หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 002

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 002
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 002
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนจงสร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเอง อันนี้เป็นการย้ำเป็นการเตือน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเรารู้การหายใจเข้าออกของเราต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง เรามีความรู้สึกรับรู้ว่าจิตของเราปกติ หรือว่าจิตของเราฟุ้งซ่าน จะลุกจะก้าวจะเดิน จิตของเราสงบนิ่งอยู่หรือไม่ สติปัญญาของเราไปทำหน้าที่แทนได้รึเปล่า

เราก็ต้องพยายาม เป็นงานชิ้นโบว์แดงของทุกคน ที่จะต้องสำรวจกายสำรวจจิตของตัวเรา ทำไมจิตของเราถึงเกิด เวลาเขาก่อตัว เวลาเขาเกิดเขาเริ่มก่อตัวอย่างไร เขาเริ่มคิดอย่างไรนั่นแหละ เขาเริ่มคิด ลักษณะอาการของความคิดเขาเป็นอย่างไร บางทีก็มีความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต เขาเกิดขึ้นได้อย่างไร

เราต้องสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ถ้าเราไม่มีความรู้ตัวได้ต่อเนื่องก็อยากที่จะรู้จิต รู้ลักษณะของจิต รู้ลักษณะของอาการของความคิด ซึ่งภาษาธรรมะท่านเรียกว่ารอบรู้ในกองสังขาร ในขันธ์ห้าของตัวเราเอง ขันธ์ห้านั้นมีอะไรบ้าง

ส่วนมากพวกเราอาจจะรู้ตั้งแต่เทียน 5 คู่ ดอกไม้ 5 คู่ ว่าเป็นขันธ์ห้า เวลาเข้าไปกราบพระ แล้วก็เด็ดดอกไม้สัก 5 คู่ เทียนสัก 5 คู่ ไปถวายท่าน อันนั้นเป็นความหมาย ว่ามอบขันธ์ห้า คือมอบกายของเรานี่แหละ เข้ามาสู่คุณพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์

แต่เราไม่รู้ เพราะว่าเราขาดการเจริญสติเข้าไปจำแนกแจกแจง ก็เลยไม่รู้ว่ากายของเรานี่มีอยู่ 5 ขันธ์ ซึ่งเขาก็รวมกันอยู่ มีหนังหุ้มห่ออยู่ มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง ที่พระพุทธองค์ท่านจำแนกแจกแจงออกให้เห็นเป็นคนละส่วนละส่วนกัน ท่านถึงว่าขันธ์ห้าของเรานี้ ร่างกายของเรานี้ เป็นร่างกายในทางสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วก็เป็นแค่เพียงสภาวธรรมที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป

ถ้าเราไม่พิจารณาให้เห็นถ่องแท้จริงๆ ก็ยากที่จะเข้าใจ เข้าใจในเรื่องสมมติ เข้าใจในเรื่องวิมุตติ ถ้าเราเข้าใจแยกรูปแยกนามได้ เราก็จะเข้าใจในเรื่องสมมติ ในเรื่องวิมุตติ ในเรื่องอัตตา ในเรื่องอนัตตา ถ้าเห็นการเกิดของจิตส่งออกไปภายนอก เราก็จะเข้าใจในเรื่องหลักของอริยสัจ ว่าสมุทัยเป็นอย่างไร

ถ้าเราแยกจิตออกจากความคิดได้ เราก็จะเข้าใจในเรื่องการคลายความหลง ตามทำความเข้าใจ แล้วก็ละ ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีอยู่ ลองสังเกตดูสิตั้งแต่ตื่นขึ้นมา อดคิดแล้วก็อดพูด แล้วก็หัดสังเกตดูว่าความคิดเขาเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ห้ามคิดเอง จากความคิดมันก่อตัวอย่างไร จิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิดได้อย่างไร

ลองอดคิด แล้วก็อดพูด หมั่นสังเกตดู ใหม่ๆ นี้จะอึดอัดเลย จิตของเราจะอึดอัดเพราะว่าความเคยชิน เขาเคยคิดเคยเที่ยวเคยปรุงเคยแต่ง เราไม่พูดเราไม่คิดให้เขา เราไม่ส่งออกไปภายนอก อด มันส่งออกไปภายนอก เราอดเราดับเราฝืน อดนี้ยังตึงอยู่ ถ้าเราดับ อยู่กับลมหายใจ หรือว่าดับอยู่กับการเดินบ่อยๆ เขาก็จะกลับมาอยู่กับลมหายใจ หรือว่ามาอยู่กับการเดิน

ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีปัญญา ให้เราเจริญสติเข้าไปน้อมดูของเก่าของเราตรงนี้ให้เห็นเสียก่อน คลายความหลงให้ได้ก่อน ก็จะมีตั้งแต่ความสงบ ความสุข สนุกในการดูในการรู้ ว่าจิตของเราจะส่งออกไปข้างนอกเรื่องอะไรบ้าง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล ความคิดจะผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราเรื่องอะไร เรื่องอดีตเรื่องอนาคต

จะสนุก เราพลั้งเผลอให้กิเลสไหม กิเลสตัวนั้นมันมาหลอกเราจากภายนอกหรือว่าข้างใน หมั่นสำรวจจิตของตัวเรา ว่าจิตของเราฟุ้งซ่านไหม จิตของเราเกิดความยินดียินร้ายไหม เกิดความโลภความโกรธความทะเยอทะยานอยากไหม เราไม่ทำด้วยความอยากของใจหรือไม่

ถ้าทำด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผล การกระทำของเรามีพร้อม เราจะได้ในสิ่งที่เราทำหรือไม่ นี่แหละ หัดวิเคราะห์ตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเขาบังคับ เราต้องนั่งนะ ต้องเดินนะ ต้องฝึกนะ อย่างนั้นไม่ใช่ ไม่ใช่วิสัยของคนฉลาดในการรับรู้ในตัวของตัวเอง

ถ้าเรารู้จักวิธีแล้ว ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่าย อยู่กับหมู่อยู่กับคณะ เราก็สังเกตดูรู้จิตของเรา รู้ลมหายใจของเรา อยู่ที่บ้าน อยู่ที่ไร่ที่นา ที่ทำการทำงาน ก่อนที่จะคิด อะไรควรคิด สิ่งไหนที่เป็นประโยชน์ก็ค่อยคิด สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่คิด เวลาพูดเวลาจาก็เหมือนกัน พอพูดออกไปแล้วทำให้คนอื่นเดือดร้อนไหม เราเดือดร้อนไหม เราต้องวิเคราะห์ทุกเรื่อง กายวาจาแล้วก็ใจ เราต้องวิเคราะห์ตัวเองทุกเรื่อง

ไม่ใช่ว่าเข้าปฏิบัติธรรมที่โน่นที่นี่ แล้วก็ไม่รู้จักวิธีปฏิบัติ เขาพาเดินก็เดิน เขาพานั่งก็นั่ง เขาพาทำอะไรก็ทำ อันนั้นเขาเรียกว่าปฏิบัติด้วยความหลง ลูบๆ คลำๆ แค่เปลือกแค่กระพี้ เราต้องเข้าใจให้ถึงความหมายของลักษณะ รู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วย สักวันหนึ่งก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางนะ

ตั้งสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ทำกายให้โล่ง ทำสมองให้โปร่ง จิตให้ว่าง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้มีลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกที่ปลาย กระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน สมมติภาระหน้าที่ต่างๆ วางเอาไว้ ตราบใดที่เรายังคลายยังแยกไม่ได้ ตั้งสติระลึกรู้ ดูให้ต่อเนื่องกันสักนาทีสองนาทีก็ยังดี

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง