หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 018
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 018
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของการหายใจเข้าออกของเราให้ต่อเนื่องกันสักพักระยะหนึ่งเสียก่อน นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราได้เจริญสติ เราได้สร้างความรู้สึกน้อมเข้าไปรู้กายของเรา รู้จิตของเราแล้วหรือยัง เช้าตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ไม่ต้องไปเอาถึงวันที่ผ่านๆ มา เอาแค่ช่วงตื่นขึ้นมา เราได้เจริญสติที่ต่อเนื่องกัน แม้ตั้งแต่สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออก ซึ่งเรียกว่าอานาปานสติ พวกเราทำได้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง หรือปล่อยเวลาทิ้ง
สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว อย่าไปเพ่ง อย่าไปจดจ่อจดจ้อง ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้น จิตของเราก็มีความสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะเด่นชัด ถ้าเราไปเพ่งสมองก็จะตึง เราเอาจิตไปจดจ่อหน้าอกก็จะแน่น ให้เราพยายามสร้างความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจให้เป็นธรรมชาติที่สุด
ลมหายใจเข้ายาวๆ ความรู้สึกสัมผัสก็จะกระทบปลายจมูกก็จะเด่นชัด พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน ลมหายใจเข้าหายใจออก หายใจหยาบหายใจละเอียดเป็นอย่างไร ทุกคนก็มีลมหายใจตั้งแต่เกิด ไม่ต้องไปซื้อหา แต่เราขาดการน้อมเข้าไปสำรวจตรวจตราดู ก็เลยไม่รู้กายของตัวเรา ส่วนการเกิดการดับของจิตของความคิดนั้นมีอยู่ตลอด เพราะว่าความเคยชิน
ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ลักษณะของจิตที่ปราศจากกิเลส ลักษณะของจิตที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ลักษณะของจิตที่ไม่หลงในความคิด ไม่หลงในอารมณ์ เราก็ต้องมาเจริญผู้รู้ หรือว่ามาเจริญสติให้ต่อเนื่อง ขอให้เรามีศรัทธาน้อมกายของเรามา มีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แล้วก็ประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของท่าน ด้วยการเจริญสติเข้าไปสำรวจ ด้วยการสร้างบารมี
ศรัทธาของเรามีเต็มเปี่ยม ความเสียสละของเรามีหรือไม่ การชำระสะสางกิเลส ละความตระหนี่เหนียวแน่น ละความโลภ ละความโกรธ คลายความหลง ความหลงนี้เป็นความหลงที่ลุ่มลึก เราต้องมาเจริญสติเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ จนกว่าเราจะรู้เท่าทันการก่อตัวของความคิด รู้เท่าทันการเกิดของจิตที่จะเคลื่อนเข้าไปรวม เขาถึงจะแยกออกจากกันได้ ตรงนี้แหละที่คนไม่ค่อยจะรู้เรื่องกันเท่าไร
แต่การทำบุญ การให้ทาน ความเสียสละ พรหมวิหาร ความกตัญญูกตเวที มีวิริยะ มีความเพียร มีความอดทนอดกลั้น ผ่านกาลผ่านเวลา อันนั้นคือการปฏิบัติธรรมอยู่ในระดับของสมมติ อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ แต่ลึกๆ ลงไปการแยกรูปแยกนามซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม เราไม่ค่อยจะเข้าใจกัน เพราะว่าขาดความสนใจที่ต่อเนื่อง
อยากจะรู้ธรรม แต่วิธีเดินวิธีทำความเข้าใจเข้าไม่ถึง ก็เลยแสวงหาตั้งแต่ธรรมแต่ยังไม่รู้จักธรรม เอาจิตไปแสวงหา เราไม่ได้เจริญสติเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ดู ว่าความสงบที่แท้จริงเป็นอย่างไร จิตที่สงบปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร กายวิเวกเป็นอย่างไร จิตวิเวกเป็นอย่างไร ทวารทั้งหกหูตาจมูกลิ้นกายของเราทำหน้าที่อย่างไร ภาษาธรรมะสักแต่ว่าดูสักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าฟัง เป็นลักษณะอย่างไร เราต้องรู้ให้ละเอียด ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจให้ละเอียด เราก็อาจจะเข้าใจในระดับของปัญญาของสมมติเท่านั้นเอง
พระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอัตตา อะไรคำว่าอัตตาเป็นลักษณะอย่างไร สอนเรื่องอนัตตา คำว่าอนัตตาเป็นลักษณะอย่างไร สอนเรื่องความทุกข์ สาเหตุแห่งทุกข์ เราจะเข้าไปรู้ทุกข์ได้อย่างไร การเกิดการดับของจิตเป็นลักษณะอย่างไร สอนเรื่องหลักของอริยสัจ อริยสัจสี่เป็นลักษณะอย่างไร จิตส่งออกไปข้างนอกเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องสำรวจให้รู้ให้ละเอียดจริงๆ
การประพฤติการปฏิบัติธรรม ความหมายของการปฏิบัติอยู่ที่ไหน การเจริญสติเราจะเน้นลงอยู่ที่ไหน เน้นลงอยู่ที่กายของเรา อย่างเช่นการระลึกรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออก อันนี้เขาเรียกว่ารู้กาย รู้การเคลื่อนไหวของกายให้ต่อเนื่อง เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องพวกเรายังสร้างกันยังไม่ได้ต่อเนื่อง ต้องพยายามประคับประคองความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง ถ้าต่อเนื่องก็เรียกว่าสติสัมปชัญญะ หรือว่าเราจะเอาคำบริกรรมเข้าไปกำกับ
การเจริญสติก็เพื่อที่จะเข้าไปชำระสะสางกิเลสออกจากจิตจากใจของเรา แต่ละวันๆ จิตของเราเกิดกิเลสสักกี่ครั้ง จิตของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เป็นเรื่องอะไรบ้าง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล จิตของเราเป็นทาสกิเลสไหม มีความทะเยอทะยานอยากหรือไม่ หรือว่าความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราโดยที่ไม่ได้ตั้งใจคิด ภาษาธรรมท่านเรียกว่าอาการของขันธ์ห้า นั้นมีกี่อย่าง มีอะไรบ้าง เราต้องศึกษาให้ละเอียด
บุคคลผู้มีสติมีปัญญา ฟังนิดเดียวเท่านั้นแหละ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การควบคุมจิตควบคุมอารมณ์เป็นอย่างนี้ การสังเกตการวิเคราะห์ก็จะตามมา พอรู้จักแนวทางแล้วก็พยายามทำในใจอยู่ตลอดเวลา ยืนเดินนั่งนอนก็จะเป็นแค่เพียงอิริยาบถ หมั่นสำรวจจิตของเรา
ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด เพราะว่าความเคยชินแบบเก่า จิตเคยคิดเคยเที่ยว ชอบคิดชอบเที่ยว ชอบปรุงชอบแต่ง สารพัดเรื่องที่เขาจะไป บางทีความคิดก็ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตไปด้วยกัน ก็เลยเกิดความเคยชินแบบโลกๆ นั่นแหละ คือความหลงอยู่
ตราบใดที่เราเจริญสติไม่ต่อเนื่องก็ยากที่จะเข้าใจ เราต้องเจริญสติที่ต่อเนื่องแล้วก็สังเกต จนจิตของเราคลายออกจากขันธ์ห้า คลายออกจากความคิดได้แล้ว เราถึงจะรู้ว่าเราหลง หลงในความคิด หลงในอารมณ์ ไม่รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง นี่แหละ พยายาม
อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ว่าไม่มีเวลา ทุกคนก็มีบุญอยู่แล้ว ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนก็ได้ปฏิบัติธรรมกันมาตั้งแต่ภพก่อนๆ ถ้าไม่ได้ปฏิบัติธรรมกันมาไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์หรอก ทุกคนปฏิบัติธรรมกันมาดี แล้วก็ปฏิบัติธรรมกันมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด
การเปลี่ยนแปลงทางสภาพร่างกายจากเด็กทารก ขึ้นมาเป็นเด็กใหญ่ เด็กโต ขึ้นมาได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน รู้จักรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดี อะไรเป็นกุศลอกุศล รู้จักทำภาระหน้าที่การงาน รู้จักรับผิดชอบ อันนั้นเป็นการปฏิบัติธรรมอยู่ในระดับของสมมติ แต่ระดับของวิมุตติ ระดับการแยกรูปแยกนาม ตามทำความเข้าใจชำระสะสางกิเลส ตรงนี้นี่เองที่ว่าเราไม่ได้ปฏิบัติ
ที่เราน้อมกายของเราเข้ามา ก็เพื่อที่จะมาศึกษา เพื่อที่จะมาเจริญสติ รู้กายรู้จิตของเรา ถ้าเราเข้าใจแล้วเราก็เอาการงานของเราเป็นการปฏิบัติ ทำงานไปด้วยสังเกตจิตของเราไปด้วย จิตรับรู้ไปด้วย มีความสุขกับการกับงาน งานภายนอกก็ไม่ได้เสีย งานภายในก็ไม่ได้เสีย เอาไปใช้กับชีวิตประจำวันได้ตลอดเวลา
ถ้าเราไม่ศึกษาไม่สนใจก็ยากที่จะเข้าใจ ก็ต้องพยายาม หมั่นน้อมเข้าไปสำรวจตรวจตราดูอยู่บ่อยๆ อย่าเป็นทาสของอารมณ์ อย่าเป็นทาสของกิเลส อย่าไปอาลัยอาวรณ์กับกิเลสเลย เราพยายามหมั่นชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมด สภาวะใจของทุกคนนั้น ใจเดิมแท้นั้นสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีกิเลสหรอก กิเลสนี้มีมาทีหลัง
กิเลสเป็นหน้าตาอย่างไร เป็นลักษณะอย่างไร กิเลสหยาบกิเลสละเอียด เราต้องพยายามชำระสะสางออกให้มันหมด ไม่หมดในวันนี้วันพรุ่งนี้ก็ต้องหมด ด้วยการเจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน จิตของเราเกิดความโกรธเราก็พยายามละความโกรธ รู้จักให้อภัยทาน รู้จักอโหสิกรรม จิตของเราเกิดความทะเยอทะยานอยากเราก็ดับความอยากเสีย เราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่นออกจากจิตใจของเราด้วยการบริจาค ด้วยการให้ ให้ทั้งภายนอกให้ทั้งภายใน แล้วก็รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดีคิดดี
เรารู้จักสำรวจสำรวมกายอินทรีย์ของเราตลอดเวลา ก่อนที่จะพูดก่อนที่จะคิด พูดอะไรถึงจะเป็นประโยชน์ คิดอะไรถึงจะเป็นประโยชน์ แม้แต่ความคิดจะเป็นอกุศลหรือเป็นกิเลส เราก็พยายามละไม่ให้คิด ต่อไปข้างหน้าก็คิดด้วยสติ คิดด้วยปัญญา คิดด้วยเหตุด้วยผล ต้องพยายามศึกษากันนะ อย่าปล่อยโอกาสทิ้ง
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งเรานอนหลับ เราต้องสำรวจตรวจตราดูตัวเราเอง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า เราพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหนบ้าง กิเลสตัวไหนมาหลอกเราบ้าง จิตที่ของเราส่งออกไปข้างนอกสักกี่เรื่องสักกี่เที่ยว พวกเรายังไม่รู้กันเลย จะรู้ตั้งแต่ปัญญาทางโลกีย์ นั้นก็รู้อยู่ระดับสมมติเท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกัน
หลวงพ่อก็ขอให้ทุกคนจงพยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง ขอให้ทุกคนมีตั้งแต่ความสุขความเจริญกันนะ เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราได้เจริญสติ เราได้สร้างความรู้สึกน้อมเข้าไปรู้กายของเรา รู้จิตของเราแล้วหรือยัง เช้าตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ไม่ต้องไปเอาถึงวันที่ผ่านๆ มา เอาแค่ช่วงตื่นขึ้นมา เราได้เจริญสติที่ต่อเนื่องกัน แม้ตั้งแต่สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออก ซึ่งเรียกว่าอานาปานสติ พวกเราทำได้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง หรือปล่อยเวลาทิ้ง
สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว อย่าไปเพ่ง อย่าไปจดจ่อจดจ้อง ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้น จิตของเราก็มีความสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเราก็จะเด่นชัด ถ้าเราไปเพ่งสมองก็จะตึง เราเอาจิตไปจดจ่อหน้าอกก็จะแน่น ให้เราพยายามสร้างความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจให้เป็นธรรมชาติที่สุด
ลมหายใจเข้ายาวๆ ความรู้สึกสัมผัสก็จะกระทบปลายจมูกก็จะเด่นชัด พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน ลมหายใจเข้าหายใจออก หายใจหยาบหายใจละเอียดเป็นอย่างไร ทุกคนก็มีลมหายใจตั้งแต่เกิด ไม่ต้องไปซื้อหา แต่เราขาดการน้อมเข้าไปสำรวจตรวจตราดู ก็เลยไม่รู้กายของตัวเรา ส่วนการเกิดการดับของจิตของความคิดนั้นมีอยู่ตลอด เพราะว่าความเคยชิน
ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ลักษณะของจิตที่ปราศจากกิเลส ลักษณะของจิตที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ลักษณะของจิตที่ไม่หลงในความคิด ไม่หลงในอารมณ์ เราก็ต้องมาเจริญผู้รู้ หรือว่ามาเจริญสติให้ต่อเนื่อง ขอให้เรามีศรัทธาน้อมกายของเรามา มีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แล้วก็ประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของท่าน ด้วยการเจริญสติเข้าไปสำรวจ ด้วยการสร้างบารมี
ศรัทธาของเรามีเต็มเปี่ยม ความเสียสละของเรามีหรือไม่ การชำระสะสางกิเลส ละความตระหนี่เหนียวแน่น ละความโลภ ละความโกรธ คลายความหลง ความหลงนี้เป็นความหลงที่ลุ่มลึก เราต้องมาเจริญสติเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ จนกว่าเราจะรู้เท่าทันการก่อตัวของความคิด รู้เท่าทันการเกิดของจิตที่จะเคลื่อนเข้าไปรวม เขาถึงจะแยกออกจากกันได้ ตรงนี้แหละที่คนไม่ค่อยจะรู้เรื่องกันเท่าไร
แต่การทำบุญ การให้ทาน ความเสียสละ พรหมวิหาร ความกตัญญูกตเวที มีวิริยะ มีความเพียร มีความอดทนอดกลั้น ผ่านกาลผ่านเวลา อันนั้นคือการปฏิบัติธรรมอยู่ในระดับของสมมติ อาจจะถูกต้องอยู่ในระดับของสมมติ แต่ลึกๆ ลงไปการแยกรูปแยกนามซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม เราไม่ค่อยจะเข้าใจกัน เพราะว่าขาดความสนใจที่ต่อเนื่อง
อยากจะรู้ธรรม แต่วิธีเดินวิธีทำความเข้าใจเข้าไม่ถึง ก็เลยแสวงหาตั้งแต่ธรรมแต่ยังไม่รู้จักธรรม เอาจิตไปแสวงหา เราไม่ได้เจริญสติเข้าไปสังเกตเข้าไปวิเคราะห์ดู ว่าความสงบที่แท้จริงเป็นอย่างไร จิตที่สงบปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร กายวิเวกเป็นอย่างไร จิตวิเวกเป็นอย่างไร ทวารทั้งหกหูตาจมูกลิ้นกายของเราทำหน้าที่อย่างไร ภาษาธรรมะสักแต่ว่าดูสักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าฟัง เป็นลักษณะอย่างไร เราต้องรู้ให้ละเอียด ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจให้ละเอียด เราก็อาจจะเข้าใจในระดับของปัญญาของสมมติเท่านั้นเอง
พระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอัตตา อะไรคำว่าอัตตาเป็นลักษณะอย่างไร สอนเรื่องอนัตตา คำว่าอนัตตาเป็นลักษณะอย่างไร สอนเรื่องความทุกข์ สาเหตุแห่งทุกข์ เราจะเข้าไปรู้ทุกข์ได้อย่างไร การเกิดการดับของจิตเป็นลักษณะอย่างไร สอนเรื่องหลักของอริยสัจ อริยสัจสี่เป็นลักษณะอย่างไร จิตส่งออกไปข้างนอกเป็นลักษณะอย่างไร เราต้องสำรวจให้รู้ให้ละเอียดจริงๆ
การประพฤติการปฏิบัติธรรม ความหมายของการปฏิบัติอยู่ที่ไหน การเจริญสติเราจะเน้นลงอยู่ที่ไหน เน้นลงอยู่ที่กายของเรา อย่างเช่นการระลึกรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออก อันนี้เขาเรียกว่ารู้กาย รู้การเคลื่อนไหวของกายให้ต่อเนื่อง เพียงแค่การเจริญสติให้ต่อเนื่องพวกเรายังสร้างกันยังไม่ได้ต่อเนื่อง ต้องพยายามประคับประคองความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง ถ้าต่อเนื่องก็เรียกว่าสติสัมปชัญญะ หรือว่าเราจะเอาคำบริกรรมเข้าไปกำกับ
การเจริญสติก็เพื่อที่จะเข้าไปชำระสะสางกิเลสออกจากจิตจากใจของเรา แต่ละวันๆ จิตของเราเกิดกิเลสสักกี่ครั้ง จิตของเราส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่อง เป็นเรื่องอะไรบ้าง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล จิตของเราเป็นทาสกิเลสไหม มีความทะเยอทะยานอยากหรือไม่ หรือว่าความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตของเราโดยที่ไม่ได้ตั้งใจคิด ภาษาธรรมท่านเรียกว่าอาการของขันธ์ห้า นั้นมีกี่อย่าง มีอะไรบ้าง เราต้องศึกษาให้ละเอียด
บุคคลผู้มีสติมีปัญญา ฟังนิดเดียวเท่านั้นแหละ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การควบคุมจิตควบคุมอารมณ์เป็นอย่างนี้ การสังเกตการวิเคราะห์ก็จะตามมา พอรู้จักแนวทางแล้วก็พยายามทำในใจอยู่ตลอดเวลา ยืนเดินนั่งนอนก็จะเป็นแค่เพียงอิริยาบถ หมั่นสำรวจจิตของเรา
ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด เพราะว่าความเคยชินแบบเก่า จิตเคยคิดเคยเที่ยว ชอบคิดชอบเที่ยว ชอบปรุงชอบแต่ง สารพัดเรื่องที่เขาจะไป บางทีความคิดก็ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตไปด้วยกัน ก็เลยเกิดความเคยชินแบบโลกๆ นั่นแหละ คือความหลงอยู่
ตราบใดที่เราเจริญสติไม่ต่อเนื่องก็ยากที่จะเข้าใจ เราต้องเจริญสติที่ต่อเนื่องแล้วก็สังเกต จนจิตของเราคลายออกจากขันธ์ห้า คลายออกจากความคิดได้แล้ว เราถึงจะรู้ว่าเราหลง หลงในความคิด หลงในอารมณ์ ไม่รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง นี่แหละ พยายาม
อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ว่าไม่มีเวลา ทุกคนก็มีบุญอยู่แล้ว ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนก็ได้ปฏิบัติธรรมกันมาตั้งแต่ภพก่อนๆ ถ้าไม่ได้ปฏิบัติธรรมกันมาไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์หรอก ทุกคนปฏิบัติธรรมกันมาดี แล้วก็ปฏิบัติธรรมกันมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิด
การเปลี่ยนแปลงทางสภาพร่างกายจากเด็กทารก ขึ้นมาเป็นเด็กใหญ่ เด็กโต ขึ้นมาได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน รู้จักรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดี อะไรเป็นกุศลอกุศล รู้จักทำภาระหน้าที่การงาน รู้จักรับผิดชอบ อันนั้นเป็นการปฏิบัติธรรมอยู่ในระดับของสมมติ แต่ระดับของวิมุตติ ระดับการแยกรูปแยกนาม ตามทำความเข้าใจชำระสะสางกิเลส ตรงนี้นี่เองที่ว่าเราไม่ได้ปฏิบัติ
ที่เราน้อมกายของเราเข้ามา ก็เพื่อที่จะมาศึกษา เพื่อที่จะมาเจริญสติ รู้กายรู้จิตของเรา ถ้าเราเข้าใจแล้วเราก็เอาการงานของเราเป็นการปฏิบัติ ทำงานไปด้วยสังเกตจิตของเราไปด้วย จิตรับรู้ไปด้วย มีความสุขกับการกับงาน งานภายนอกก็ไม่ได้เสีย งานภายในก็ไม่ได้เสีย เอาไปใช้กับชีวิตประจำวันได้ตลอดเวลา
ถ้าเราไม่ศึกษาไม่สนใจก็ยากที่จะเข้าใจ ก็ต้องพยายาม หมั่นน้อมเข้าไปสำรวจตรวจตราดูอยู่บ่อยๆ อย่าเป็นทาสของอารมณ์ อย่าเป็นทาสของกิเลส อย่าไปอาลัยอาวรณ์กับกิเลสเลย เราพยายามหมั่นชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมด สภาวะใจของทุกคนนั้น ใจเดิมแท้นั้นสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีกิเลสหรอก กิเลสนี้มีมาทีหลัง
กิเลสเป็นหน้าตาอย่างไร เป็นลักษณะอย่างไร กิเลสหยาบกิเลสละเอียด เราต้องพยายามชำระสะสางออกให้มันหมด ไม่หมดในวันนี้วันพรุ่งนี้ก็ต้องหมด ด้วยการเจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน จิตของเราเกิดความโกรธเราก็พยายามละความโกรธ รู้จักให้อภัยทาน รู้จักอโหสิกรรม จิตของเราเกิดความทะเยอทะยานอยากเราก็ดับความอยากเสีย เราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่นออกจากจิตใจของเราด้วยการบริจาค ด้วยการให้ ให้ทั้งภายนอกให้ทั้งภายใน แล้วก็รู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดีคิดดี
เรารู้จักสำรวจสำรวมกายอินทรีย์ของเราตลอดเวลา ก่อนที่จะพูดก่อนที่จะคิด พูดอะไรถึงจะเป็นประโยชน์ คิดอะไรถึงจะเป็นประโยชน์ แม้แต่ความคิดจะเป็นอกุศลหรือเป็นกิเลส เราก็พยายามละไม่ให้คิด ต่อไปข้างหน้าก็คิดด้วยสติ คิดด้วยปัญญา คิดด้วยเหตุด้วยผล ต้องพยายามศึกษากันนะ อย่าปล่อยโอกาสทิ้ง
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งเรานอนหลับ เราต้องสำรวจตรวจตราดูตัวเราเอง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า เราพลั้งเผลอให้กิเลสตัวไหนบ้าง กิเลสตัวไหนมาหลอกเราบ้าง จิตที่ของเราส่งออกไปข้างนอกสักกี่เรื่องสักกี่เที่ยว พวกเรายังไม่รู้กันเลย จะรู้ตั้งแต่ปัญญาทางโลกีย์ นั้นก็รู้อยู่ระดับสมมติเท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามกัน
หลวงพ่อก็ขอให้ทุกคนจงพยายามเดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง ขอให้ทุกคนมีตั้งแต่ความสุขความเจริญกันนะ เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง