หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 32

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 32
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 32
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 32
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 19 มีนาคม 2556

หากขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ หรือว่าสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน แล้วก็ให้ต่อเนื่องกัน หยุดภาระหน้าที่ทางสมมติ เราก็หยุดมาแล้ว ถึงได้เข้ามาวัด ลึกลงไปแล้วก็มาหยุดคิด หยุดนึก หยุดปรุง หยุดแต่ง มาสร้างความรู้ตัว ให้ต่อเนื่อง ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ความรู้สึกรับรู้นั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สติ’ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาถึงจะเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ พยายามฝึกให้เกิดความเคยชินตั้งแต่ตื่นขึ้นมา

ที่บอกว่าให้หยุดนึก หยุดคิด หยุดปรุง หยุดแต่ง หมายถึงให้ตัวใจหยุด ตัวใจหรือว่าตัวจิต หรือว่าตัววิญญาณ เราไปหยุดที่ใจของเรา ใจของเราไม่คิด ไม่ปรุง ไม่แต่ง ใจของเราก็เกิดความสงบ อันนี้เขาเรียกว่า ‘สมถะ’ ขณะที่เรายืน เดิน นั่ง นอน ใจสงบอยู่ เขาเรียกว่า ‘สมถะ’ ถ้าเรามีสติรู้ตัว แล้วก็รู้กาย แล้วก็รู้ใจ รู้ว่าใจปกติ ใจจะก่อตัว เราก็จะเห็นอาการเกิดของใจ ความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจที่เราไม่ได้ตั้งใจคิด เขาเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ ตรงนั้นแหละใจของเราไปรวม ทำให้ใจของเราหลง หลงขันธ์ห้า หลงกายของเรา กายก็เลยหนัก ใจก็เลยหนัก

ถ้าเราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เราก็อาจจะไปเห็นการเกิดของใจ การเกิดของขันธ์ห้าเข้าไปรวมกัน ถ้าเราเห็นขณะเขาเคลื่อนเข้าไปรวมกัน เขาก็จะแยกออกจากกัน เราไม่จำเป็นต้องไปจับเขาแยกยากเลย เขาจะแยกออกจากกัน เวลาเราเห็นการก่อตัวของความคิด ใจจะเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าเรารู้ทันปุ๊บ ใจจะดีดออก เหมือนกับขโมยจะเข้าบ้าน เราเห็นขโมยจะเข้าบ้าน ขโมยก็รีบกระโจนหนีทันที ใจของเราก็เหมือนกัน ถ้าเราเห็นการก่อตัวการเกิดขึ้นเข้าไปรวมปุ๊บ ใจจะดีดออกแล้วก็หงายด้วย เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เขาเรียกว่า ‘หงายของที่คว่ำ’ แต่ก่อนสมมติครอบงำใจอยู่ ถ้าเรารู้เท่าทัน ใจดีดออกมันก็หงาย หงายของที่คว่ำ ตัวใจก็จะอยู่เหนือสมมติ

แต่การเกิดของใจก็ยังมีอยู่ กิเลสของใจก็ยังเต็มอยู่ เราต้องมาละกิเลสที่ใจ มาดับความเกิดของใจ ตามดูความคิดที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในขันธ์ห้า’ ซึ่งเป็นส่วนนามธรรม มันเป็นเรื่องกุศลหรือว่าอกุศล ส่วนกายของเรานี่ก็เป็นส่วนรูป แต่ส่วนมาก จะไปเหมารวมกันไปหมด ให้เรารู้จำแนกแจกแจง แยกแยะออกให้ชัดเจน แต่ละส่วน แต่ละชิ้น เราก็จะเห็นชัดเจน ถึงจะรู้ว่ากายของเรานี่เป็นกองเป็นขันธ์ แต่มีหนังเข้ามาห่อหุ้มอยู่ มีวิญญาณเข้ามาครองแล้วก็มายึดมาติด วิญญาณเราก็เกิดความทะเยอทะยานอยากอีก สารพัดอย่างที่จะปิดกั้นตัวของเขาเอาไว้ เพราะว่าการเกิดเขาก็หลง หลงเกิดมานาน จนได้มาสร้างภพสร้างชาติของภพมนุษย์ มีตั้งแต่ปัญญาของพระพุทธองค์เท่านั้นแหละ ที่แจกแจงแยกแยะออกไป รู้เห็นตามความเป็นจริง

ก็ต้องพยายามกัน อย่าไปปล่อยปละละเลย ทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ สร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมี ของเราให้เต็มเปี่ยมทั้งทางด้านรูปธรรม ทั้งทางด้านนามธรรม แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจของเรา พยายามเจริญสติให้ได้ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง​ นอน กินอยู่ ขับถ่าย อย่าไปเอาเฉพาะเวลานั่ง หมั่นสังเกต รู้ให้ รู้ถึงฐานของใจของเรา การก่อการเกิด การก่อการเกิดของขันธ์ห้าของใจ เราแจงแยกแยะให้ได้ชัดเจน ตามดู รู้เห็นตามความเป็นจริง หมั่นพร่ำสอนใจจนใจยอมรับความเป็นจริงได้ทุกเรื่อง เขารู้ความจริงแล้วเขาก็จะปล่อยก็จะวาง เขาก็จะอยู่อุเบกขา เราต้องหมั่นอบรมใจ สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละจะเข้าไปอบรมใจ

แต่เวลานี้สติของเรามีน้อย แทบจะไม่มี ถ้าเราไม่สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง เราก็ว่าเรานี่มีสติปัญญาเต็มเปี่ยม สติปัญญาเต็มเปี่ยมอยู่ แต่เป็นสติปัญญาของสมมติของโลกียะ ไม่ใช่สติปัญญาที่จะเข้าไปรู้กายรู้ใจ ละกิเลส ออกจากใจ ดับความเกิดของใจ ปัญญาเอาไปใช้กับสมมติวิมุตติ ก็ต้องพยายามไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี สร้างความขยันหมั่นเพียรความรับผิดชอบ เพียงแค่ระดับสมมติเราก็พยายามทำให้บริบูรณ์

สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักพักนะ ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสาน ต่อทำความเข้าใจกันเอานะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง