หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 113

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 113
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 113
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบายและก็วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา ภาษาธรรม ท่านเรียกว่าอานาปานสติ มีความรู้ตัว รู้กายของเรา ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่องเขาเรียกว่าสัมปชัญญะ

เราพยายามสร้างความรู้ตัวตรงนี้แหละ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ทุกอิริยาบถ เพื่อที่จะมีสติต่อเนื่อง แล้วก็รู้เท่าทันใจของเรา รู้ลักษณะของใจ ใจที่ก่อตัว ใจที่เริ่มเกิด เริ่มปรุงเริ่มแต่ง ส่งไปภายนอกเริ่มเกิดอย่างไร ความคิดผุดขึ้นมา ใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร สิ่งพวกนี้มีอยู่เดิม มีอยู่ในกายของเรา คือใจกับอาการของใจ แล้วก็ส่วนรูป เรามาสร้างสติ มาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่ให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงให้ได้เสียก่อน ขณะที่เรามีความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง เวลาใจจะเกิดจะปรุงจะแต่งส่งไปภายนอก เราก็จะรู้เท่ารู้ทัน

แต่เวลานี้กําลังสติของเรามีไม่เพียงพอ ก็เลย เหตุส่วนใจนั้นก็เป็นธาตุรู้ ทั้งรู้ ทั้งเกิด ทั้งหลง ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิดหรอก เขาหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดอยู่ในภพของมนุษย์ หลงวนเวียนว่ายอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ อันนั้นเราอย่าเพิ่งไปสนใจเขาเถอะ สนใจขณะว่าลมหายใจเข้าออก รู้ลักษณะการเกิดอยู่ขณะปัจจุบันนี่แหละ ขณะใจยังอยู่ในกายของเรานี่แหละ ถ้าเราเห็น สังเกต แยกแยะ สังเกตทัน ถ้าขันธ์ห้า ความคิดผุดขึ้นมา ใจเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าสติ ความรู้ตัว รู้ทัน เขาจะแยกออกจากกันเอง เราไม่จำเป็นต้องไปจับเขาแยก ถ้าสังเกตทัน เขาก็จะแยกออก เขาก็จะพลิกจากของที่คว่ำ หงายของที่คว่ำ

แต่ก่อนนี้สมมติเขาครอบงำอยู่ เขาเรียกว่ายังคว่ำอยู่ ถ้าแยกออกจากความคิดเหมือนกับหงายขึ้นมา เหมือนกับเราพลิกฝ่ามือมาอยู่ข้างบน แต่ก่อนอยู่ข้างล่าง ฝ่ามือกับหลังมือก็อยู่ด้วยกันนั่นแหละ แต่เขายังพลิกหงายขึ้นมาให้กลับด้านขึ้นมา ใจก็จะว่าง กายก็จะโล่ง กายสมมติของเราก็ยังมีอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ

ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมา เราก็ตามเห็นการเกิดการดับของความคิด บางทีก็เป็นเรื่องอดีต บางทีก็เป็นเรื่องอนาคต บางทีก็เป็นกลางๆ บางทีก็เป็นกุศลหรือว่าอกุศล นั่นแหละที่ท่านเรียกว่ารอบรู้ในกองสังขารรอบรู้ในขันธ์ห้า ใจยังว่างรับรู้อยู่ ใจเป็นธาตุรู้ สติเป็นผู้รู้ ต้องแยกสองจุดนี้ออกให้ชัดเจน ความรู้ตัวที่ยังไม่ต่อเนื่องเราก็ต้องสร้างขึ้นมาให้ได้ แล้วเอาไปใช้การใช้งานทำหน้าที่แทนใจ แต่เวลานี้ใจทั้งเกิดทั้งหลงเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน ขันธ์ห้าก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนกัน นอกจากบุคคลที่แยกแยะได้ เห็นได้ ทำความเข้าใจได้ทุกเรื่อง

เราก็สร้างตบะบารมี แก้ไขใจเกิดความอยากละความอยาก ใจเกิดความโลภละความโลภ ด้วยการให้ด้วยการเอาออก ใจมีความแข็งกระด้างละความแข็งกระด้าง สร้างความอ่อนน้อมถ่อมตน สติความรู้ตัวพลั้งเผลอได้อย่างไร เริ่มขึ้นมาใหม่ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ เป็นเรื่องของเราทุกคนนะ ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น แนวทางนั้นมีมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเอามาเปิดเผย

ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่เป็นกลางเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ใจที่คลายจากความคิดเป็นอย่างนี้ ความคิดอาการของขันธ์ห้ามันเกิดๆ ดับๆ ท่านเปรียบเอาไว้เหมือนกับพยับแดด เป็นแค่เพียงอาการ เป็นแค่เพียงมายา ไม่มีตัวไม่มีตน แต่ใจเขาไปหลงเข้าไปยึด ทำให้เกิดอัตตาตัวตน พอแยกได้คลายได้ ก็วางอัตตาตัวตนได้ ทีนี้ก็มาละกิเลส มาดับความเกิดของใจให้หมดจดทีละเล็กทีละน้อย หนุนกําลังสติปัญญาไปทำหน้าที่แทน อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ

ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในดวงวิญญาณ รอบรู้ในกองสังขารในขันธ์ห้า รอบรู้ในโลกธรรม เพียงแค่ระดับโลกธรรมสมมติ พวกเรายังขาดการทำความเข้าใจ ขาดการวิเคราะห์พิจารณา มันก็เลยปิดกั้นตัววิมุตติ ปิดกั้นตัวใจเอาไว้ตั้งเยอะแยะ ทั้งที่ใจก็ ใจก็เป็นบุญ มีอานิสงส์ ฝักใฝ่ในบุญในกุศล สร้างอานิสงส์กันอยู่ แต่การแยก การคลาย การดับ การละ ให้ได้ทุกเรื่อง ตรงนี้ต้องดู รู้ให้ทันทุกขณะทุกเวลา จนไม่มีอะไรที่จะไปค้นคว้า จนใจของเราอยู่ในความว่างความบริสุทธิ์ ความว่างนั้นแหละเขาเรียกว่าวิหารธรรม เครื่องอยู่ของใจ

ต้องพยายามนะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี มีจุดเดียวนี้เท่านั้นแหละที่จะต้องพูด ถ้ารู้ด้วยเห็นด้วยตั้งแต่รากเหง้าฐานโคนของใจ แล้วก็หมั่นขัดหมั่นเกลา ส่วนมากก็มีตั้งแต่ตามอำเภอใจ ตามกิเลส ก็เลยไม่จบไม่สิ้น ปฏิบัติธรรมไม่รู้จักว่าอะไรคือธรรม เจริญสติไม่รู้จักลักษณะของสติ มันจะเอาสติปัญญาไปใช้ได้อย่างไร แต่ก็ยังดี ดีอยู่ในบุญอยู่ในกุศล พยายามค่อยดำเนิน ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ ถ้ายังแยกใจยังคลายออกจากขันธ์ห้าไม่ได้ ก็เพียงแค่ความสงบระงับเอาไว้ เพียงแค่อยู่ในอานิสงส์แห่งบุญ ก็บุญนั่นแหละเป็นพื้นฐานในการปล่อย ในการวาง ในการเจริญวิปัสสนา ทำใจให้สะอาดให้บริสุทธิ์ แต่เวลานี้กําลังสติมีน้อย มีน้อยเต็มทน เราก็ต้องพยายาม

ร่างกายอัตภาพสมมติของแต่ละคน เกิดมาเท่าไรก็ตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว ถ้าถึงเวลา ถ้าไม่ถึงเวลาไม่ได้ไป ถ้าถึงเวลาแล้วอยากจะอยู่ก็ไม่ได้อยู่ แต่เราต้องทำความเข้าใจให้กระจ่างเสียขณะที่เรายังมีลมหายใจ ระลึกนึกถึงบุญของเรา ระลึกนึกถึงคุณงามความดี อะไรที่จะเป็นอกุศลเราพยายามละ เจริญกุศล หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตของเรามีตั้งแต่ของดีๆ อยู่ในกายของเรา แต่เราไม่เข้าใจ ไม่ทำความเข้าใจ เราก็เลยไม่เห็น กิเลสต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แม้แต่ตัวใจเองเขาก็ยังหาเหตุปิดกั้นตัวเอง เพราะว่าเขาหลงมานาน เขาเกิดมานาน

ปัญญาที่แท้จริงนอกจากการเจริญภาวนาแยกแยะได้ตามดูได้ ชี้เหตุชี้ผลได้ ให้ละเอียดที่สุด ดับความเกิด รู้ลักษณะของใจให้ได้ชัดเจนทุกอย่าง ต้องชัดเจนหมด ต้องอยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ อยู่ด้วยปัญญา อยู่ด้วยพรหมวิหาร ถึงจะอยู่ดีมีความสุข สนุกอยู่กับบุญ สร้างบุญ แต่เวลานี้พยายามสร้างสติให้ได้ทุกอิริยาบถกันนะ

สร้างความรู้ตัว รับรู้การหายใจเข้าออกให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง