หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 093
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 093
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ญาติโยมที่มาพักอยู่ที่วัดก็หลายคนหลายท่าน กลางค่ำกลางคืนก็เยอะอยู่ พากันฝึกหัดปฏิบัติกันเอา ทุกคนก็มีข้อวัตรอยู่ในตัว ทุกคนก็ฝักใฝ่ในบุญ
อย่าไปเกียจคร้าน เกียจคร้านแล้วก็ช่วยเหลือไม่ได้ หายใจแทนกันไม่ได้ ได้แต่บอกได้แต่กล่าวได้แต่ชี้ การเจริญสติ การดับการละ การสังเกตการวิเคราะห์ การเจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน
สถานที่ก็อำนวยให้ แรงบุญแรงศรัทธา แรงความขยันหมั่นเพียรของพวกเราจะมีพอหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง การปฏิบัติจิตนี้ก็จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย ง่ายสำหรับบุคคลที่ฝักใฝ่ ง่ายสำหรับบุคคลที่มีความสนใจมีความพร้อม พร้อมทั้งสมมติพร้อมทั้งวิมุตติ พร้อมสมมติคือสมมติไม่ได้ลำบาก ถ้าสมมติยังลำบากอยู่ ภาระหน้าที่การงานก็ยังลำบากอยู่ ครอบครัวก็ยังลำบากอยู่ ก็ต้องทำสมมติให้ดี สมมติของเราติดขัดอยู่ตรงไหน เราก็ต้องรีบทำรีบแก้ไข ก็จะส่งผลถึงจิต
ไม่ใช่ว่ามาวัดแล้วจะถึงจุดหมายปลายทางได้เลย ก็เป็นไปไม่ได้ เป็นการมาพักผ่อนมาทำความเข้าใจ กายก็ได้วางภาระหน้าที่สมมติได้ระดับหนึ่ง ส่วนใจของเราก็จะได้ห่างไกลจากสมมติที่ความเป็นอยู่ สักพักหนึ่ง ก็จะได้มาสำรวจใจของตัวเราเอง
ถ้าเราแก้ไขสมมติไม่ได้ ไปนั่งอยู่ที่ไหนสมมติก็ติดอยู่ตรงนั้นแหละ ลึกลงไป สมมติการกระทำของเรา ภาระหน้าที่การงานของเรา ใกล้ๆ ตัวของเราก็ร่างกายของเราเป็นก้อนสมมติ เราต้องทำความเข้าใจ ครอบครัวก็ยังไม่พร้อม ลูกหลานก็ยังไม่พร้อม ยังลำบากอยู่ ภาระหน้าที่การงานก็ยังติดขัดอยู่ เราก็ต้องแก้ไข ถึงมีน้อยเราก็ไม่ให้ลำบาก ถึงมีมากเราก็ไม่ให้ลำบาก
ความรับผิดชอบ มีมากความรับผิดชอบก็มาก มีน้อยก็ขยันหมั่นเพียร ทำสมมติให้บริบูรณ์ ทำบ้านให้เป็นวัด ทำกายให้เป็นวัด ขยันหมั่นเพียรในการทำการทำงาน มีความรับผิดชอบที่สูง เราก็มองหาช่องทางที่จะยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ไม่เบียดเบียนตนไม่เบียดเบียนคนอื่น ถ้าทำได้ทั้งสองอย่างก็นับว่าเป็นบุคคลที่มีบุญมาก มีบุญมากมาย
ขอให้ใจของเราน้อมเข้ามาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาป มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป ขยันหมั่นเพียรในการทำบุญ คิดดีทำดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อมถึงจะเกิดประโยชน์ ไม่ใช่ว่าไปวัดแล้วจะรู้ธรรม กลับไปบ้านก็ไปว่าคนโน้นไปว่าคนนี้ ไปด่าคนโน้นไปด่าคนนี้ มันก็เหมือนเดิม
แม้ตั้งแต่ความคิด เราก็ไม่ให้เกิดอกุศล มองโลกในทางที่ดี เราก็สำรวมกายของเรา สำรวมได้ระดับไหน ระดับภายในระดับกายระดับวาจา ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก ทำความเข้าใจกับศีลสมาธิปัญญา ลักษณะของศีล ลักษณะของสมาธิ ลักษณะของปัญญา ปัญญาโลกีย์ปัญญาโลกุตระ ปัญญาดับทุกข์ ปัญญาเก่าปัญญาใหม่ ต้องสำรวจหมดทุกเรื่อง
ความอยากความยินดีเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องสำรวจหมด ละหมด ทุกคนก็มีอยู่ในตัวกันหมด แต่จะจัดระบบระเบียบของจิตได้บริสุทธิ์เต็มที่หรือไม่เท่านั้นเอง อีกอย่างหนึ่งนั้น ถ้าวิบากกรรมสมมติไม่คลายก็ยากที่จะนิ่งได้ จิตยากที่จะนิ่งได้ ต้องทำสมมติให้บริบูรณ์ ถึงจะมีน้อยก็ให้บริบูรณ์ วิมุตติก็จะชัดเจน
(ยกมาเลยคนที่มาทีหลังมาทำบุญถวายทาน แล้วเอาล้อเลื่อนมาหน่อยๆ)
ญาติโยมชาวขอนแก่นก็เริ่มมาเยอะทั้งใกล้ทั้งไกล ผู้หลักผู้ใหญ่บ้านเมืองก็พากันมา เขาพากันมาเยอะ ได้ยินข่าวได้ทราบข่าวท่านก็มา คุณงามความดี อนุภาพแห่งบุญ บุญอยู่ที่ไหนก็แผ่กระจายไพศาลไปทั่ว เมื่อวานนี้ก็ไปเอาระฆังใหญ่มา 2 ลูก ระฆังก็พอแล้ว ยังเหลือฆ้องใบหนึ่ง ฆ้องใบใหญ่ คงจะใหญ่เท่ากันหรือใหญ่กว่านี้หน่อยหนึ่งที่วิหาร
ญาติโยมท่านใดอยากจะมาร่วมทำบุญซื้อฆ้อง ทำฐานระฆังทำฐานฆ้อง ก็เปิดโอกาสให้ทุกคนได้มาร่วมกัน ส่วนวันที่ 21 ธันวานั้นก็จะได้อัญเชิญพระพุทธรูปหยกใหญ่มาประดิษฐานที่วิหารที่พวกเราได้ร่วมช่วยกันสร้างมา ปีหน้าก็เต็มอิ่มหมด ปีหน้าก็เต็มรอบหมด มีตั้งแต่จะดูแลรักษารอให้ต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาร่มรื่น
เหลือตั้งแต่งานเล็กๆ น้อยๆ เพิ่มเติมให้น่าอยู่น่าอาศัยน่ารื่นรมย์ พระเราก็ช่วยกันขยันหมั่นเพียร เพียรไปด้วยละนิวรณ์ไปด้วย ละความเกียจคร้านไปด้วย ได้ประโยชน์ไปด้วย มาวัด มาอยู่วัด ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร ถ้ามาอยู่วัดเป็นคนเกียจคร้านแล้วใช้การไม่ได้เลย อยู่บ้านก็เกียจคร้านมาวัดก็ยิ่งเกียจคร้านใหญ่ อย่างนั้นคิดผิด อยู่วัดต้องขยันหมั่นเพียรเป็นทวีคูณ ทั้งงานชำระจิตชำระกิเลส ทั้งงานภายนอกก็ทำเพื่อให้เกิดประโยชน์
คนทั่วไปก็คิดว่าเอาคนเกียจคร้านมาอยู่วัด มาให้วัด ไม่ใช่ ต้องเป็นคนขยัน คนที่จะรู้ บรรลุ คนที่จะเข้าใจในธรรมได้ต้องเป็นคนมีปัญญา คนไม่มีปัญญายากที่จะเข้าใจ เพราะว่าจิต การแยกรูปแยกนาม การชำระกิเลสการเดินปัญญาเข้าสู่วิปัสสนาเป็นของละเอียด คนไม่มีปัญญาที่แหลมคม คนไม่มีอานิสงส์ไม่มีบารมีก็ยากที่จะเดินปัญญาขั้นสูงได้
ถ้าเอาคนเกียจคร้านไม่มีปัญญาเข้ามามันก็ยิ่งห่างไกล ก็อาจจะได้อยู่ ได้อยู่ในระดับบุญระดับกุศล ได้รับความสงบเล็กๆ น้อยๆ แต่ถ้าจะให้เดินปัญญาขั้นสูง เราต้องเป็นคนมีสติปัญญาที่แหลมคม หมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ให้ถูกทาง แล้วก็ทำให้ต่อเนื่อง ถึงจะเข้าใจในธรรมะของพระพุทธองค์
ถ้าทำไม่ต่อเนื่องมันก็ไม่เข้าใจ มันก็กระท่อนกระแท่น แต่ก็ไม่เหลือวิสัยหรอก เราสร้างสะสมอานิสงส์บุญของเราไป ถึงเวลาก็เต็ม เต็มอิ่มเต็มรอบ อยู่กับสมมติก็ทำความเข้าใจกับสมมติ ไม่ให้สมมติเข้าครอบงำ แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมา การหายใจเข้าหายใจออกเรารู้เท่าทันหรือไม่ ความปกติเราสำรวจหรือไม่ จิตส่งออกไปข้างนอก ส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง
สติปัญญาไปทำหน้าที่แทน นิวรณธรรมเป็นอย่างไร ความฟุ้งซ่านเป็นอย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร เวลาตากระทบรูปหูกระทบเสียง จิตของเราเป็นอย่างไร ขณะทำการทำงานเรามีความรับผิดชอบที่สูงหรือไม่
เราต้องสำรวจทุกกระเบียดนิ้ว ทุกขณะจิตเลยทีเดียว จนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ รู้จิต จิตเกิดปุ๊บเรารีบควบคุม เรารีบดับ แต่ส่วนมากมีตั้งแต่ไปเสริมอย่างเดียว เสริมให้ปรุงให้แต่ง ไปเสวยไปยินดี เอาไปเอามาก็คิดฟุ้งซ่านไปทั่ว แล้วก็ว่าตัวเองเป็นทุกข์ คิดหนักเป็นทุกข์ ก็รู้อยู่ว่ามันทุกข์แต่ก็หยุดไม่ได้ บอกว่าอย่างนั้น
มันคิดไม่หยุด อยากจะหยุดอยู่มันหยุดไม่ได้ เพราะว่าอะไร เพราะว่ามันไม่ได้เจริญสติเข้าไปดับเข้าไปฝืน เข้าไปแยกเข้าไปคลาย คิดจนร่างกายผ่ายผอมเลยก็มี บางทีก็เป็นวิปลาส หลง ตามปกติก็เป็นวิปลาสอยู่แล้ว ทำไมถึงว่าเป็นวิปลาส วิปลาสหมายถึงหลง หลงในหลักธรรมคือหลงขันธ์ห้า หลงความคิดนี่แหละวิปลาส ความหลงตรงนั้นมันมีอยู่ แต่ในระดับของสมมตินั้นเราก็ยังประคับประคองจิต ประคับประคองกายอยู่ได้ในระดับของสมมติอยู่
แต่ในหลักธรรมแล้ว ถ้ายังแยกรูปแยกนามทำความเข้าใจ ละขันธ์ห้าไม่ได้ นั่นน่ะยังหลงอยู่ เขาถึงเรียกว่าวิปลาส หลงกันทุกคน จะหลงมากหลงน้อย หลงในบุญในกุศล
พระพุทธองค์ท่านถึงบอกว่า ถ้าจิตยังปล่อยวาง ยังคลายความหลงไม่ได้ ก็ให้ยึดอยู่ในกองกุศล หมั่นสร้างบุญเอาไว้ สูงขึ้นไปก็ละอกุศล เจริญกุศลแต่ไม่ให้ยึด ให้เป็นการสร้างประโยชน์
แต่ความไม่เข้าใจ มาหลงในอัตตาตัวตน หลงอัตตาตัวเราแล้วก็ไปหลงเอาทุกอย่างนั่นแหละ ใจอยากจะปล่อยอยากจะวางก็วางไม่ได้เพราะไม่รู้จุดวาง ถ้ารู้จุดวาง จิตยอมรับความเป็นจริงแล้วจะเอาอะไรจับยัดให้เขาก็ไม่เอาหรอก การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด เป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา เป็นทาสของอารมณ์เขาก็ไม่เอา เขารู้ว่ามันเป็นทุกข์
ช่วงที่ไม่รู้นี่แหละ มันกระโจนใส่เลย ทั้งยึดทั้งหลงทั้งติดสารพัดอย่าง เรื่องตัวเองก็ยังหนักพอแรง มีตั้งแต่เรื่องชาวบ้านมาใส่ใจตัวเอง ตั้งใจรับพร
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้รับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเอง เราต้องพยายามฝึกสร้างความรู้สึกรับรู้ให้ได้ทุกอิริยาบถ เน้นสติความรู้ตัวให้อยู่ที่กายของเรา อยู่ที่สัมผัสของลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออก แล้วก็ให้รู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
เพียงแค่การสร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง พวกเราก็ยังทำกันไม่ได้ จะไปรู้เท่าทันการเกิดการดับของจิต การเกิดการดับของขันธ์ห้า ไปจำแนกแจกแจง ไปแยกไม่ได้เด็ดขาด เพียงแค่สติยังไม่ต่อเนื่อง ทั้งที่เรารู้นั่นแหละว่าจิตเกิด แล้วก็วิ่งตามความคิด ทำตามความคิด ทำตามอำนาจของจิต ทำตามอำนาจของความทะเยอทะยานอยาก ความทะเยอทะยานอยากถึงเป็นยางเหนียว
เราต้องพยายามเอา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จิตฟุ้งซ่านก็รู้จักดับรู้จักควบคุม จะเอาตั้งแต่ธรรมอย่างเดียวไม่ได้ ก็ต้องเจริญสติ ความหมายของการเจริญสติก็เพื่อที่จะเข้าไปรู้เท่าทันจิต รู้เท่าทันขันธ์ห้า สังเกตจนจิตคลายออกจากขันธ์ห้า แยกรูปแยกนาม ทำความเข้าใจ รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในอัตตาอนัตตา เข้าใจในหลักของอริยสัจสี่ การเกิดของจิต สมุทัย การดับการละ เดินตามทาง เขาเรียกว่า ‘เดินตามทางในอริยมรรค’ มรรคคือทาง
แยกรูปแยกนามได้ สัมมาทิฏฐิ เขาเรียกว่า ‘ความรู้แจ้งเห็นจริง’ เปิดทางให้ การตามดู การรู้ การละกิเลสออก จากหยาบไปหาละเอียด จนกระทั่งถึงความบริสุทธิ์ความหลุดพ้นของจิต
เพียงแค่ขั้นตอน ทุกคนก็เดินกันมากันได้ 7-8 ชั้นแล้วแหละ ทำไมถึงว่าอย่างนั้น เพราะว่าศรัทธาความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยทุกคนก็มีอยู่ เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม มีความเสียสละในการทำบุญให้ทานอยู่ในระดับหนึ่ง แล้วก็มีความขันติมีความอดทนอดกลั้น ผ่านกาลผ่านเวลา อันนี้ก็มีอยู่ในระดับหนึ่ง ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน เข้าใจ ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก ยังไม่ชัดเจนตรงนี้ ภาษาธรรมเป็นลักษณะอย่างไร ภาษาโลกเป็นลักษณะอย่างไร นอกจากจะแยกรูปแยกนามถึงจะเข้าใจ
ถ้ายังแยกรูปแยกนามไม่ได้ก็ จิตก็ยังเป็นโลกอยู่ ถึงอยู่ในกองการทำบุญการกุศลอยู่ก็ยังเป็นโลกอยู่ จิตยังวิ่งอยู่ ถ้าแยกรูปแยกนามได้เมื่อไหร่ จิตถึงจะตกกระแสธรรม แต่กิเลสก็ยังมีอยู่ เราก็ต้องมาละกิเลสมาดับกิเลส
กิเลสเป็นหน้าตาอย่างไร เรารู้ตั้งแต่ชื่อของเขา เวลามันเกิดความโกรธเราก็รู้ว่ามันโกรธอยู่แค่นั้น แล้วก็ปล่อยให้มันดับเอง เราแทนที่จะดับตั้งแต่ภายใน ตั้งแต่มันก่อตัว แล้วก็เจริญพรหมวิหารความเมตตา ให้อภัยทาน มองโลกในทางที่ดีเข้าไปทดแทน อย่าให้ความโกรธมาริดรอนจิตใจของเราได้แม้แต่นิดเดียว
ความทะเยอทะยานอยากก็เหมือนกัน ดับความยาก ละความอยาก บางคนก็ว่าถ้าไม่มีความอยากจะทำอะไรเป็น ไม่ใช่ เราดับความอยากแล้วขยันหมั่นเพียรด้วยสติด้วยปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน ความอยากที่เกิดจากตัวจิต ความอยากความโลภความโกรธ เราต้องละเราต้องดับ
ทีนี้เราก็ทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม จิตของเราเกิดความอยาก ละความอยากด้วยการให้ด้วยการเอาออก ถ้าจะเอาจะมี เราก็เอาด้วยสติเอาด้วยปัญญา มันสนุกออก พิจารณาตัวเองแก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเอง รู้ไม่เท่าทันก็รู้จักดับ รู้จักหน้าที่ เข้าไปทดแทน มีพรหมวิหารเข้าไปทดแทน ทำยังสมมติ อะไรมันยังติดขัดอยู่ก็รีบทำรีบแก้ไข ทั้งภายนอกภายใน มีความสุขกับการกระทำ
แล้วก็รับผิดชอบ อดทนต่อกาลต่อเวลา ส่วนมากจะอดทนไม่ได้ ทำอะไรก็อยากจะได้ดั่งใจปุ๊บปั๊บๆ ไปเลย เหมือนกับไฟไหม้ฟาง เราก็ต้องค่อยทำ ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยสร้างสะสมอานิสงส์บารมีให้กับตัวเอง ไปหาประสบการณ์ที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง ครูบาอาจารย์องค์โน้นบ้าง สถานที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง อันนั้นเป็นสิ่งที่ดี
ถึงจะยังแยกรูปแยกนามเดินปัญญาไม่ได้ คลายความหลงไม่ได้ ก็เป็นการไปสร้างสะสมบุญบารมีของเรา ถ้าถึงเวลาแล้วเราย่อมจะเข้าใจ ตราบใดที่การฝักใฝ่การสนใจของเรามีอยู่ มีโอกาสก็ให้รีบไป รีบทำ อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง แล้วก็รู้จักควบคุมจิตของเรา ทำความเข้าใจกับกายทวารทั้งหกของเราให้ได้
ตื่นขึ้นมาปุ๊บ รู้ลมหายใจเข้าออก รู้กายรู้จิต การเน้นสติลงที่กาย ถ้าเรารู้จิตเราก็รู้จิตเลย ดูจิตเลย ควบคุมจิต จิตจะเกิดกิเลสเราก็ดับ ความว่างเป็นลักษณะอย่างไร ความว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างด้วยสติ ว่างด้วยปัญญา ความสงบ จิตที่ไม่เกิดก็สงบ แต่ถ้ายังคลายแยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็ยังคว่ำอยู่ เราต้องสังเกตจนกว่าเขาจะแยกจะคลาย จนกว่าจะตามดูให้ได้ อันนี้เป็นของละเอียด
แล้วก็ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่กินแก่หลับแก่นอน มีความขยันหมั่นเพียร ทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง แล้วก็ตามดูให้ได้ ไม่ปล่อยโอกาสให้กิเลสมันมาเล่นงานเอาได้เลยแหละ ส่วนมากก็ปล่อยปละละเลยไปตามอำนาจของกิเลส
บางทีก็กิเลสฝ่ายกุศลบ้างอกุศลบ้าง อยู่ในกองบุญบ้างกองบาปบ้าง ก็ต้องพยายามเอา อะไรที่จะเป็นบุญเราก็รีบทำเสีย ขณะที่ร่างกายของเรายังแข็งแรงอยู่ มีโอกาสทำก็ให้รีบทำ หลวงพ่อก็พาทำอยู่ พาทุกคนทำ เป็นสะพานเป็นทางผ่านให้เท่าที่โอกาสอำนวยให้ ขณะที่ยังมีลมหายใจ ถ้าหมดลมหายใจก็จบกัน
การทำบุญการให้ทาน การเจริญสติการเจริญสมาธิ เราก็ต้องพยายามทำ ทำได้มากได้น้อยก็ต้องพยายามทำ ไม่เข้าใจก็ยิ่งเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ สักวันหนึ่งก็คงจะเข้าใจ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ
อย่าไปเกียจคร้าน เกียจคร้านแล้วก็ช่วยเหลือไม่ได้ หายใจแทนกันไม่ได้ ได้แต่บอกได้แต่กล่าวได้แต่ชี้ การเจริญสติ การดับการละ การสังเกตการวิเคราะห์ การเจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน
สถานที่ก็อำนวยให้ แรงบุญแรงศรัทธา แรงความขยันหมั่นเพียรของพวกเราจะมีพอหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง การปฏิบัติจิตนี้ก็จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย ง่ายสำหรับบุคคลที่ฝักใฝ่ ง่ายสำหรับบุคคลที่มีความสนใจมีความพร้อม พร้อมทั้งสมมติพร้อมทั้งวิมุตติ พร้อมสมมติคือสมมติไม่ได้ลำบาก ถ้าสมมติยังลำบากอยู่ ภาระหน้าที่การงานก็ยังลำบากอยู่ ครอบครัวก็ยังลำบากอยู่ ก็ต้องทำสมมติให้ดี สมมติของเราติดขัดอยู่ตรงไหน เราก็ต้องรีบทำรีบแก้ไข ก็จะส่งผลถึงจิต
ไม่ใช่ว่ามาวัดแล้วจะถึงจุดหมายปลายทางได้เลย ก็เป็นไปไม่ได้ เป็นการมาพักผ่อนมาทำความเข้าใจ กายก็ได้วางภาระหน้าที่สมมติได้ระดับหนึ่ง ส่วนใจของเราก็จะได้ห่างไกลจากสมมติที่ความเป็นอยู่ สักพักหนึ่ง ก็จะได้มาสำรวจใจของตัวเราเอง
ถ้าเราแก้ไขสมมติไม่ได้ ไปนั่งอยู่ที่ไหนสมมติก็ติดอยู่ตรงนั้นแหละ ลึกลงไป สมมติการกระทำของเรา ภาระหน้าที่การงานของเรา ใกล้ๆ ตัวของเราก็ร่างกายของเราเป็นก้อนสมมติ เราต้องทำความเข้าใจ ครอบครัวก็ยังไม่พร้อม ลูกหลานก็ยังไม่พร้อม ยังลำบากอยู่ ภาระหน้าที่การงานก็ยังติดขัดอยู่ เราก็ต้องแก้ไข ถึงมีน้อยเราก็ไม่ให้ลำบาก ถึงมีมากเราก็ไม่ให้ลำบาก
ความรับผิดชอบ มีมากความรับผิดชอบก็มาก มีน้อยก็ขยันหมั่นเพียร ทำสมมติให้บริบูรณ์ ทำบ้านให้เป็นวัด ทำกายให้เป็นวัด ขยันหมั่นเพียรในการทำการทำงาน มีความรับผิดชอบที่สูง เราก็มองหาช่องทางที่จะยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ไม่เบียดเบียนตนไม่เบียดเบียนคนอื่น ถ้าทำได้ทั้งสองอย่างก็นับว่าเป็นบุคคลที่มีบุญมาก มีบุญมากมาย
ขอให้ใจของเราน้อมเข้ามาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาป มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป ขยันหมั่นเพียรในการทำบุญ คิดดีทำดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อมถึงจะเกิดประโยชน์ ไม่ใช่ว่าไปวัดแล้วจะรู้ธรรม กลับไปบ้านก็ไปว่าคนโน้นไปว่าคนนี้ ไปด่าคนโน้นไปด่าคนนี้ มันก็เหมือนเดิม
แม้ตั้งแต่ความคิด เราก็ไม่ให้เกิดอกุศล มองโลกในทางที่ดี เราก็สำรวมกายของเรา สำรวมได้ระดับไหน ระดับภายในระดับกายระดับวาจา ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก ทำความเข้าใจกับศีลสมาธิปัญญา ลักษณะของศีล ลักษณะของสมาธิ ลักษณะของปัญญา ปัญญาโลกีย์ปัญญาโลกุตระ ปัญญาดับทุกข์ ปัญญาเก่าปัญญาใหม่ ต้องสำรวจหมดทุกเรื่อง
ความอยากความยินดีเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องสำรวจหมด ละหมด ทุกคนก็มีอยู่ในตัวกันหมด แต่จะจัดระบบระเบียบของจิตได้บริสุทธิ์เต็มที่หรือไม่เท่านั้นเอง อีกอย่างหนึ่งนั้น ถ้าวิบากกรรมสมมติไม่คลายก็ยากที่จะนิ่งได้ จิตยากที่จะนิ่งได้ ต้องทำสมมติให้บริบูรณ์ ถึงจะมีน้อยก็ให้บริบูรณ์ วิมุตติก็จะชัดเจน
(ยกมาเลยคนที่มาทีหลังมาทำบุญถวายทาน แล้วเอาล้อเลื่อนมาหน่อยๆ)
ญาติโยมชาวขอนแก่นก็เริ่มมาเยอะทั้งใกล้ทั้งไกล ผู้หลักผู้ใหญ่บ้านเมืองก็พากันมา เขาพากันมาเยอะ ได้ยินข่าวได้ทราบข่าวท่านก็มา คุณงามความดี อนุภาพแห่งบุญ บุญอยู่ที่ไหนก็แผ่กระจายไพศาลไปทั่ว เมื่อวานนี้ก็ไปเอาระฆังใหญ่มา 2 ลูก ระฆังก็พอแล้ว ยังเหลือฆ้องใบหนึ่ง ฆ้องใบใหญ่ คงจะใหญ่เท่ากันหรือใหญ่กว่านี้หน่อยหนึ่งที่วิหาร
ญาติโยมท่านใดอยากจะมาร่วมทำบุญซื้อฆ้อง ทำฐานระฆังทำฐานฆ้อง ก็เปิดโอกาสให้ทุกคนได้มาร่วมกัน ส่วนวันที่ 21 ธันวานั้นก็จะได้อัญเชิญพระพุทธรูปหยกใหญ่มาประดิษฐานที่วิหารที่พวกเราได้ร่วมช่วยกันสร้างมา ปีหน้าก็เต็มอิ่มหมด ปีหน้าก็เต็มรอบหมด มีตั้งแต่จะดูแลรักษารอให้ต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาร่มรื่น
เหลือตั้งแต่งานเล็กๆ น้อยๆ เพิ่มเติมให้น่าอยู่น่าอาศัยน่ารื่นรมย์ พระเราก็ช่วยกันขยันหมั่นเพียร เพียรไปด้วยละนิวรณ์ไปด้วย ละความเกียจคร้านไปด้วย ได้ประโยชน์ไปด้วย มาวัด มาอยู่วัด ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร ถ้ามาอยู่วัดเป็นคนเกียจคร้านแล้วใช้การไม่ได้เลย อยู่บ้านก็เกียจคร้านมาวัดก็ยิ่งเกียจคร้านใหญ่ อย่างนั้นคิดผิด อยู่วัดต้องขยันหมั่นเพียรเป็นทวีคูณ ทั้งงานชำระจิตชำระกิเลส ทั้งงานภายนอกก็ทำเพื่อให้เกิดประโยชน์
คนทั่วไปก็คิดว่าเอาคนเกียจคร้านมาอยู่วัด มาให้วัด ไม่ใช่ ต้องเป็นคนขยัน คนที่จะรู้ บรรลุ คนที่จะเข้าใจในธรรมได้ต้องเป็นคนมีปัญญา คนไม่มีปัญญายากที่จะเข้าใจ เพราะว่าจิต การแยกรูปแยกนาม การชำระกิเลสการเดินปัญญาเข้าสู่วิปัสสนาเป็นของละเอียด คนไม่มีปัญญาที่แหลมคม คนไม่มีอานิสงส์ไม่มีบารมีก็ยากที่จะเดินปัญญาขั้นสูงได้
ถ้าเอาคนเกียจคร้านไม่มีปัญญาเข้ามามันก็ยิ่งห่างไกล ก็อาจจะได้อยู่ ได้อยู่ในระดับบุญระดับกุศล ได้รับความสงบเล็กๆ น้อยๆ แต่ถ้าจะให้เดินปัญญาขั้นสูง เราต้องเป็นคนมีสติปัญญาที่แหลมคม หมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ให้ถูกทาง แล้วก็ทำให้ต่อเนื่อง ถึงจะเข้าใจในธรรมะของพระพุทธองค์
ถ้าทำไม่ต่อเนื่องมันก็ไม่เข้าใจ มันก็กระท่อนกระแท่น แต่ก็ไม่เหลือวิสัยหรอก เราสร้างสะสมอานิสงส์บุญของเราไป ถึงเวลาก็เต็ม เต็มอิ่มเต็มรอบ อยู่กับสมมติก็ทำความเข้าใจกับสมมติ ไม่ให้สมมติเข้าครอบงำ แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมา การหายใจเข้าหายใจออกเรารู้เท่าทันหรือไม่ ความปกติเราสำรวจหรือไม่ จิตส่งออกไปข้างนอก ส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง
สติปัญญาไปทำหน้าที่แทน นิวรณธรรมเป็นอย่างไร ความฟุ้งซ่านเป็นอย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร เวลาตากระทบรูปหูกระทบเสียง จิตของเราเป็นอย่างไร ขณะทำการทำงานเรามีความรับผิดชอบที่สูงหรือไม่
เราต้องสำรวจทุกกระเบียดนิ้ว ทุกขณะจิตเลยทีเดียว จนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ รู้จิต จิตเกิดปุ๊บเรารีบควบคุม เรารีบดับ แต่ส่วนมากมีตั้งแต่ไปเสริมอย่างเดียว เสริมให้ปรุงให้แต่ง ไปเสวยไปยินดี เอาไปเอามาก็คิดฟุ้งซ่านไปทั่ว แล้วก็ว่าตัวเองเป็นทุกข์ คิดหนักเป็นทุกข์ ก็รู้อยู่ว่ามันทุกข์แต่ก็หยุดไม่ได้ บอกว่าอย่างนั้น
มันคิดไม่หยุด อยากจะหยุดอยู่มันหยุดไม่ได้ เพราะว่าอะไร เพราะว่ามันไม่ได้เจริญสติเข้าไปดับเข้าไปฝืน เข้าไปแยกเข้าไปคลาย คิดจนร่างกายผ่ายผอมเลยก็มี บางทีก็เป็นวิปลาส หลง ตามปกติก็เป็นวิปลาสอยู่แล้ว ทำไมถึงว่าเป็นวิปลาส วิปลาสหมายถึงหลง หลงในหลักธรรมคือหลงขันธ์ห้า หลงความคิดนี่แหละวิปลาส ความหลงตรงนั้นมันมีอยู่ แต่ในระดับของสมมตินั้นเราก็ยังประคับประคองจิต ประคับประคองกายอยู่ได้ในระดับของสมมติอยู่
แต่ในหลักธรรมแล้ว ถ้ายังแยกรูปแยกนามทำความเข้าใจ ละขันธ์ห้าไม่ได้ นั่นน่ะยังหลงอยู่ เขาถึงเรียกว่าวิปลาส หลงกันทุกคน จะหลงมากหลงน้อย หลงในบุญในกุศล
พระพุทธองค์ท่านถึงบอกว่า ถ้าจิตยังปล่อยวาง ยังคลายความหลงไม่ได้ ก็ให้ยึดอยู่ในกองกุศล หมั่นสร้างบุญเอาไว้ สูงขึ้นไปก็ละอกุศล เจริญกุศลแต่ไม่ให้ยึด ให้เป็นการสร้างประโยชน์
แต่ความไม่เข้าใจ มาหลงในอัตตาตัวตน หลงอัตตาตัวเราแล้วก็ไปหลงเอาทุกอย่างนั่นแหละ ใจอยากจะปล่อยอยากจะวางก็วางไม่ได้เพราะไม่รู้จุดวาง ถ้ารู้จุดวาง จิตยอมรับความเป็นจริงแล้วจะเอาอะไรจับยัดให้เขาก็ไม่เอาหรอก การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด เป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา เป็นทาสของอารมณ์เขาก็ไม่เอา เขารู้ว่ามันเป็นทุกข์
ช่วงที่ไม่รู้นี่แหละ มันกระโจนใส่เลย ทั้งยึดทั้งหลงทั้งติดสารพัดอย่าง เรื่องตัวเองก็ยังหนักพอแรง มีตั้งแต่เรื่องชาวบ้านมาใส่ใจตัวเอง ตั้งใจรับพร
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้รับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเอง เราต้องพยายามฝึกสร้างความรู้สึกรับรู้ให้ได้ทุกอิริยาบถ เน้นสติความรู้ตัวให้อยู่ที่กายของเรา อยู่ที่สัมผัสของลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออก แล้วก็ให้รู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
เพียงแค่การสร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง พวกเราก็ยังทำกันไม่ได้ จะไปรู้เท่าทันการเกิดการดับของจิต การเกิดการดับของขันธ์ห้า ไปจำแนกแจกแจง ไปแยกไม่ได้เด็ดขาด เพียงแค่สติยังไม่ต่อเนื่อง ทั้งที่เรารู้นั่นแหละว่าจิตเกิด แล้วก็วิ่งตามความคิด ทำตามความคิด ทำตามอำนาจของจิต ทำตามอำนาจของความทะเยอทะยานอยาก ความทะเยอทะยานอยากถึงเป็นยางเหนียว
เราต้องพยายามเอา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จิตฟุ้งซ่านก็รู้จักดับรู้จักควบคุม จะเอาตั้งแต่ธรรมอย่างเดียวไม่ได้ ก็ต้องเจริญสติ ความหมายของการเจริญสติก็เพื่อที่จะเข้าไปรู้เท่าทันจิต รู้เท่าทันขันธ์ห้า สังเกตจนจิตคลายออกจากขันธ์ห้า แยกรูปแยกนาม ทำความเข้าใจ รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในอัตตาอนัตตา เข้าใจในหลักของอริยสัจสี่ การเกิดของจิต สมุทัย การดับการละ เดินตามทาง เขาเรียกว่า ‘เดินตามทางในอริยมรรค’ มรรคคือทาง
แยกรูปแยกนามได้ สัมมาทิฏฐิ เขาเรียกว่า ‘ความรู้แจ้งเห็นจริง’ เปิดทางให้ การตามดู การรู้ การละกิเลสออก จากหยาบไปหาละเอียด จนกระทั่งถึงความบริสุทธิ์ความหลุดพ้นของจิต
เพียงแค่ขั้นตอน ทุกคนก็เดินกันมากันได้ 7-8 ชั้นแล้วแหละ ทำไมถึงว่าอย่างนั้น เพราะว่าศรัทธาความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยทุกคนก็มีอยู่ เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม มีความเสียสละในการทำบุญให้ทานอยู่ในระดับหนึ่ง แล้วก็มีความขันติมีความอดทนอดกลั้น ผ่านกาลผ่านเวลา อันนี้ก็มีอยู่ในระดับหนึ่ง ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียน เข้าใจ ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก ยังไม่ชัดเจนตรงนี้ ภาษาธรรมเป็นลักษณะอย่างไร ภาษาโลกเป็นลักษณะอย่างไร นอกจากจะแยกรูปแยกนามถึงจะเข้าใจ
ถ้ายังแยกรูปแยกนามไม่ได้ก็ จิตก็ยังเป็นโลกอยู่ ถึงอยู่ในกองการทำบุญการกุศลอยู่ก็ยังเป็นโลกอยู่ จิตยังวิ่งอยู่ ถ้าแยกรูปแยกนามได้เมื่อไหร่ จิตถึงจะตกกระแสธรรม แต่กิเลสก็ยังมีอยู่ เราก็ต้องมาละกิเลสมาดับกิเลส
กิเลสเป็นหน้าตาอย่างไร เรารู้ตั้งแต่ชื่อของเขา เวลามันเกิดความโกรธเราก็รู้ว่ามันโกรธอยู่แค่นั้น แล้วก็ปล่อยให้มันดับเอง เราแทนที่จะดับตั้งแต่ภายใน ตั้งแต่มันก่อตัว แล้วก็เจริญพรหมวิหารความเมตตา ให้อภัยทาน มองโลกในทางที่ดีเข้าไปทดแทน อย่าให้ความโกรธมาริดรอนจิตใจของเราได้แม้แต่นิดเดียว
ความทะเยอทะยานอยากก็เหมือนกัน ดับความยาก ละความอยาก บางคนก็ว่าถ้าไม่มีความอยากจะทำอะไรเป็น ไม่ใช่ เราดับความอยากแล้วขยันหมั่นเพียรด้วยสติด้วยปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน ความอยากที่เกิดจากตัวจิต ความอยากความโลภความโกรธ เราต้องละเราต้องดับ
ทีนี้เราก็ทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม จิตของเราเกิดความอยาก ละความอยากด้วยการให้ด้วยการเอาออก ถ้าจะเอาจะมี เราก็เอาด้วยสติเอาด้วยปัญญา มันสนุกออก พิจารณาตัวเองแก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเอง รู้ไม่เท่าทันก็รู้จักดับ รู้จักหน้าที่ เข้าไปทดแทน มีพรหมวิหารเข้าไปทดแทน ทำยังสมมติ อะไรมันยังติดขัดอยู่ก็รีบทำรีบแก้ไข ทั้งภายนอกภายใน มีความสุขกับการกระทำ
แล้วก็รับผิดชอบ อดทนต่อกาลต่อเวลา ส่วนมากจะอดทนไม่ได้ ทำอะไรก็อยากจะได้ดั่งใจปุ๊บปั๊บๆ ไปเลย เหมือนกับไฟไหม้ฟาง เราก็ต้องค่อยทำ ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยสร้างสะสมอานิสงส์บารมีให้กับตัวเอง ไปหาประสบการณ์ที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง ครูบาอาจารย์องค์โน้นบ้าง สถานที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง อันนั้นเป็นสิ่งที่ดี
ถึงจะยังแยกรูปแยกนามเดินปัญญาไม่ได้ คลายความหลงไม่ได้ ก็เป็นการไปสร้างสะสมบุญบารมีของเรา ถ้าถึงเวลาแล้วเราย่อมจะเข้าใจ ตราบใดที่การฝักใฝ่การสนใจของเรามีอยู่ มีโอกาสก็ให้รีบไป รีบทำ อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง แล้วก็รู้จักควบคุมจิตของเรา ทำความเข้าใจกับกายทวารทั้งหกของเราให้ได้
ตื่นขึ้นมาปุ๊บ รู้ลมหายใจเข้าออก รู้กายรู้จิต การเน้นสติลงที่กาย ถ้าเรารู้จิตเราก็รู้จิตเลย ดูจิตเลย ควบคุมจิต จิตจะเกิดกิเลสเราก็ดับ ความว่างเป็นลักษณะอย่างไร ความว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างด้วยสติ ว่างด้วยปัญญา ความสงบ จิตที่ไม่เกิดก็สงบ แต่ถ้ายังคลายแยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็ยังคว่ำอยู่ เราต้องสังเกตจนกว่าเขาจะแยกจะคลาย จนกว่าจะตามดูให้ได้ อันนี้เป็นของละเอียด
แล้วก็ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่กินแก่หลับแก่นอน มีความขยันหมั่นเพียร ทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริง แล้วก็ตามดูให้ได้ ไม่ปล่อยโอกาสให้กิเลสมันมาเล่นงานเอาได้เลยแหละ ส่วนมากก็ปล่อยปละละเลยไปตามอำนาจของกิเลส
บางทีก็กิเลสฝ่ายกุศลบ้างอกุศลบ้าง อยู่ในกองบุญบ้างกองบาปบ้าง ก็ต้องพยายามเอา อะไรที่จะเป็นบุญเราก็รีบทำเสีย ขณะที่ร่างกายของเรายังแข็งแรงอยู่ มีโอกาสทำก็ให้รีบทำ หลวงพ่อก็พาทำอยู่ พาทุกคนทำ เป็นสะพานเป็นทางผ่านให้เท่าที่โอกาสอำนวยให้ ขณะที่ยังมีลมหายใจ ถ้าหมดลมหายใจก็จบกัน
การทำบุญการให้ทาน การเจริญสติการเจริญสมาธิ เราก็ต้องพยายามทำ ทำได้มากได้น้อยก็ต้องพยายามทำ ไม่เข้าใจก็ยิ่งเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ สักวันหนึ่งก็คงจะเข้าใจ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ