หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 041

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 041
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 041
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนจงเจริญสติ หรือว่าสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วรู้ยัง ถ้ายังก็พยายามทำเสีย ขณะที่เรายังนั่งกำลังฟังอยู่นี่แหละ

ฟังไปด้วยน้อมสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเรา เพียงแค่เรื่องการสังเกต การสร้างความรู้ตัวกับการหายใจเข้าออก พวกเรายังทำกันไม่ชำนาญกัน จะไปรู้เท่าทันจิตได้อย่างไร รู้เท่าทันความคิดได้อย่างไร เพียงแค่การเจริญสติก็ยังไม่รู้จัก เรารู้จักกันแต่ชื่อว่า ‘ไปฝึกสติ’

ลักษณะของสติเป็นอย่างไร พวกเรายังไม่ได้สร้างขึ้นมา มันจะไปมีได้อย่างไร ถึงสร้างก็ยังทำไม่ต่อเนื่อง มันจะไปรู้เท่าทันจิตได้อย่างไร ทั้งที่จิตบางทีก็เป็นบุญอยู่ มีตั้งแต่ความอิ่มความสุขในการทำบุญในการให้ทาน แต่ขาดการสังเกต ว่าจิตที่สงบปราศจากกิเลส จิตที่แยกจากความคิดจากอารมณ์เป็นอย่างไร เวลาจิตก่อตัว จิตเกิด ลักษณะอาการเขาอย่างไร บางทีความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิดก็ผุดขึ้นมา จิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ความรู้ตัว หรือว่าสติที่เราสร้างขึ้นมา ทำอย่างไรถึงจะต่อเนื่อง

เพียงแค่สร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง พวกเราก็ยังทำกันไม่ชำนาญ หรือไม่ทำกันเลย มีตั้งแต่จะไปนึกเอาไปคิดเอา ไปปฏิบัติธรรมที่นั่นที่นี่ ไปนั่งวิปัสสนากรรมฐานอย่างนั้นอย่างนี้ อันนั้นมีแต่กิเลสมันลากไปทั้งนั้นแหละ สติยังไม่ได้สร้าง จะไปวิปัสสนาได้อย่างไร มีตั้งแต่กิเลสมันหลอกเอา

เราพยายามหัดสร้างความรับรู้การหายใจเข้าออก อันนี้เป็นส่วนหนึ่งของการรู้กาย แล้วก็พยายามรู้ให้ต่อเนื่อง การสร้างความรู้ตัวเพื่ออะไร ก็เพื่อจะรู้ทันจิต เรามีความรู้สึกตัวอยู่ปัจจุบัน จิตจะก่อตัวเราก็รู้ทัน ความคิดจะผุดขึ้นมาเราก็รู้ทัน

ขั้นแรกเราต้องสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้ได้ ทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็มีความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกปุ๊บ นิวรณ์ความเกียจคร้าน เราก็พยายามกำจัดออกไปเสีย ความกังวลความฟุ้งซ่านที่เกิดจากตัวจิต เราก็พยายามดับ อยู่กับลมหายใจ จิตก็จะมาอยู่กับลมหายใจเอง

จิตของเราเกิดความกังวล เกิดความกำหนัดยินดีในราคะรูปรสกลิ่นเสียง ขณะที่ตื่นตัวอยู่นี้ เราก็รีบควบคุมรีบดับ จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาท เราก็พยายามมองโลกในทางที่ดี ให้อภัยทานอโหสิกรรม ความรู้สึกตัวเราพลั้งเผลอเราก็พยายามสร้างขึ้นมา ตัวนี้แหละสำคัญ ไม่ค่อยจะสร้างกัน สร้างความรู้ตัว

ส่วนมากจะเน้นลงที่กาย เน้นลงที่ลมหายใจเข้าออก หรือว่าความรู้สึกรับรู้ เวลาเราลุกเราก้าวเดิน ก็ให้มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่การเดิน หรือว่าอยู่ลมหายใจ ถ้าเราทำให้เกิดความเคยชินเราก็จะรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จะทำอะไร จะลุกจะก้าวจะเดิน จิตก็นิ่งรับรู้อยู่ สติพากายไป สติเป็นตัวสั่งงาน จะรับประทานอาหาร ทำกับข้าวกับปลาจิตก็นิ่ง จะทำรสเปรี้ยวหวานมันเค็ม ก็เป็นเรื่องสติปัญญาเข้าไปปรุงเข้าไปทำ

ถ้ามีความคิดผุดขึ้นมา จิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวมเมื่อไหร่ ถ้าเรารู้ตัวสังเกตทันเมื่อไหร่ จิตของเราก็จะแยกออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ นั่นแหละ สัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริงถึงจะเปิดทางให้ สัมมาทิฏฐิข้อแรกในอริยมรรคในองค์แปด หรือว่าหนทางเดิน เดินให้ถูกทาง การพูดจาชอบ ดำริชอบ ทำการทำงานชอบ ความระลึกรู้ชอบ ก็จะตามมาหมด

เราต้องแยกให้ได้ คลายให้ได้เสียก่อน กิเลสมันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เราก็ดับมันเมื่อนั้นแหละ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสเกิดขึ้นที่กายหรือว่าเกิดขึ้นที่จิต เราต้องหมั่นพร่ำสอนตัวเอง แก้ไขตัวเอง อย่าไปเกียจคร้าน ถ้าเกียจคร้านแล้วอยู่ที่ไหนก็ไม่เจริญ กายของเราก็หนัก หนักสถานที่ หนักคนอื่น ตัวเราก็หนัก ถ้าเรามีความเกียจคร้าน เราต้องพยายามสร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้น ทั้งภายนอกทั้งภายใน

ทำด้วยสติทำด้วยปัญญา ทำเพื่อให้เกิดประโยชน์ อย่าทำด้วยอัตตาตัวตน อย่าทำด้วยทิฏฐิมานะ ถ้าเราไม่ได้เจริญสติส่วนมากก็จะพลั้งเผลอ ถ้าเราพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นใหม่ๆ จนเกิดความเคยชิน

ไม่เข้าใจเท่าไร เราก็ยิ่งเพิ่มความเพียรให้เป็นทวีคูณ ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจแล้วก็ทิ้งไป ขณะตั้งสติระลึกรู้อยู่แท้ๆ ก็ยังหลุด ถึงเราแยกรูปแยกนามได้ ไม่ตามทำความเข้าใจไม่ละอีก มันก็จะซึมเข้าสู่สภาพเดิมอีก จะต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียรจริงๆ นั่นแหละจะถึงจะได้เป็นบุคคลที่เข้าวัด ทำกายให้เป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ เจริญสติก็ไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่ว่าทำด้วยความหลง ต้องทำด้วยสติ ทำด้วยปัญญา ทำด้วยเหตุด้วยผล

ไม่ใช่ว่าให้เขาพานั่งก็นั่ง สมาธิเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ เดินจงกรมทำอย่างไรก็ไม่รู้ เดินมันทั้งวันทั้งคืนก็ยังไม่รู้ ไม่รู้จักการเจริญสติเลย มีตั้งแต่เอาปากไปพร่ำบ่นเอา บางทีก็พุทโธๆๆ พุทโธก็มีตั้งแต่จิตนั่นแหละไปว่าเอาไปท่องเอา นกแก้วนกขุนทอง

ก็ต้องสร้างความรู้ตัว อยู่กับลมหายใจหรือว่าอยู่กับการเดิน จิตก็จะมาอยู่กับลมหายใจเอง ใหม่ๆ จะให้มันอยู่มันเชื่องเลยก็เป็นไปไม่ได้ เหมือนกับเราฝึกหัดขับรถนั่นแหละ ใหม่ๆ ก็ขับไม่เป็นสะเปะสะปะ บางทีก็ดับๆ หยุดๆ ถ้าเราขับเป็นแล้ว อะไรมันก็คล่องแคล่วไปหมด เหมือนกับการเจริญสติก็เหมือนกัน ถ้าเราหมั่นฝึกฝนหมั่นเจริญสติ

การได้ยินได้ฟังได้อ่านทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะทำ จะสร้างขึ้นมาหรือไม่ กายวิเวกเป็นอย่างไร จิตวิเวกเป็นอย่างไร เราไม่เข้าใจเราก็แสวงหาสถานที่ แสวงหาครูบาอาจารย์ ในเมื่อเราเข้าใจแนวทางแล้ว เราก็ไปเริ่มทำความเพียร

การสร้างสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ รู้ไม่ทันจิตเราก็รู้จักดับ คลายไม่ได้เราก็พยายามหมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ตัวเอง อยู่คนเดียวใจของเราเป็นอย่างไร จิตของเราเป็นอย่างไร สงบไหม เกิดความอยากไหม ยินดีไหม ยินร้ายไหม จิตของเรานิ่งไหม ทำไมมันดิ้นรน เราพยายามดับพยายามฝืน ใหม่ๆ มันก็อึดอัด อึดอัดจนถึงที่สิ้นสุดนั่นแหละเขาถึงจะคลาย

ถ้าเราไม่ฝึกฝนแล้วใครเขาจะฝึกฝนให้ ไปปฏิบัติธรรมที่นั่นที่นี่ทั่วประเทศ ยังไม่รู้จักว่าสติที่ต่อเนื่องมันเป็นอย่างไร มีตั้งแต่ไปให้คนเขาพาเดินพานั่ง มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ให้คนจับจูงอยู่อย่างนั้น เราต้องขยันหมั่นเพียร ดูตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง รู้ไม่ทัน ดับวางๆ อยู่ปัจจุบัน

วางให้มันได้อยู่ปัจจุบัน เอาออกคลายออกให้มันหมดจากใจของตัวเราเอง ความอยากแม้แต่นิดเดียวอย่าให้มันเกิด อยากคิดอยากมี อยากเป็นอยากไป ลองโง่เสียก่อนสิถึงจะฉลาด ปัญญาเก่ามันมีอยู่เต็มร้อยเราก็ต้องคลายออก

เราไม่ได้ทิ้งหรอก เราต้องรู้ฐานของจิตให้ได้เสียก่อน แยกได้คลายได้จิตมันก็ว่าง มันก็อยู่ที่ศูนย์ ความว่าง ในความว่างมีดวงจิตอยู่ เหมือนกับอยู่ในศาลามีอากาศอยู่ ลักษณะของจิตมันเป็นอย่างไร ความว่างความโล่งความโปร่ง จิตที่มีกำลังจิตที่ไม่มีกำลังมันเป็นอย่างไร รู้จักสร้างกำลังจิต รู้จักสร้างเครื่องอยู่ให้จิต จิตที่ปราศจากกิเลส จิตที่ไม่เกิด จิตที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น เขาก็อยู่ในความว่าง ความว่างนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘วิหารธรรม’ เครื่องอยู่ของจิต เราก็ต้องพยายามดูให้ชัดเจน

ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็พิจารณาเหมือนกันหมด ปฏิสังขาโยอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กายไม่อยู่ในอำนาจของจิต แต่เราก็ต้องดูแลรักษากายของเรา ให้รู้จักหน้าที่ ให้รู้จักรับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา ให้รีบทำเสียขณะที่กำลังกายยังมีความแข็งแรงอยู่ ให้รีบสร้างบุญสร้างกุศล สร้างตลอดเวลา

ถ้าเจริญสติได้ตลอดเวลา จนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้ในการละ จิตของคนเรานี่ก็แปลก ชอบปิดบังอำพรางตัวเอง ชอบคิดชอบเที่ยว ชอบปรุงชอบแต่ง แล้วก็โดนขันธ์ห้ามาหลอกอีกด้วย แล้วก็ไปด้วยกัน ถ้าเรารู้จักจำแนกแจกแจง หมั่นพร่ำสอน เจริญสติเข้าไปหาเหตุหาผล จิตเขาก็จะยอมรับความเป็นจริง

การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด การเป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา แต่ทุกวันมันก็ยากอยู่นะ ถ้าไม่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ ไม่สร้างอานิสงส์ สร้างบารมีจริงๆ เราก็ต้องพยายาม ถึงจิตของเราไม่ถึงจุดหมายปลายทาง เราก็พยายามหมั่นสร้างกองบุญกองกุศลเอาไว้

ไปเถอะ ไปสร้างบุญ ไปทำที่ไหนก็เป็นบุญหมด ไปปฏิบัติธรรมที่ไหนก็เป็นการไปสร้างประสบการณ์ เป็นการสร้างตบะบารมี ถ้าอานิสงส์บารมีของเราเต็ม เราก็คงจะแยกรูปแยกนามได้ แยกรูปแยกนามได้เมื่อไหร่ เราก็จะมองเห็นอานิสงส์ในที่เราสร้างมา จิตของเราก็จะสงบ สะอาด สว่าง ได้เร็วได้ไวขึ้น

ถ้าคนเราปราศจากการสร้างบารมี จะเอาตั้งแต่ปัญญาอย่างเดียว ความเสียสละมันไม่มี มันก็ยากที่จะวางได้ เราต้องเสียสละออกให้มันหมด ขัดเกลากิเลสออกให้มันหมดจากใจของเราเอง ให้รู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย นั่นแหละถึงประกาศด้วยตัวเองได้ด้วย ไม่ต้องให้คนอื่นเขาประกาศให้ ประกาศด้วยตนเอง ว่าจิตของเราขณะนี้สะอาดไหม บริสุทธิ์ไหม สงบไหม รู้จักหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายาม

หมั่นพร่ำสอนตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น แก้ไขตัวเองให้ได้ ถ้าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แก้ไขตัวเองไม่ได้แล้วก็ลำบาก หนัก ก็ต้องพยายามกัน

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง