยังคลายจิตออกจากขันธ์ห้าไม่ได้
เราก็ต้องพยายามสร้างอานิสงส์ให้ถึงจุดหมายปลายทาง หมั่นสะสมตบะตรงนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าถึงวาระถึงเวลาเราก็ต้องแยกรูปแยกนามได้ เพราะว่าอะไร เพราะว่าการบ่มการอบรม กาลเวลาเท่านั้นที่จะทำให้จิตของเราเข้มแข็งขึ้นมา ทำให้จิตของเราถึงจุดหมายปลายทางได้
เหมือนกับการปลูกผลหมากรากไม้ ถ้าเราปลูกผลหมากรากไม้วันนี้ เราจะเร่งให้เขาออกดอกออกผลวันนี้ก็ไม่ได้ เราหมั่นรดน้ำ หมั่นพรวนดิน หมั่นดูแลเขา เมื่อเขาเติบโตขึ้นมา ถึงวาระถึงเวลาที่เขาจะออกดอกออกผล เขาก็ต้องออกดอกออกผล เราไปห้ามไม่ได้ อย่าเพิ่งออกนะ ไม่ได้ ถึงเวลาเขาออกผลเขาก็ต้องออกผล ถึงเวลาสุกเขาก็ต้องสุก เราไม่อยากจะได้เราก็ต้องได้ เพราะว่าการดูแลการรักษาของเรามี
การปฏิบัติจิตก็เหมือนกัน เราหมั่นสำรวจ หมั่นแก้ไข หมั่นปรับปรุง รู้จักหมั่นวิเคราะห์ หมั่นพิจารณาตัวเองอยู่บ่อยๆ อยู่เนืองๆ จนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ ถึงวาระเวลา จิตของเราต้องสงบ ต้องสะอาด ต้องบริสุทธิ์ นี่แหละ อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลาเลย อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองเลย ทุกคนก็มาด้วยวิบากของกรรมกันทั้งนั้น
สร้างกรรมมาดีแล้วถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ บางคนบางท่านก็สร้างอานิสงส์มามาก บางคนบางท่านก็เพิ่งจะมาสร้าง แต่ก็สร้างกันมาทุกคน อย่าไปท้อแท้ อย่าไปอ่อนแอ พยายาม ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ ให้กำลังใจตัวเองตลอดเวลา
ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่าย ถ้าเรามีสตินั่นแหละคือการฝึกฝนตนเอง ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเขาบังคับ ว่าต้องนั่งนะ ต้องทำนะ ต้องฝึกนะ บุคคลเช่นนั้นไปไม่ถึงไหนหรอก คนมีสติมีปัญญาอยู่ที่ไหนก็ได้ฟังธรรม อยู่ที่ไหนก็ได้เข้าวัดตลอดเวลา ไม่เสียกาลเสียเวลา
หมั่นสร้างบุญ สร้างกุศล สร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้น ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า ประโยชน์ถึงจุดหมายปลายทางคือความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น ไม่ต้องกลับมาเกิด ไม่อยากจะเกิดเราต้องดับความเกิด รู้จุดเกิด รู้จุดดับ
แม้ตั้งแต่การเจริญสติเข้าไปคลายความหลงพวกเราก็ยังทำกันไม่ได้ ไม่ต่อเนื่องกัน จะไปเอาปัญญาอันสูงๆ ได้อย่างไร เราก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา อันนี้เพียงแค่เล่าให้ฟัง
แต่ละวันตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่เลยทีเดียว นั่นแหละคือกิจวัตรประจำวันของเราทุกคน ไม่ใช่ว่าเวลาโน้นถึงจะทำ เวลานี้ถึงจะทำ กิเลสต่างๆ ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลาหรอก
ให้เราพยายามสำรวจแล้วก็ทำความเข้าใจ แล้วก็รู้จักสร้างตบะบารมีให้มีให้เกิดขึ้น ในกายในจิตของเรา จิตของทุกคนมีศรัทธาน้อมเข้ามาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม แล้วก็ฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทานอยู่ตลอดเวลา
เราต้องทำความเข้าใจกับความหมาย แม้ตั้งแต่เรื่องของการให้ทาน เราให้ทาน ลักษณะของการให้ทาน ทานอย่างไร คำว่าทาน ความหมายของคำว่าทาน ทานไปเพื่ออะไร ในหลักธรรมแล้ว การให้ทานเพื่อที่จะชำระกิเลสออกจากจิตจากใจของเรา กิเลสหยาบๆ ไปหากิเลสละเอียดที่สุด
การรักษาศีล เราก็ต้องทำความเข้าใจกับศีล ศีลระดับสมมติ ศีลระดับสังคม จนกระทั่งถึงอธิจิต อธิศีล ถึงตัวศีลจริงๆ ก็ตัวจิตของเรานั้นแหละ จิตของเราปกติ จิตของเราสงบ นั่นแหละคือตัวศีล ไม่ใช่ว่าเราจะไปพร่ำวอนขออยู่ตลอดเวลา อันนี้ยังไม่ใช่ ตื่นขึ้นมากายวาจาของเราก็ปกตินั่นแหละ ก็คือศีลทางกายทางวาจา ใจปกตินั่นก็คือศีล
เราต้องสำรวจ สร้างความรู้ตัวหรือว่าเจริญสติเข้าไปสำรวจดู ส่วนมากเราก็ไปเอาตั้งแต่ปัญญาที่เกิดจากจิตเกิดจากขันธ์ห้า ซึ่งเขาหลงกันอยู่ เราถึงมาสร้างผู้รู้ มาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่เข้าไปสำรวจ เรารู้ไม่เท่าทันการเกิดของขันธ์ห้า การเกิดของจิต เราก็ใช้สมถะเข้าไปดับ แล้วแต่อุบายของแต่ละคน แล้วแต่อุบายของแต่ละท่าน ที่จะทำให้จิตของตัวเองสงบได้
ไม่ใช่ว่าจะปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา กายของเรานี้เกิดมามีอะไรบ้าง เราต้องดูต้องรู้ อะไรคือส่วนรูปธรรม อะไรคือส่วนนามธรรม เราไม่เข้าใจแนวทางเราถึงแสวงหาแนวทาง แนวทางนั้นมีอยู่ตั้งนานแล้ว พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม การดำเนินจิต การดำเนินชีวิต ไปในลักษณะอย่างไรถึงจะถึงจุดหมายปลายทาง พระพุทธองค์ท่านค้นพบเรื่องการดับทุกข์ อะไรคือทุกข์ อะไรคือสาเหตุแห่งทุกข์
ทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับวิมุตติ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ ทำไมถึงอยู่ร่วมกัน สมมติกับวิมุตติถึงอยู่ร่วมกัน อะไรคืออัตตา อะไรคืออนัตตา ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ ถึงจะเห็น ถึงจะเข้าใจ
ท่านถึงบอกว่าให้ละทิฏฐิ ละมานะ ละความเห็นแก่ตัวต่างๆ มองดูให้รู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง กายของเราทำหน้าที่อย่างไรบ้าง ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไรบ้าง ภาษาธรรมภาษาโลก สักแต่ว่าดูสักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าฟังเป็นลักษณะอย่างไร การแยกรูปรสกลิ่นเสียงออกจากจิตของเราเป็นอย่างไร หูตาจมูกลิ้นกายเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง ตัววิญญาณหรือว่าดวงจิตของเราอยู่ในลักษณะอย่างไร
เราต้องจำแนกแจงให้ชัดเจน แม้ตั้งแต่ความรู้สึกตัว แม้ตั้งแต่การเจริญสติ ตั้งแต่เช้าขึ้นมาเราได้สร้างให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง คนที่จะเข้าไปถึงจุดหมายปลายทางต้องเป็นบุคคลที่มีความเสียสละอย่างยิ่งยวด มีความเสียสละอย่างสูง และก็มีความขยันหมั่นเพียรในการวิเคราะห์ ในการสำเหนียก ในการน้อม
ทุกคนก็ได้ผ่าน ได้ศึกษา ได้ยินได้ฟังกันมามากพอ ทุกคนมีสติมีปัญญา เมื่อรู้แนวทางแล้ว กายวิเวกเป็นอย่างนี้ จิตวิเวกเป็นอย่างนี้ จิตวิเวกจากการเกิดเป็นอย่างนี้ จิตวิเวกจากอารมณ์ จากขันธ์ห้า จากกิเลสเป็นอย่างนี้
จิตของคนเรานี่ก็แปลก ถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติ ไม่ได้ขัดเกลา เขาก็ทั้งหลงทั้งเกิด เป็นทาสของอารมณ์เป็นทาสของกิเลส กิเลสเป็นหน้าตาอย่างไร อาการอย่างไร เราก็ยังไม่เคยเห็น เรารู้ตั้งแต่ชื่อของเขา แม้ตั้งแต่ความโกรธ มันโกรธขึ้นมาแล้วเราถึงรู้ มีความอยาก ความทะเยอทะยานอยาก มันอยากขึ้นมาแล้วเราถึงรู้
เราไม่รู้ตั้งแต่เขาก่อตัวอย่างไร ต้นเหตุเป็นอย่างไร เราไม่เข้าไปดับถึงขณะเขาก่อตัว เพราะว่ากำลังสติของเรามีน้อย หรือบางทีแทบไม่ได้สร้างกันเลย แทบไม่มีกันเลย เวลาจิตเกิดความโกรธที ความโลภที ความอยากที ถึงจะเข้าไปดับ เข้าไปหยุดเข้าไปยับยั้ง มันจะไปทันได้อย่างไร เพราะว่าเราไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่องตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
ถ้าเราเจริญสติให้ต่อเนื่องอยู่ปัจจุบันตั้งแต่ตื่นขึ้นมา พอตื่นขึ้นมาปุ๊บ ความรู้ตัวรู้การหายใจเข้าออก รู้ความปกติของจิต สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน จิตจะก่อตัวก็รู้เท่าทัน ความคิดจะผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตก็รู้เท่าทัน เพียงแค่ดำเนินจุดนี้ให้ได้เสียก่อน ถ้าเรารู้เท่าทันจิตกับขันธ์ห้าเขาจะแยกออกจากกัน ถ้าเราเห็นตรงนี้เราก็ตามทำความเข้าใจตรงนี้ นั่นแหละถึงจะเรียกว่าวิปัสสนา หรือว่าสัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้
เพียงแค่เริ่มต้น ทีนี้กำลังสติของเราจะตามทำความเข้าใจให้รู้ ให้รู้เห็นตามความเป็นจริงทุกอย่าง เราก็จะเข้าใจในเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้า ว่าเขาเกิดอย่างไร จิตของเราเข้าไปหลงเข้าไปรวมเข้าไปยึด ทำให้เกิดอัตตาตัวตน ถ้าเราแยกตรงนี้ได้คลายตรงนี้ได้จิตของเราก็วางอัตตาตัวตนได้ เราอาจจะมองเห็นอัตตาตัวตนตั้งแต่ทางด้านรูปธรรมคือก้อนเนื้อ แต่ส่วนจิตกับความคิดอีก ลึกๆ ลงไปอีกตรงนั้นเราไม่ได้แยก ถ้าเราแยกได้ จิตก็จะวางอัตตาตัวตนได้ทันที
แต่เขาก็อยู่ร่วมกัน จิตกับกายก็อาศัยกันอยู่ ถ้าถึงวาระถึงเวลาจริงๆ นั่นแหละ เขาถึงจะแตกจะดับ คนส่วนมากจะเอาตั้งแต่ปัญญาอย่างเดียว จะเอาตั้งแต่ปัญญา แม้ตั้งแต่จะคิดพิจารณาในธรรมก็ยังเป็นกิเลสธรรม ตราบใดที่ยังแยกไม่ได้
บางครั้งบางคราวจิตของเราก็ปกติ จิตก็สงบอยู่ แต่ยังคลายออกจากขันธ์ห้าไม่ได้ นี่ก็เปรียบเสมือนกับขันที่ยังคว่ำอยู่ ถ้าแยกได้คลายได้เมื่อไหร่ นั่นแหละเขาถึงจะหงายขึ้นมา เหมือนกับหงายของที่คว่ำ
ทีนี้การสำรวจการตามทำความเข้าใจ ถ้าเราไม่ขยันหมั่นเพียร เขาก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิม ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร ไม่ให้กิเลส ความทะเยอทะยานอยากเล็กๆ น้อยๆ เข้ามารบกวนจิตใจของเราได้เลย ความอยากแม้แต่นิดเดียวไม่ให้เกิดขึ้นที่จิต ไม่ต้องไปเอาความอยากตัวใหญ่ๆ หรอกเอาตัวเล็กๆ นั่นแหละ ที่เขาเกิด เราดับได้ไหม เราละได้ไหม เราต้องพยายามดูตรงจุดนี้เสียก่อน
ถ้าเรามีสติคอยตรวจดูรู้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา เราก็จะได้ฟังธรรมตลอดเวลา ตากระทบรูปจิตเกิดหรือไม่ หูกระทบเสียงจิตเกิดหรือไม่ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็จะเป็นอาจารย์สอนธรรมะให้เราอยู่ตลอดเวลา ส่วนการตามทำความเข้าใจกับขันธ์ห้า มีเรื่องอะไรบ้างที่เขาเข้ามาปรุงแต่งจิตของเรา
บางทีก็เป็นเรื่องอดีตซึ่งเรียกว่าอาการของสัญญา บางทีจิตของเราเข้าไปเสวยซึ่งเรียกว่ายินดียินร้าย บางทีก็เป็นทุกขเวทนาบ้าง บางทีก็สุขเวทนาบ้าง บางทีก็เป็นกลางๆ เราก็ต้องพยายามจำแนกออกให้เห็นเป็นชิ้นๆ ส่วนๆ เป็นกอง ที่เราสวดท่องกันทุกวันว่า ขันธ์ห้าเป็นของหนักๆ
นี่แหละ ถ้ารู้ตรงนี้แล้ว มันก็วางอัตตาตัวตนได้ กายสมมติก็มีอยู่ เราต้องทำความเข้าใจกับสมมติก้อนนี้ แล้วก็ทำความเข้าใจกับโลกธรรมแปด การชำระสะสางกิเลสก็ตามมาอีก เราชำระสะสางกิเลสได้มากได้น้อย สภาวะจิตของเราก็จะค่อยขยับเขยื่อนเลื่อนขึ้นไป สู่ที่สูงเรื่อยๆ จนเป็นอริยะห่างไกลจากกิเลส
จนจิตไม่มีกิเลส หน่วงเหนี่ยวเอาความว่างเป็นอารมณ์ ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘นิพพาน’ จิตยังเกิดอยู่จิตก็ยังไม่เที่ยง จิตไม่เกิด จิตนิ่ง จิตสงบ ปราศจากกิเลสเขาเรียกว่า ‘จิตเที่ยง นิพพานก็เที่ยง’
ไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอก นิพพาน หาอยู่ในใจของเรานี่แหละ ไม่ต้องไปดิ้นรนหาที่ไหน การจะเข้าสู่ที่สูงได้ต้องเป็นคนที่มีความขยันหมั่นเพียร ทั้งภายนอกทั้งภายใน แม้ตั้งแต่ภาระหน้าที่ภายนอก หรือว่าสมมติภายนอกเราก็พยายามทำให้เรียบร้อยให้บริบูรณ์ ไม่ใช่ว่าจะเอาตั้งแต่ธรรม ความเสียสละไม่มี มีตั้งแต่ความเห็นแก่ตัว มันจะไปได้อย่างไร
เราต้องเป็นบุคคลที่มีความเสียสละ ออกให้หมด สำรอกกิเลสออกให้มันหมด เราไม่แก้ไขตัวเราไม่มีใครที่จะแก้ให้ตัวเราได้เลย นอกจากตัวของเราเอง
การทำบุญ การให้ทาน พวกเรามีโอกาสได้ทำร่วมกัน ทำบุญเราก็ทำ ทำบุญทางด้านสมมติ เราก็พยายามหมั่นสำรวจตรวจตราดูตัวเราอยู่ตลอดเวลา เรามีความเสียสละเต็มที่หรือไม่ เรามีความอดทนอดกลั้นจากเหตุการณ์ต่างๆ หรือไม่ เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน เรามีพรหมวิหาร มองโลกในทางที่ดี คิดดี ไม่อคติ ไม่เพ่งโทษ เรารู้จักสำรวมกายอินทรีย์ของเราไหม
แต่ละวันตื่นขึ้นมา ก่อนที่จะพูด พูดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์เราก็ไม่พูด แม้ตั้งแต่สติปัญญา คิด คิดก็ในทางที่ดี ถ้าเป็นคิดอกุศลเราก็พยายามละพยายามดับ
ตราบใดที่เรายังขยันหมั่นเพียร เราต้องเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ว่าไม่มีเวลา การได้ยินได้ฟังการได้ปฏิบัติ บางคนบางท่านก็ไปปฏิบัติที่นู่นมาที่นี่มา อันนั้นก็เป็นการดี ไม่ใช่ว่าไม่ดี เป็นการสร้างบารมี ตราบใดที่เรายังเดิน ยังแยกยังคลายจิตออกจากขันธ์ห้าไม่ได้
เราก็ต้องพยายามสร้างอานิสงส์ให้ถึงจุดหมายปลายทาง หมั่นสะสมตบะตรงนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าถึงวาระถึงเวลาเราก็ต้องแยกรูปแยกนามได้ เพราะว่าอะไร เพราะว่าการบ่มการอบรม กาลเวลาเท่านั้นที่จะทำให้จิตของเราเข้มแข็งขึ้นมา ทำให้จิตของเราถึงจุดหมายปลายทางได้
เหมือนกับการปลูกผลหมากรากไม้ ถ้าเราปลูกผลหมากรากไม้วันนี้ เราจะเร่งให้เขาออกดอกออกผลวันนี้ก็ไม่ได้ เราหมั่นรดน้ำ หมั่นพรวนดิน หมั่นดูแลเขา เมื่อเขาเติบโตขึ้นมา ถึงวาระถึงเวลาที่เขาจะออกดอกออกผล เขาก็ต้องออกดอกออกผล เราไปห้ามไม่ได้ อย่าเพิ่งออกนะ ไม่ได้ ถึงเวลาเขาออกผลเขาก็ต้องออกผล ถึงเวลาสุกเขาก็ต้องสุก เราไม่อยากจะได้เราก็ต้องได้ เพราะว่าการดูแลการรักษาของเรามี
การปฏิบัติจิตก็เหมือนกัน เราหมั่นสำรวจ หมั่นแก้ไข หมั่นปรับปรุง รู้จักหมั่นวิเคราะห์ หมั่นพิจารณาตัวเองอยู่บ่อยๆ อยู่เนืองๆ จนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ ถึงวาระเวลา จิตของเราต้องสงบ ต้องสะอาด ต้องบริสุทธิ์ นี่แหละ อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลาเลย อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองเลย ทุกคนก็มาด้วยวิบากของกรรมกันทั้งนั้น
สร้างกรรมมาดีแล้วถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ บางคนบางท่านก็สร้างอานิสงส์มามาก บางคนบางท่านก็เพิ่งจะมาสร้าง แต่ก็สร้างกันมาทุกคน อย่าไปท้อแท้ อย่าไปอ่อนแอ พยายาม ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ ให้กำลังใจตัวเองตลอดเวลา
ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่าย ถ้าเรามีสตินั่นแหละคือการฝึกฝนตนเอง ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเขาบังคับ ว่าต้องนั่งนะ ต้องทำนะ ต้องฝึกนะ บุคคลเช่นนั้นไปไม่ถึงไหนหรอก คนมีสติมีปัญญาอยู่ที่ไหนก็ได้ฟังธรรม อยู่ที่ไหนก็ได้เข้าวัดตลอดเวลา ไม่เสียกาลเสียเวลา
หมั่นสร้างบุญ สร้างกุศล สร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้น ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า ประโยชน์ถึงจุดหมายปลายทางคือความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น ไม่ต้องกลับมาเกิด ไม่อยากจะเกิดเราต้องดับความเกิด รู้จุดเกิด รู้จุดดับ
แม้ตั้งแต่การเจริญสติเข้าไปคลายความหลงพวกเราก็ยังทำกันไม่ได้ ไม่ต่อเนื่องกัน จะไปเอาปัญญาอันสูงๆ ได้อย่างไร เราก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา อันนี้เพียงแค่เล่าให้ฟัง