หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 38
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 38
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 38
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 28 มีนาคม 2558
ดูดีๆ นะ พระเราชีเราพิจารณาปฏิสังขาโย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง ทุกลมหายใจเข้าออกตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราต้องรู้ใจรู้กายของเรา รู้ความรู้สึกรับรู้ความปกติไม่ใช่ปล่อยวันเวลาทิ้ง ความปกติความรู้ตัวเป็นอย่างไร ภาระกิจอะไรควรทำก่อน ควรทำหลัง ใจเกิดความกังวลเกิดความฟุ้งซ่าน เราก็รู้จักแก้ไข อากาศรู้สึกว่าเย็นๆ หน่อยนะ สงสัยฝนฟ้าคงจะตกที่อื่น อะไรก็ช่วยกันทำ จะได้เกิดประโยชน์ขณะยังมีกําลังอยู่ หมดกําลังก็ไม่ได้ทำ
ญาติโยมท่านใดยังไม่ได้ไปชมสวนมะลิวัลย์ก็ไปเสีย ดอกไม้มันร่วงหมดก่อนเดี๋ยวไม่ได้ชม สวนมะลิวัลย์ ดอกกัลปพฤกษ์ออกดอกเต็มสวนหมด เดินไปตอนเช้าก็หอมตอนเย็นก็หอม หอมชมนาด หอมกัลปพฤกษ์ หอมลีลาวดี หอมกระดังงา การระเวกไม้ดอกไม้หอมเต็มสวนไปหมด ต้นกัลปพฤกษ์ก็ออกดอกเต็มสวนสวยงาม อีกสักหน่อย ลูกฟักลูกแฟงก็จะเต็มหลังร้านให้ได้ชมกัน ลูกฟักต้นฟักกําลังเพาะเลี้ยง หลวงตากําลังปลูก ทำเอาไว้ทำน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวแจกทานหอมหวาน
การได้ช่วยกันหลายทางหลายฝ่าย งานหนักๆ ก็เบาบาง ส่วนหนึ่งก็พากันปลูกต้นวาสนาในป่า ท่านอาจารย์จิตร์ก็พาเด็กๆ ปลูก ตรงไหนพอลงได้ก็ลง ตรงไหนมี จะได้เป็นป่าสวยงามเขียวระดับสายตา เวลาออกดอกก็หอมกรุ่น ใครไม่เคยเห็นวาสนาก็จะได้เห็น ดอกวาสนาจะออกดอกช่วงกลางพรรษา เดินไปจุดไหนมุมไหนก็จะหอม สวยงาม มีโอกาสก็ได้ช่วยกัน ได้ช่วยกันหลายฝ่ายหลายสิ่ง
ในการเจริญสติต้องพยายามให้รู้ทุกอิริยาบถนะ ต้องให้รู้ทุกอิริยาบถ ความหมายของการเจริญสติ ก็เพื่อที่จะไปอบรมใจ ใจเกิดกิเลสอย่างไร ใจเกิดความทุกข์อย่างไร เราจะไปแก้ไขอย่างไร เราก็พยายามเอาไปอบรม ไม่ใช่ว่าไปทำตามอำเภอใจอำนาจของใจ ใจนั้นหลงมานานถ้าไม่หลงไม่เกิด
เพียงแค่การเกิดความคิดนี้ก็หลง เข้ามาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างกายเนื้อ มาสร้างขันธ์ห้าเป็นตัวเป็นตนนี่แหล่ะปิดปกปิดตัววิญญาณเอาไว้อีกทีหนึ่ง มาสร้างกายเนื้อปิดเขาเอาไว้ ทีนี้เขาก็เกิดต่อ เป็นทาสของกิเลสต่อ กายเนื้อแตกดับก็ไปตามวิบากกรรมแรงเหวี่ยงของเขา ถ้าเรารู้เท่าทัน เราก็รู้จักละ รู้จักวาง รู้จักดับ มองเห็นหนทางเดิน บริหารโดยปัญญาอยู่ด้วยปัญญา ใจต้องนิ่งใจต้องสะอาดบริสุทธิ์ มันมากก็ไปด้วยอำานาจของใจ เขาก็หาเหตุหาผลมาปิดกั้นตัวเองเอาไว้หมด
ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ ถึงจะเอาอยู่ แต่ก็ใจของเรานั่นแหละ กายก็กายของเรานั่นแหละ อะไรก็ของเราๆ หมด แต่เวลาหมดลมหายใจแล้ว เราก็เอาไปไม่ได้เลย พอเรามายึด เราต้องมาทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริงเสียก่อน วางขณะยังมีลมหายใจอยู่ รู้จักจุดปล่อย รู้จักจุดวาง ตัววิญญาณกับอาการของวิญญาณ การเกิดของวิญญาณในกาย
คําสอนของพระพุทธองค์นี้มีมานาน แต่เราเข้าไม่ถึงในใจของเรา เพราะว่าใจมันก็หาเรื่องมาปกปิด นอกจากบุคคลที่เจริญสติ ขัดเกลากิเลสอบรมใจ อะไรคือสติปัญญาที่สร้างขึ้นมา อะไรคือใจ ถึงจะชัดเจน แต่ก็ไม่เหลือวิสัย พยายามขัดเกลากิเลสไปเรื่อยๆ พยายามทำบุญสร้างอานิสงส์ ตั้งแต่คิด คิดดีทำดี ก็พยายามทำไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน บ้านเราก็ทำดี อยู่วัดเราก็ทำดี เรามีหน้าที่อย่างไร เราก็ทำหน้าที่ให้ดี ก็จะเกิดประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกนี้ประโยชน์ในโลกหน้า
อีกสักหน่อยก็ตายจากกัน เพราะว่าทุกคนเกิดมาก็ต้องได้พลัดพรากจากกันหมด ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของความเป็นจริง กฎของไตรลักษณ์ แต่คนเรากลัวตาย ไม่ศึกษาให้ละเอียดเสียก่อนตาย กลัวจน กลัวทุกข์ กลัวไปสารพัดอย่าง ก็เลยขาดที่พึ่ง ก็เลยวิ่งหาที่พึ่ง อันโน้นว่าจะพึ่งได้ อันนี้ว่าจะพึ่งได้ มันก็พึ่งได้อยู่ในระดับของสมมติเท่านั้นเอง
แต่เราต้องทำความเข้าใจ ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ ทั้งจิตใจไม่ให้เข้าไปหลงเข้าไปยึด เข้าไปคลายคลายขันธ์ห้าให้ได้ แล้วก็ทำความเข้าใจภายในให้จบกิจ ภารกิจเราก็ยังสมมติให้เกิดประโยชน์จนกว่าจะหมดลมหายใจ เพราะว่ากายของเราก็ยังอาศัยปัจจัยสี่อยู่ อาศัยโลกธรรมอยู่ ถ้าสมมติไม่เพียบพร้อมเราก็ลําบาก ที่พักไม่มีก็ลําบาก ที่ถ่ายที่เยี่ยว ที่อยู่ที่กิน ไม่อุดมสมบูรณ์กายเนื้อก็ลําบาก
เราก็ต้องพยายามยังประโยชน์ของสมมติ ด้วยความขยันหมั่นเพียร ด้วยความรับผิดชอบแต่ไม่ทำด้วยความอยากของกิเลส ไม่ทำด้วยความทะยานทะยานอยากของวิญญาณหรือว่าใจ บางคนบางท่านก็เรียกใจ บางคนบางท่านก็เรียกว่าวิญญาณ ซึ่งอยู่ในกายของตัวเรานี่แหละ ไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก เขาไม่มีตัว ไม่มีตน แต่เราไปหลงไปยึดว่าเป็นตัวเป็นตน หาต้นสายปลายเหตุไม่เจอ ว่าเขาเกิดมาตั้งแต่เมื่อไร
เราพยายามเจริญสติเข้าไปดู รู้อยู่ปัจจุบันขณะยังมีกําลังกายอยู่ตรงนี้แหละให้ทัน เพราะว่าเขายังมีกายอาศัยอยู่ ควบคุมได้ก็เฉพาะช่วงที่มีกายนี่แหละ ถ้ากายแตกดับแล้วเขาก็ ถ้ายังดับความเกิดไม่ได้ เขาก็ไปต่อ พูดยากอยู่เพราะว่ามันมองไม่เห็นตัวแต่รู้ด้วยการเจริญสติ รู้ด้วยการเจริญปัญญา เป็นวิทยาศาสตร์ฝ่ายนามธรรม ส่วนรูปธรรมก็กายของเรา ส่วนนามธรรมก็ส่วนวิญญาณของเรา ญาณก็มีเหตุมีผล โลกสมมติก็มีเหตุมีผล เหตุผล
การเกิดการดับของวิญญาณ การเกิดการดับของขันธ์ห้า ถ้าแยกแยะได้ก็ตามดูให้วิญญาณรับรู้ ต้องเป็นบุคคลที่ละเอียดจริงๆ ถึงจะเข้าถึง ส่วนมากก็ได้ควบคุมเขาเรียกว่า สมถะ แต่การละกิเลสเขาก็ต้องเดินด้วยปัญญา เดินด้วยกําลังสติ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ให้ใจยอมรับความเป็นจริงได้ เขาถึงจะยอมละยอมวางได้ทุกก็กระเบียดนิ้ว เขาไม่ปล่อยวางง่ายๆ เพราะเขาเกิดมานาน เขาหลงมานาน เขาก็มีเหตุมีผลเหมือนกัน
มีเหตุเป็นทำให้เป็น ก็ต้องพยายามเอา ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำอย่าไปทิ้ง อย่างน้อยๆ ก็ให้ระลึกนึกถึงบุญอานิสงส์ผลบุญผลทานของเรา ถึงไม่ได้ทุกเรื่องเด็ดขาด ทุกเรื่องให้ใจอยู่ในกองบุญกองกุศลก็ยังดี ยังดีกว่าไปตกไปสู่ที่ลําบาก เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผลหมด วันนี้มีพรุ่งนี้มี
ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา ใจของเราเกิดสักกี่ครั้ง ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราสักกี่เรื่อง สติปัญญาของเรารู้ทันทำความเข้าใจได้สักกี่ครั้ง ตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ ความคิดผุดขึ้นมาเป็นกุศลหรือว่าอกุศล จิตของเราเกิดกุศลหรือว่าอกุศล หรือว่าเกิดมลทิน เราต้องพยายามขัดเกลา มีความสุขในการดูในการรู้ ในการทำความเข้าใจ
ในการละกิเลสของเรา เราจะไปเที่ยวให้คนอื่นเขาละให้ไม่ได้เด็ดขาด เราต้องละเอา ไม่เข้าใจแนวทางก็มาถามท่านเจ้าคุณ ท่านเจ้าคุณก็จะบอกให้ ไปทำเอา แต่ละกิเลสให้หนูหน่อย ละกิเลสให้ผมหน่อย ทำไมมันถึงทุกข์ ก็ทุกข์นั่นแหละไม่รู้จักทำความเข้าใจ จะไปโยนความทุกข์ให้คนโน้นคนนี้ ไปที่นั่นที่นี่ ปฏิบัติธรรมไม่รู้จักธรรม เจริญสติไม่รู้จักสติ แต่การทำบุญให้ทานนั้น มีกันเต็มเปี่ยม
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ลักษณะของสัมผัสความรู้สึกรับรู้ของลมหายใจนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘ความรู้ตัว’ เวลาหายใจเข้าหายใจออกเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสังเกต พวกเราก็ขาดการสนใจ ทั้งที่ใจก็อยากจะรู้ธรรม อยากจะเห็นธรรม ความอยากก็ปิดกันเอาไว้หมด ทั้งอยากรู้อยากดูอยากเห็น ถ้าเกิดจากใจนี่ปิดกั้นเอาไว้หมด
ท่านให้ละความอยากละความหวัง แต่การสร้างความรู้ตัวให้รู้เท่าทัน รู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร กายทวารทำหน้าที่อย่างไร ภาษาธรรมภาษาโลก สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างไร การสังเกตจนกว่าความคิดกับใจจะคลายออกจากกันซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนาม นี่แหละสัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริง เพียงแค่เริ่มต้น
การตามดูตามรู้ตามเห็น เราก็จะเข้าใจในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า เห็นนะไม่ใช่ว่ารู้เฉยๆ เห็นแล้วตามดูว่าเขาเกิดอย่างไร ไปอย่างไร มาอย่างไร ใจต้องว่างรับรู้อยู่ ตากระทบรูปใจก็ว่าง หูกระทบเสียงใจก็ว่าง ตาก็ทำหน้าที่ดู หูก็ทำหน้าที่ฟังเราก็ห้ามไม่ได้ ลิ้นเขาทำหน้าที่ลิ้มรส ใจมีเพียงแค่หน้าที่รับรู้ แต่เวลานี้เขาไม่รู้เฉยๆ เขาทั้งรู้ทั้งเกิดทั้งยินดียินร้าย ทั้งเกิดกิเลส เราต้องเจริญสติเข้าไปขัดเข้าไปอบรมทุกอย่าง ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ อย่าไปทิ้งเด็ดขาด เป็นหน้าที่ของตัวเราเองไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่น
การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนมีกันมาก่อน มีกันมาเต็มเปี่ยม แต่การลงมือที่จะทำใจของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรา แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมานาน ไม่จำเป็นต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย ท่านสอนอย่างนี้ ชี้อย่างนี้ บอกอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ รู้ไม่ทันหยุดเอาไว้เสียก่อน เริ่มใหม่ สักวันหนึ่งเราก็คงจะเข้าใจ ก็ต้องพยายาม
สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขนาดนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 28 มีนาคม 2558
ดูดีๆ นะ พระเราชีเราพิจารณาปฏิสังขาโย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง ทุกลมหายใจเข้าออกตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เราต้องรู้ใจรู้กายของเรา รู้ความรู้สึกรับรู้ความปกติไม่ใช่ปล่อยวันเวลาทิ้ง ความปกติความรู้ตัวเป็นอย่างไร ภาระกิจอะไรควรทำก่อน ควรทำหลัง ใจเกิดความกังวลเกิดความฟุ้งซ่าน เราก็รู้จักแก้ไข อากาศรู้สึกว่าเย็นๆ หน่อยนะ สงสัยฝนฟ้าคงจะตกที่อื่น อะไรก็ช่วยกันทำ จะได้เกิดประโยชน์ขณะยังมีกําลังอยู่ หมดกําลังก็ไม่ได้ทำ
ญาติโยมท่านใดยังไม่ได้ไปชมสวนมะลิวัลย์ก็ไปเสีย ดอกไม้มันร่วงหมดก่อนเดี๋ยวไม่ได้ชม สวนมะลิวัลย์ ดอกกัลปพฤกษ์ออกดอกเต็มสวนหมด เดินไปตอนเช้าก็หอมตอนเย็นก็หอม หอมชมนาด หอมกัลปพฤกษ์ หอมลีลาวดี หอมกระดังงา การระเวกไม้ดอกไม้หอมเต็มสวนไปหมด ต้นกัลปพฤกษ์ก็ออกดอกเต็มสวนสวยงาม อีกสักหน่อย ลูกฟักลูกแฟงก็จะเต็มหลังร้านให้ได้ชมกัน ลูกฟักต้นฟักกําลังเพาะเลี้ยง หลวงตากําลังปลูก ทำเอาไว้ทำน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวแจกทานหอมหวาน
การได้ช่วยกันหลายทางหลายฝ่าย งานหนักๆ ก็เบาบาง ส่วนหนึ่งก็พากันปลูกต้นวาสนาในป่า ท่านอาจารย์จิตร์ก็พาเด็กๆ ปลูก ตรงไหนพอลงได้ก็ลง ตรงไหนมี จะได้เป็นป่าสวยงามเขียวระดับสายตา เวลาออกดอกก็หอมกรุ่น ใครไม่เคยเห็นวาสนาก็จะได้เห็น ดอกวาสนาจะออกดอกช่วงกลางพรรษา เดินไปจุดไหนมุมไหนก็จะหอม สวยงาม มีโอกาสก็ได้ช่วยกัน ได้ช่วยกันหลายฝ่ายหลายสิ่ง
ในการเจริญสติต้องพยายามให้รู้ทุกอิริยาบถนะ ต้องให้รู้ทุกอิริยาบถ ความหมายของการเจริญสติ ก็เพื่อที่จะไปอบรมใจ ใจเกิดกิเลสอย่างไร ใจเกิดความทุกข์อย่างไร เราจะไปแก้ไขอย่างไร เราก็พยายามเอาไปอบรม ไม่ใช่ว่าไปทำตามอำเภอใจอำนาจของใจ ใจนั้นหลงมานานถ้าไม่หลงไม่เกิด
เพียงแค่การเกิดความคิดนี้ก็หลง เข้ามาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างกายเนื้อ มาสร้างขันธ์ห้าเป็นตัวเป็นตนนี่แหล่ะปิดปกปิดตัววิญญาณเอาไว้อีกทีหนึ่ง มาสร้างกายเนื้อปิดเขาเอาไว้ ทีนี้เขาก็เกิดต่อ เป็นทาสของกิเลสต่อ กายเนื้อแตกดับก็ไปตามวิบากกรรมแรงเหวี่ยงของเขา ถ้าเรารู้เท่าทัน เราก็รู้จักละ รู้จักวาง รู้จักดับ มองเห็นหนทางเดิน บริหารโดยปัญญาอยู่ด้วยปัญญา ใจต้องนิ่งใจต้องสะอาดบริสุทธิ์ มันมากก็ไปด้วยอำานาจของใจ เขาก็หาเหตุหาผลมาปิดกั้นตัวเองเอาไว้หมด
ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ ถึงจะเอาอยู่ แต่ก็ใจของเรานั่นแหละ กายก็กายของเรานั่นแหละ อะไรก็ของเราๆ หมด แต่เวลาหมดลมหายใจแล้ว เราก็เอาไปไม่ได้เลย พอเรามายึด เราต้องมาทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริงเสียก่อน วางขณะยังมีลมหายใจอยู่ รู้จักจุดปล่อย รู้จักจุดวาง ตัววิญญาณกับอาการของวิญญาณ การเกิดของวิญญาณในกาย
คําสอนของพระพุทธองค์นี้มีมานาน แต่เราเข้าไม่ถึงในใจของเรา เพราะว่าใจมันก็หาเรื่องมาปกปิด นอกจากบุคคลที่เจริญสติ ขัดเกลากิเลสอบรมใจ อะไรคือสติปัญญาที่สร้างขึ้นมา อะไรคือใจ ถึงจะชัดเจน แต่ก็ไม่เหลือวิสัย พยายามขัดเกลากิเลสไปเรื่อยๆ พยายามทำบุญสร้างอานิสงส์ ตั้งแต่คิด คิดดีทำดี ก็พยายามทำไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน บ้านเราก็ทำดี อยู่วัดเราก็ทำดี เรามีหน้าที่อย่างไร เราก็ทำหน้าที่ให้ดี ก็จะเกิดประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกนี้ประโยชน์ในโลกหน้า
อีกสักหน่อยก็ตายจากกัน เพราะว่าทุกคนเกิดมาก็ต้องได้พลัดพรากจากกันหมด ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของความเป็นจริง กฎของไตรลักษณ์ แต่คนเรากลัวตาย ไม่ศึกษาให้ละเอียดเสียก่อนตาย กลัวจน กลัวทุกข์ กลัวไปสารพัดอย่าง ก็เลยขาดที่พึ่ง ก็เลยวิ่งหาที่พึ่ง อันโน้นว่าจะพึ่งได้ อันนี้ว่าจะพึ่งได้ มันก็พึ่งได้อยู่ในระดับของสมมติเท่านั้นเอง
แต่เราต้องทำความเข้าใจ ทั้งสมมติทั้งวิมุตติ ทั้งจิตใจไม่ให้เข้าไปหลงเข้าไปยึด เข้าไปคลายคลายขันธ์ห้าให้ได้ แล้วก็ทำความเข้าใจภายในให้จบกิจ ภารกิจเราก็ยังสมมติให้เกิดประโยชน์จนกว่าจะหมดลมหายใจ เพราะว่ากายของเราก็ยังอาศัยปัจจัยสี่อยู่ อาศัยโลกธรรมอยู่ ถ้าสมมติไม่เพียบพร้อมเราก็ลําบาก ที่พักไม่มีก็ลําบาก ที่ถ่ายที่เยี่ยว ที่อยู่ที่กิน ไม่อุดมสมบูรณ์กายเนื้อก็ลําบาก
เราก็ต้องพยายามยังประโยชน์ของสมมติ ด้วยความขยันหมั่นเพียร ด้วยความรับผิดชอบแต่ไม่ทำด้วยความอยากของกิเลส ไม่ทำด้วยความทะยานทะยานอยากของวิญญาณหรือว่าใจ บางคนบางท่านก็เรียกใจ บางคนบางท่านก็เรียกว่าวิญญาณ ซึ่งอยู่ในกายของตัวเรานี่แหละ ไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก เขาไม่มีตัว ไม่มีตน แต่เราไปหลงไปยึดว่าเป็นตัวเป็นตน หาต้นสายปลายเหตุไม่เจอ ว่าเขาเกิดมาตั้งแต่เมื่อไร
เราพยายามเจริญสติเข้าไปดู รู้อยู่ปัจจุบันขณะยังมีกําลังกายอยู่ตรงนี้แหละให้ทัน เพราะว่าเขายังมีกายอาศัยอยู่ ควบคุมได้ก็เฉพาะช่วงที่มีกายนี่แหละ ถ้ากายแตกดับแล้วเขาก็ ถ้ายังดับความเกิดไม่ได้ เขาก็ไปต่อ พูดยากอยู่เพราะว่ามันมองไม่เห็นตัวแต่รู้ด้วยการเจริญสติ รู้ด้วยการเจริญปัญญา เป็นวิทยาศาสตร์ฝ่ายนามธรรม ส่วนรูปธรรมก็กายของเรา ส่วนนามธรรมก็ส่วนวิญญาณของเรา ญาณก็มีเหตุมีผล โลกสมมติก็มีเหตุมีผล เหตุผล
การเกิดการดับของวิญญาณ การเกิดการดับของขันธ์ห้า ถ้าแยกแยะได้ก็ตามดูให้วิญญาณรับรู้ ต้องเป็นบุคคลที่ละเอียดจริงๆ ถึงจะเข้าถึง ส่วนมากก็ได้ควบคุมเขาเรียกว่า สมถะ แต่การละกิเลสเขาก็ต้องเดินด้วยปัญญา เดินด้วยกําลังสติ ชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ให้ใจยอมรับความเป็นจริงได้ เขาถึงจะยอมละยอมวางได้ทุกก็กระเบียดนิ้ว เขาไม่ปล่อยวางง่ายๆ เพราะเขาเกิดมานาน เขาหลงมานาน เขาก็มีเหตุมีผลเหมือนกัน
มีเหตุเป็นทำให้เป็น ก็ต้องพยายามเอา ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำอย่าไปทิ้ง อย่างน้อยๆ ก็ให้ระลึกนึกถึงบุญอานิสงส์ผลบุญผลทานของเรา ถึงไม่ได้ทุกเรื่องเด็ดขาด ทุกเรื่องให้ใจอยู่ในกองบุญกองกุศลก็ยังดี ยังดีกว่าไปตกไปสู่ที่ลําบาก เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผลหมด วันนี้มีพรุ่งนี้มี
ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา ใจของเราเกิดสักกี่ครั้ง ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราสักกี่เรื่อง สติปัญญาของเรารู้ทันทำความเข้าใจได้สักกี่ครั้ง ตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ ความคิดผุดขึ้นมาเป็นกุศลหรือว่าอกุศล จิตของเราเกิดกุศลหรือว่าอกุศล หรือว่าเกิดมลทิน เราต้องพยายามขัดเกลา มีความสุขในการดูในการรู้ ในการทำความเข้าใจ
ในการละกิเลสของเรา เราจะไปเที่ยวให้คนอื่นเขาละให้ไม่ได้เด็ดขาด เราต้องละเอา ไม่เข้าใจแนวทางก็มาถามท่านเจ้าคุณ ท่านเจ้าคุณก็จะบอกให้ ไปทำเอา แต่ละกิเลสให้หนูหน่อย ละกิเลสให้ผมหน่อย ทำไมมันถึงทุกข์ ก็ทุกข์นั่นแหละไม่รู้จักทำความเข้าใจ จะไปโยนความทุกข์ให้คนโน้นคนนี้ ไปที่นั่นที่นี่ ปฏิบัติธรรมไม่รู้จักธรรม เจริญสติไม่รู้จักสติ แต่การทำบุญให้ทานนั้น มีกันเต็มเปี่ยม
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ลักษณะของสัมผัสความรู้สึกรับรู้ของลมหายใจนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘ความรู้ตัว’ เวลาหายใจเข้าหายใจออกเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสังเกต พวกเราก็ขาดการสนใจ ทั้งที่ใจก็อยากจะรู้ธรรม อยากจะเห็นธรรม ความอยากก็ปิดกันเอาไว้หมด ทั้งอยากรู้อยากดูอยากเห็น ถ้าเกิดจากใจนี่ปิดกั้นเอาไว้หมด
ท่านให้ละความอยากละความหวัง แต่การสร้างความรู้ตัวให้รู้เท่าทัน รู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร กายทวารทำหน้าที่อย่างไร ภาษาธรรมภาษาโลก สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างไร การสังเกตจนกว่าความคิดกับใจจะคลายออกจากกันซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนาม นี่แหละสัมมาทิฏฐิความรู้แจ้งเห็นจริง เพียงแค่เริ่มต้น
การตามดูตามรู้ตามเห็น เราก็จะเข้าใจในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า เห็นนะไม่ใช่ว่ารู้เฉยๆ เห็นแล้วตามดูว่าเขาเกิดอย่างไร ไปอย่างไร มาอย่างไร ใจต้องว่างรับรู้อยู่ ตากระทบรูปใจก็ว่าง หูกระทบเสียงใจก็ว่าง ตาก็ทำหน้าที่ดู หูก็ทำหน้าที่ฟังเราก็ห้ามไม่ได้ ลิ้นเขาทำหน้าที่ลิ้มรส ใจมีเพียงแค่หน้าที่รับรู้ แต่เวลานี้เขาไม่รู้เฉยๆ เขาทั้งรู้ทั้งเกิดทั้งยินดียินร้าย ทั้งเกิดกิเลส เราต้องเจริญสติเข้าไปขัดเข้าไปอบรมทุกอย่าง ได้บ้างไม่ได้บ้างก็พยายามทำ อย่าไปทิ้งเด็ดขาด เป็นหน้าที่ของตัวเราเองไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่น
การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนมีกันมาก่อน มีกันมาเต็มเปี่ยม แต่การลงมือที่จะทำใจของเราให้สะอาดให้บริสุทธิ์ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรา แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมานาน ไม่จำเป็นต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย ท่านสอนอย่างนี้ ชี้อย่างนี้ บอกอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ รู้ไม่ทันหยุดเอาไว้เสียก่อน เริ่มใหม่ สักวันหนึ่งเราก็คงจะเข้าใจ ก็ต้องพยายาม
สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขนาดนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ