หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 97
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 97
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 97
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 4 สิงหาคม 2556
พากันดูดีๆ นะ พระเราชีเราพิจารณาปฏิสังขาโย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งอย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราต้องวิเคราะห์กายของเรา วิเคราะห์ใจของเรา ยิ่งเราได้เสียสละเวลาออกมาศึกษา ออกมาบวช ออกมาวิเคราะห์ตัวเรา ก็ยิ่งทำความเพียรให้ยิ่งยวด อย่าเป็นผู้สะสมกิเลส อย่าเป็นผู้หมักหมมกิเลสทับถมดวงใจของตัวเราเอง พยายามขัดเกลาทำความเข้าใจ แล้วก็สลัดสละกิเลสออก ละความอยากออกให้มันหมดจด อย่าให้เป็นเครื่องหมักดองสันดานในตัวเรา จะได้ไม่เสียทีเสียเที่ยวที่ได้เข้ามาศึกษามาค้นคว้า ยิ่งพระเรายิ่งเพิ่มความเพียรหนัก ยิ่งบวชเข้ามาดิ้นรนแสวงหา อย่าบวชเข้ามาเสียดายเวลา เหมือนกับการสร้างสะสมวิบากกรรมให้กับตัวเอง พยายามขัดเกลาละกิเลส อะไรที่จะเป็นกุศล อะไรที่จะเป็นอกุศล เราก็พยายามรีบทำความเข้าใจอยู่กับปัจจุบัน ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ ไม่ใช่ว่าบวชเข้ามาแล้วมาดิ้นรนแสวงหาสร้างวิบากรรมเพิ่มตัวเราเองอีก ยิ่งหนักเข้าไปอีก
อะไรที่ทำให้ใจของเราสะอาด บริสุทธิ์ หมดจด นั่นแหล่ะคือหนทาง อะไรคือความเรียบ เรียบง่าย ก็พยายามทำจะได้ไม่เสียเวลาในการแสวงหา วันนี้ก็เป็นวันแรม 15 ค่ำ ปักษ์แรก อุโบสถแรก ก็ได้มาลงที่วัดของเรา เรื่องกับข้าวกับปลาก็คงจะพากันเตรียมพร้อม ไม่ได้ลำบากเพราะว่าเป็นความปกติของทางวัด ความเป็นระเบียบเรียบร้อยก็ช่วยกันทำ ไม่ให้ปล่อยปละละเลย มีงานก็เหมือนเดิม ไม่มีงานก็เหมือนเดิม ให้เป็นบุคคลที่เตรียมพร้อม พร้อมทั้งภายใน พร้อมทั้งภายนอก บุญภายนอกเราก็ทำ การชำระสะสางกิเลสเราก็ทำ การเจริญสติเราก็ทำ
วิธีการแนวทางตามหลักของความเป็นจริงนั้น ทุกคนก็ได้ปฏิบัติธรรมกันมาหลายภพหลายชาติจนกระทั่งได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็มีการพัฒนาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งถึงปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านรูปธรรม ทางด้านร่างกาย ส่วนทางด้านสติปัญญาก็พัฒนามาเรื่อยๆ จากเด็กได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี มีความเสียสละ มีพรหมวิหารอยู่ในระดับหนึ่ง นั่นแหล่ะคือการปฏิบัติธรรมอยู่ในระดับของสมมติ แต่เราขาดการทำความเข้าใจ ขาดการเจริญสติเข้าไปดูรู้จิตวิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร ทำไมจิตของเราถึงหลง วิญญาณของเราถึงเกิดเป็นทาสของกิเลส ทาสของอารมณ์ ขาดการจำแนกแจกแจง
แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผย ให้พวกเราได้สวดได้ท่อง ได้ทำความเข้าใจ แล้วก็พยายามทำให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา ว่ากายของเราเป็นอย่างไร ขันธ์ห้าของเราเป็นอย่างไร ซึ่งเรียกว่ากองว่าขันธ์ การที่จะดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางดำเนินวิธีไหนอย่างไร การดำเนินสติเป็นลักษณะอย่างไร กายวิเวกใจวิเวกมีอยู่ในกายของเราหมดไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย ขอให้เรามีศรัทธามีความเสียสละเป็นเยี่ยม มีสัจจะกับตัวเราเอง ทุกวันนี้แสวงหาธรรมไม่รู้เรื่องธรรม เจริญสติไม่รู้จักการเจริญสติทั้งที่ทำอยู่ ทั้งที่ใจก็ปกติอยู่ บางทีใจหรือว่าวิญญาณเผยตัวออกมาให้เห็นชัดเจน แต่ก็ไม่รู้จักรักษาไม่รู้จักประคับประคอง ไม่รู้จักทำความเข้าใจ ความอยากเล็กๆ น้อยๆ อยากมีอยากเป็นอยากไป ไม่อยากมีไม่อยากเป็นไม่อยากไป มันจะกลับกันความอยากกับความไม่อยาก กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร เราอยู่กับสมมติถ้าไม่หลงไม่เกิด ความเกิดนั่นแหล่ะหลงแล้ว
เพียงแค่ความเกิด ถ้าไม่หลงไม่เกิด ทีนี้เรามาคลายความหลงเสียก่อน มาเจริญสติไปทำความเข้าใจให้ได้ รู้จักวิธีรู้จักแนวทางแล้ว ก็รู้จักไปทำ ไปดำเนินตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ทั้งพระทั้งชีทั้งฆราวาสญาติโยมข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ก็เพื่อขัดเกลากิเลสทั้งนั้น ข้อวัตรของพระ ข้อวัตรของชี ข้อวัตรของโยม ก็เพื่อที่จะละกิเลสให้เบาบาง จุดหมายปลายทางที่แท้จริง ถ้ายังฝึกยังศึกษากิเลสยังหนาอยู่ก็ใช้การไม่ได้ ตายเสียยังดีกว่า เสียเวลา พยายามขัดเกลาตัวเราให้มันได้ ใช้ตัวเองให้มันเป็น กายของเราก็หนัก แบกภาระหนักยังไม่พอ ก็ยังไปโยนภาระให้คนโน้นภาระให้คนนี้ ถ้าเราเข้าใจแล้วก็เปลี่ยนจากภาระเป็นหน้าที่ จากหน้าที่เป็นความรับผิดชอบ จนล้นออกไปสู่สังคม ก็จะอยู่ดีมีความสุข
คนเราจะไปแก้ไขตั้งแต่ภายนอกอย่างเดียว ลืมแก้ไขภายใน ต้องแก้ไขทั้งสองอย่าง ทั้งภายนอกภายใน มันถึงจะถึงจุดหมายปลายทางได้ จะไปมัวเมาเล่นเกียจคร้านก็ใช้การไม่ได้ อีกซักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฏของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง คนเราเกิดมาก็เพื่อที่จะเดินให้ถึงจุดหมายคือ ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น
ส่วนกายเนื้อถึงเวลาเขาก็ต้องแตกต้องดับ จะไปมัวเมาเล่นทำไม ก็ต้องพยายาม ให้รู้เราเข้าใจเรา พิจารณาเรา หน้าที่ของเรา ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด การสื่อความหมาย การพูดการจาการอ่านตำราก็เป็นแค่เพียงสื่อความหมายเท่านั้นเอง เราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมา กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็รู้จักละ อยากจะรวยเราก็ขยันหมั่นเพียรด้วยสติด้วยปัญญา อยากจะยังสมมติให้บริบูรณ์เราก็ขยันหมั่นเพียรด้วยสติด้วยปัญญา ไม่ให้ทำด้วยอำนาจของความอยากของกิเลส ทุกคนก็มีกันหมดนั่นแหล่ะ จะมีมากมีน้อยเราจะทำความเข้าใจให้ถูกต้องได้เท่าไหร่เท่านั้นเอง
ในหลักธรรมแม้แต่ความอยาก แม้แต่นิดเดียว ท่านก็ต้องให้ละให้ดับ ความอยาก ความเกิด การปรุงการแต่ง ทีนี้อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากในลาภในยศสารพัดอย่างมันปิดกั้นเอาไว้หมด จะเข้าใจในธรรมได้อย่างไร แต่ว่าต้องพยายามขัดเกลาออกให้มันหมด ก็รู้อยู่ธรรมมีหลายระดับ ธรรมระดับของสมมติ ระดับวิมุตติ แต่ถึงเราไม่หลุดพ้นก็ต้องพยายามให้อยู่ในคุณงามความดี คิดดีทำดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม หมั่นขัดเกลาส่วนมากก็มีตั้งแต่เรื่องของคนอื่น คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ แทนที่จะดูตัวเราแก้ไขตัวเราให้มันถึงจุดหมาย จัดการเรื่องของเราให้มันจบ เรื่องของเราจบ เหตุการณ์จากภายนอกเข้ามา ก็แก้ไขด้วยเหตุด้วยผลด้วยสติด้วยปัญญาของเรา เท่าที่กำลังของเรามีกำลังของเราเป็น
มีโอกาสหลวงพ่อก็พาสร้างพาทำอานิสงค์ทั้งสมมติทั้งวิมุตติก็ให้รีบตักตวงเอา อย่าไปปล่อยเวลาทิ้งเสียดายเวลา บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ยิ่งอยู่หลายคนยิ่งอยู่รวมกัน ความรับผิดชอบต้องเป็นทวีคูณ ไม่ใช่ว่าอันนั้นไม่ใช่หน้าที่ของฉัน อันนี้ก็ไม่ใช่หน้าที่ของเรา ไม่ใช่ เป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องดูแลช่วยกัน
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติอดทนต่อสักนิดหนึ่ง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย อย่าไปเกร็งร่างกาย ผ่อนคลายกายของเราด้วยการสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เพียงแค่หายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสร้างความรู้สึกรับรู้ที่ชำนาญ ทั้งที่การหายใจเข้าออกของเรามีอยู่ตั้งแต่เกิดเป็นเรื่องขั้นพื้นฐานของทุกคนเลยทีเดียว ถ้าหยุดหายใจเมื่อไหร่สภาพร่างกายก็ไป คนเราอยู่เนื่องด้วยลมหายใจ
แต่คนเราขาดการสร้างความรู้ตัว ไม่ทำความเข้าใจว่า ความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง รับรู้เห็นใจแยกใจออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่าวิปัสสนา อันนั้นจะตามมาทีหลัง ความคิดส่วนมากก็เกิดจากจิตวิญญาณของเรา เกิดจากขันธ์ห้าของเรา ตัวเดิมเขาหลงมาตั้งนาน เขาเกิดมาตั้งนาน ถ้าจิตวิญญาณไปหาเหตุหาผลไม่เจอหรอก เพราะว่ามันปิดกั้นตัวเองเอาไว้หมด ทั้งที่จะพิจารณาในธรรมก็ช่าง การเกิดของเขามีอยู่ ขันธ์ห้ามาปรุงแต่ใจใจปรุงแต่งรวมไปด้วยกัน จนเป็นตัวเดียวกัน แล้วก็มองรู้ด้วยปัญญา รู้อยู่ คิดก็รู้ ทำก็รู้ เขาหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้น นอกจากบุคคลที่มีศรัทธาแล้วก็เจริญสติ เข้าไปรู้จักลักษณะของสติรู้ปัจจุบันให้ต่อเนื่อง จนกลายเป็นมหาสติมหาปัญญา จนแยกแยะได้ คลายได้ ทำความเข้าใจได้ทุกเรื่อง แล้วก็มาดับความเกิดของวิญญาณให้มันหมดจด
เพียงแค่การเกิด ยอมโง่เสียก่อน ปัญญาทางโลกมีเก่งกาจขนาดไหน มีร้อยก็ต้องคลายออกทั้งร้อย ออกจากวิญญาณของเรา จนเหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์ วิญญาณของเราฉลาดด้วยความหลง ต้องคลายความฉลาดเก่าๆ ออกให้มันหมด มันก็เลยกลายเป็นวิญญาณที่โง่ เพราะไม่มีอะไร ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง เราถึงได้มาเจริญสติเป็นที่พึ่งของใจหรือว่าวิญญาณของเรา อบรมใจของเรา เขาก็จะก็เข้มแข็งขึ้นมาพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ รับรู้อะไรผิดอะไรถูก อะไรควรทำอะไรควรละ สติปัญญาของเราเข้าไปบริหารสมมติได้เร็วได้ไวขึ้น นั่นก็เต็มรอบได้ 100 เปอร์เซนต์เหมือนกัน ยิ่งเก่งกว่าเก่าเสียอีก
ปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนาที่แท้จริง อยู่กับสมมติ อะไรคือสมมติ สมมติวิมุตติเขาอยู่รวมกัน โลกกับธรรมก็อยู่รวมกัน เราจะไปทิ้งไม่ได้เลย นอกจากหมดลมหายใจนั่นแหล่ะเราถึงจะได้วางก้อนโลก ธรรมกับโลกก็อยู่ร่วมกัน จะไปเอาตั้งแต่ธรรมทิ้งโลก ไม่ยอมทำความเข้าใจกับโลก โลกก็โลกภายในกายของเรา โลกธรรมทั้งแปดอีกด้วย เราต้องรู้แจ้งเห็นจริงทำความเข้าใจ เก็บรายละเอียดให้ได้หมดกิเลสหยาบกิเลสละเอียด จนใจของเราไม่มีความอยากนั่นแหล่ะ ทีนี้เราจะทำอะไร เราก็ทำด้วยเหตุด้วยผลด้วยสติด้วยปัญญา มีตั้งแต่ประโยชน์
คนส่วนมากก็ยากอยู่นะ ถ้าไม่เอาจริงๆ ความอยากกับไม่อยาก ความเกิดของวิญญาณนั้น เขาก็ปิดกั้นตัวของเขาเอาไว้ ถึงเขาจะเกิดก็ขอให้เกิดในฝ่ายบุญฝ่ายกุศล มองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี ถ้าบุคคลที่มีความเพียรปรารถนาที่จะไม่กลับมาเกิด ก็ต้องถอนรากถอนโคนของการเกิดของวิญญาณ คลายความหลงชี้เหตุชี้ผล นั่นแหล่ะเขาเรียกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน สติปัญญาเป็นที่พึ่งของใจ ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุไม่มีผล พระพุทธองค์ท่านค้นพบแล้วชี้เหตุชี้ผลให้เดินตาม เดินอย่างนี้ทำอย่างนี้แล้วจะเข้าถึงอย่างนี้ เห็นอย่างนี้ มันมีหมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะทำให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเราได้หรือไม่ เพียงแค่การละกิเลสความอยากเราก็ยังละได้ยาก ท่านถึงว่ากิเลสนั้นเป็นยางเหนียวเกาะติดจิตใจของเรา เหมือนกับดินพอกหางหมู ก็ยาก ยากก็ต้องพยายามอดทนเอา ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ ให้อยู่ในกองบุญกองกุศล ถึงได้ไม่เสียทีเสียเที่ยวที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีโอกาสก็ให้รีบทำ
สร้างความรู้สึกรับรู้หายใจเข้าออกให้ชัดเจน เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าหายใจออกก็ให้เป็นธรรมชาติที่สุด ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกันซักพักนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กันค่อยไปสร้างสานต่อกันเอานะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 4 สิงหาคม 2556
พากันดูดีๆ นะ พระเราชีเราพิจารณาปฏิสังขาโย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งอย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราต้องวิเคราะห์กายของเรา วิเคราะห์ใจของเรา ยิ่งเราได้เสียสละเวลาออกมาศึกษา ออกมาบวช ออกมาวิเคราะห์ตัวเรา ก็ยิ่งทำความเพียรให้ยิ่งยวด อย่าเป็นผู้สะสมกิเลส อย่าเป็นผู้หมักหมมกิเลสทับถมดวงใจของตัวเราเอง พยายามขัดเกลาทำความเข้าใจ แล้วก็สลัดสละกิเลสออก ละความอยากออกให้มันหมดจด อย่าให้เป็นเครื่องหมักดองสันดานในตัวเรา จะได้ไม่เสียทีเสียเที่ยวที่ได้เข้ามาศึกษามาค้นคว้า ยิ่งพระเรายิ่งเพิ่มความเพียรหนัก ยิ่งบวชเข้ามาดิ้นรนแสวงหา อย่าบวชเข้ามาเสียดายเวลา เหมือนกับการสร้างสะสมวิบากกรรมให้กับตัวเอง พยายามขัดเกลาละกิเลส อะไรที่จะเป็นกุศล อะไรที่จะเป็นอกุศล เราก็พยายามรีบทำความเข้าใจอยู่กับปัจจุบัน ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ ไม่ใช่ว่าบวชเข้ามาแล้วมาดิ้นรนแสวงหาสร้างวิบากรรมเพิ่มตัวเราเองอีก ยิ่งหนักเข้าไปอีก
อะไรที่ทำให้ใจของเราสะอาด บริสุทธิ์ หมดจด นั่นแหล่ะคือหนทาง อะไรคือความเรียบ เรียบง่าย ก็พยายามทำจะได้ไม่เสียเวลาในการแสวงหา วันนี้ก็เป็นวันแรม 15 ค่ำ ปักษ์แรก อุโบสถแรก ก็ได้มาลงที่วัดของเรา เรื่องกับข้าวกับปลาก็คงจะพากันเตรียมพร้อม ไม่ได้ลำบากเพราะว่าเป็นความปกติของทางวัด ความเป็นระเบียบเรียบร้อยก็ช่วยกันทำ ไม่ให้ปล่อยปละละเลย มีงานก็เหมือนเดิม ไม่มีงานก็เหมือนเดิม ให้เป็นบุคคลที่เตรียมพร้อม พร้อมทั้งภายใน พร้อมทั้งภายนอก บุญภายนอกเราก็ทำ การชำระสะสางกิเลสเราก็ทำ การเจริญสติเราก็ทำ
วิธีการแนวทางตามหลักของความเป็นจริงนั้น ทุกคนก็ได้ปฏิบัติธรรมกันมาหลายภพหลายชาติจนกระทั่งได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็มีการพัฒนาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งถึงปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านรูปธรรม ทางด้านร่างกาย ส่วนทางด้านสติปัญญาก็พัฒนามาเรื่อยๆ จากเด็กได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี มีความเสียสละ มีพรหมวิหารอยู่ในระดับหนึ่ง นั่นแหล่ะคือการปฏิบัติธรรมอยู่ในระดับของสมมติ แต่เราขาดการทำความเข้าใจ ขาดการเจริญสติเข้าไปดูรู้จิตวิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร ทำไมจิตของเราถึงหลง วิญญาณของเราถึงเกิดเป็นทาสของกิเลส ทาสของอารมณ์ ขาดการจำแนกแจกแจง
แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผย ให้พวกเราได้สวดได้ท่อง ได้ทำความเข้าใจ แล้วก็พยายามทำให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา ว่ากายของเราเป็นอย่างไร ขันธ์ห้าของเราเป็นอย่างไร ซึ่งเรียกว่ากองว่าขันธ์ การที่จะดำเนินให้ถึงจุดหมายปลายทางดำเนินวิธีไหนอย่างไร การดำเนินสติเป็นลักษณะอย่างไร กายวิเวกใจวิเวกมีอยู่ในกายของเราหมดไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย ขอให้เรามีศรัทธามีความเสียสละเป็นเยี่ยม มีสัจจะกับตัวเราเอง ทุกวันนี้แสวงหาธรรมไม่รู้เรื่องธรรม เจริญสติไม่รู้จักการเจริญสติทั้งที่ทำอยู่ ทั้งที่ใจก็ปกติอยู่ บางทีใจหรือว่าวิญญาณเผยตัวออกมาให้เห็นชัดเจน แต่ก็ไม่รู้จักรักษาไม่รู้จักประคับประคอง ไม่รู้จักทำความเข้าใจ ความอยากเล็กๆ น้อยๆ อยากมีอยากเป็นอยากไป ไม่อยากมีไม่อยากเป็นไม่อยากไป มันจะกลับกันความอยากกับความไม่อยาก กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร เราอยู่กับสมมติถ้าไม่หลงไม่เกิด ความเกิดนั่นแหล่ะหลงแล้ว
เพียงแค่ความเกิด ถ้าไม่หลงไม่เกิด ทีนี้เรามาคลายความหลงเสียก่อน มาเจริญสติไปทำความเข้าใจให้ได้ รู้จักวิธีรู้จักแนวทางแล้ว ก็รู้จักไปทำ ไปดำเนินตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ทั้งพระทั้งชีทั้งฆราวาสญาติโยมข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ก็เพื่อขัดเกลากิเลสทั้งนั้น ข้อวัตรของพระ ข้อวัตรของชี ข้อวัตรของโยม ก็เพื่อที่จะละกิเลสให้เบาบาง จุดหมายปลายทางที่แท้จริง ถ้ายังฝึกยังศึกษากิเลสยังหนาอยู่ก็ใช้การไม่ได้ ตายเสียยังดีกว่า เสียเวลา พยายามขัดเกลาตัวเราให้มันได้ ใช้ตัวเองให้มันเป็น กายของเราก็หนัก แบกภาระหนักยังไม่พอ ก็ยังไปโยนภาระให้คนโน้นภาระให้คนนี้ ถ้าเราเข้าใจแล้วก็เปลี่ยนจากภาระเป็นหน้าที่ จากหน้าที่เป็นความรับผิดชอบ จนล้นออกไปสู่สังคม ก็จะอยู่ดีมีความสุข
คนเราจะไปแก้ไขตั้งแต่ภายนอกอย่างเดียว ลืมแก้ไขภายใน ต้องแก้ไขทั้งสองอย่าง ทั้งภายนอกภายใน มันถึงจะถึงจุดหมายปลายทางได้ จะไปมัวเมาเล่นเกียจคร้านก็ใช้การไม่ได้ อีกซักหน่อยก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฏของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง คนเราเกิดมาก็เพื่อที่จะเดินให้ถึงจุดหมายคือ ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น
ส่วนกายเนื้อถึงเวลาเขาก็ต้องแตกต้องดับ จะไปมัวเมาเล่นทำไม ก็ต้องพยายาม ให้รู้เราเข้าใจเรา พิจารณาเรา หน้าที่ของเรา ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด การสื่อความหมาย การพูดการจาการอ่านตำราก็เป็นแค่เพียงสื่อความหมายเท่านั้นเอง เราก็ต้องพยายามสร้างขึ้นมา กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็รู้จักละ อยากจะรวยเราก็ขยันหมั่นเพียรด้วยสติด้วยปัญญา อยากจะยังสมมติให้บริบูรณ์เราก็ขยันหมั่นเพียรด้วยสติด้วยปัญญา ไม่ให้ทำด้วยอำนาจของความอยากของกิเลส ทุกคนก็มีกันหมดนั่นแหล่ะ จะมีมากมีน้อยเราจะทำความเข้าใจให้ถูกต้องได้เท่าไหร่เท่านั้นเอง
ในหลักธรรมแม้แต่ความอยาก แม้แต่นิดเดียว ท่านก็ต้องให้ละให้ดับ ความอยาก ความเกิด การปรุงการแต่ง ทีนี้อยากในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง อยากในลาภในยศสารพัดอย่างมันปิดกั้นเอาไว้หมด จะเข้าใจในธรรมได้อย่างไร แต่ว่าต้องพยายามขัดเกลาออกให้มันหมด ก็รู้อยู่ธรรมมีหลายระดับ ธรรมระดับของสมมติ ระดับวิมุตติ แต่ถึงเราไม่หลุดพ้นก็ต้องพยายามให้อยู่ในคุณงามความดี คิดดีทำดี การกระทำของเราก็ต้องถึงพร้อม หมั่นขัดเกลาส่วนมากก็มีตั้งแต่เรื่องของคนอื่น คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ แทนที่จะดูตัวเราแก้ไขตัวเราให้มันถึงจุดหมาย จัดการเรื่องของเราให้มันจบ เรื่องของเราจบ เหตุการณ์จากภายนอกเข้ามา ก็แก้ไขด้วยเหตุด้วยผลด้วยสติด้วยปัญญาของเรา เท่าที่กำลังของเรามีกำลังของเราเป็น
มีโอกาสหลวงพ่อก็พาสร้างพาทำอานิสงค์ทั้งสมมติทั้งวิมุตติก็ให้รีบตักตวงเอา อย่าไปปล่อยเวลาทิ้งเสียดายเวลา บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ยิ่งอยู่หลายคนยิ่งอยู่รวมกัน ความรับผิดชอบต้องเป็นทวีคูณ ไม่ใช่ว่าอันนั้นไม่ใช่หน้าที่ของฉัน อันนี้ก็ไม่ใช่หน้าที่ของเรา ไม่ใช่ เป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องดูแลช่วยกัน
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติอดทนต่อสักนิดหนึ่ง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย อย่าไปเกร็งร่างกาย ผ่อนคลายกายของเราด้วยการสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เพียงแค่หายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสร้างความรู้สึกรับรู้ที่ชำนาญ ทั้งที่การหายใจเข้าออกของเรามีอยู่ตั้งแต่เกิดเป็นเรื่องขั้นพื้นฐานของทุกคนเลยทีเดียว ถ้าหยุดหายใจเมื่อไหร่สภาพร่างกายก็ไป คนเราอยู่เนื่องด้วยลมหายใจ
แต่คนเราขาดการสร้างความรู้ตัว ไม่ทำความเข้าใจว่า ความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง รับรู้เห็นใจแยกใจออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่าวิปัสสนา อันนั้นจะตามมาทีหลัง ความคิดส่วนมากก็เกิดจากจิตวิญญาณของเรา เกิดจากขันธ์ห้าของเรา ตัวเดิมเขาหลงมาตั้งนาน เขาเกิดมาตั้งนาน ถ้าจิตวิญญาณไปหาเหตุหาผลไม่เจอหรอก เพราะว่ามันปิดกั้นตัวเองเอาไว้หมด ทั้งที่จะพิจารณาในธรรมก็ช่าง การเกิดของเขามีอยู่ ขันธ์ห้ามาปรุงแต่ใจใจปรุงแต่งรวมไปด้วยกัน จนเป็นตัวเดียวกัน แล้วก็มองรู้ด้วยปัญญา รู้อยู่ คิดก็รู้ ทำก็รู้ เขาหลงอยู่ในความรู้ตรงนั้น นอกจากบุคคลที่มีศรัทธาแล้วก็เจริญสติ เข้าไปรู้จักลักษณะของสติรู้ปัจจุบันให้ต่อเนื่อง จนกลายเป็นมหาสติมหาปัญญา จนแยกแยะได้ คลายได้ ทำความเข้าใจได้ทุกเรื่อง แล้วก็มาดับความเกิดของวิญญาณให้มันหมดจด
เพียงแค่การเกิด ยอมโง่เสียก่อน ปัญญาทางโลกมีเก่งกาจขนาดไหน มีร้อยก็ต้องคลายออกทั้งร้อย ออกจากวิญญาณของเรา จนเหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์ วิญญาณของเราฉลาดด้วยความหลง ต้องคลายความฉลาดเก่าๆ ออกให้มันหมด มันก็เลยกลายเป็นวิญญาณที่โง่ เพราะไม่มีอะไร ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง เราถึงได้มาเจริญสติเป็นที่พึ่งของใจหรือว่าวิญญาณของเรา อบรมใจของเรา เขาก็จะก็เข้มแข็งขึ้นมาพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ รับรู้อะไรผิดอะไรถูก อะไรควรทำอะไรควรละ สติปัญญาของเราเข้าไปบริหารสมมติได้เร็วได้ไวขึ้น นั่นก็เต็มรอบได้ 100 เปอร์เซนต์เหมือนกัน ยิ่งเก่งกว่าเก่าเสียอีก
ปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนาที่แท้จริง อยู่กับสมมติ อะไรคือสมมติ สมมติวิมุตติเขาอยู่รวมกัน โลกกับธรรมก็อยู่รวมกัน เราจะไปทิ้งไม่ได้เลย นอกจากหมดลมหายใจนั่นแหล่ะเราถึงจะได้วางก้อนโลก ธรรมกับโลกก็อยู่ร่วมกัน จะไปเอาตั้งแต่ธรรมทิ้งโลก ไม่ยอมทำความเข้าใจกับโลก โลกก็โลกภายในกายของเรา โลกธรรมทั้งแปดอีกด้วย เราต้องรู้แจ้งเห็นจริงทำความเข้าใจ เก็บรายละเอียดให้ได้หมดกิเลสหยาบกิเลสละเอียด จนใจของเราไม่มีความอยากนั่นแหล่ะ ทีนี้เราจะทำอะไร เราก็ทำด้วยเหตุด้วยผลด้วยสติด้วยปัญญา มีตั้งแต่ประโยชน์
คนส่วนมากก็ยากอยู่นะ ถ้าไม่เอาจริงๆ ความอยากกับไม่อยาก ความเกิดของวิญญาณนั้น เขาก็ปิดกั้นตัวของเขาเอาไว้ ถึงเขาจะเกิดก็ขอให้เกิดในฝ่ายบุญฝ่ายกุศล มองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี ถ้าบุคคลที่มีความเพียรปรารถนาที่จะไม่กลับมาเกิด ก็ต้องถอนรากถอนโคนของการเกิดของวิญญาณ คลายความหลงชี้เหตุชี้ผล นั่นแหล่ะเขาเรียกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน สติปัญญาเป็นที่พึ่งของใจ ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุไม่มีผล พระพุทธองค์ท่านค้นพบแล้วชี้เหตุชี้ผลให้เดินตาม เดินอย่างนี้ทำอย่างนี้แล้วจะเข้าถึงอย่างนี้ เห็นอย่างนี้ มันมีหมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะทำให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเราได้หรือไม่ เพียงแค่การละกิเลสความอยากเราก็ยังละได้ยาก ท่านถึงว่ากิเลสนั้นเป็นยางเหนียวเกาะติดจิตใจของเรา เหมือนกับดินพอกหางหมู ก็ยาก ยากก็ต้องพยายามอดทนเอา ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ ให้อยู่ในกองบุญกองกุศล ถึงได้ไม่เสียทีเสียเที่ยวที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีโอกาสก็ให้รีบทำ
สร้างความรู้สึกรับรู้หายใจเข้าออกให้ชัดเจน เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าหายใจออกก็ให้เป็นธรรมชาติที่สุด ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกันซักพักนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กันค่อยไปสร้างสานต่อกันเอานะ