หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 109

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 109
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 109
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติ ทำใจให้สงบ ทำกายให้สบาย สร้างความรู้ตัวด้วยการเจริญอานาปานสติ นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา เราได้รู้จักการเจริญสติแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ เป็นเรื่องของเราทุกคน เป็นเรื่องของเราที่จะต้องทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา ปัญญาทางโลกมีกันทุกคน แล้วก็เต็มเปี่ยมกันมานาน ปัญญาทางธรรม เราต้องมาสร้างผู้รู้หรือว่ามาเจริญสติ

เพียงแค่การสร้างการเจริญให้ต่อเนื่อง ตรงนี้ก็ยังยากแสนยากทั้งที่ใจก็เป็นบุญ การเกิดของใจ ใจนี้หลงมานาน หลงมาตั้งแต่เรายังไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ หลงวนเวียนว่ายอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ อันนั้นเราอาจจะไม่รู้เรื่อง แต่เวลานี้ใจมาสร้างภพของมนุษย์ มีกายเนื้อ มีขันธ์ห้า มีวิญญาณเข้ามาครอบครอง แล้วก็มาหลงมายึด มีกายอยู่แต่ใจยังเกิดต่อ ยังเป็นทาสของอารมณ์อีก ทาสของกิเลสอีก ท่านถึงบอกว่าให้เจริญสติลงที่กายของเรา ด้วยแรงศรัทธา แล้วก็มาสร้างปัญญา มาสร้างผู้รู้

แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมาตั้งนาน ท่านเอามาเปิดเผย มาจําแนกมาแจกแจงว่า กายของคนเรานี่เป็นอย่างไร จิตวิญญาณเป็นอย่างไร จะเอาวิธีไหนเข้าไปแก้ หลักของความจริงอันประเสริฐ หลักของอริยสัจความจริงอันประเสริฐ ท่านได้ค้นพบ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่คลายจากขันธ์ห้าเป็นอย่างนี้ ใจที่ปกติ ใจที่ไม่เกิด ใจที่ไม่มีกิเลส ใจของคนเรานี้มาสร้างสะสมกิเลสภายหลัง กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด มีมาก สร้างกิเลสมาปิดกั้นตัวเองเสียจนมืดมิดหมดเลยทีเดียว

เราต้องมาแก้ เจริญสติเข้าไปแก้ไขเข้าไปอบรม จนกว่าใจของเราจะคลายออกจากความคิด ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมด้วยกัน ซึ่งท่านเรียกว่าแยกรูปแยกนาม เราก็ตามดู เห็นการเกิดการดับ เขาเรียกว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขันธ์ห้าในกายของเรา ซึ่งเป็นส่วนนามธรรม มีอยู่ 4 ส่วน ซึ่งมีตัววิญญาณ เข้าไปหลง เข้าไปยึด ถ้าคลายส่วนนามได้ ก็คลายส่วนรูปได้ แต่เวลานี้กําลังสติของเรามีไม่เพียงพอ มีเหตุมีผล เจริญไม่เพียงพอ ถ้าเรามาสร้างความรู้สึกตัวให้เพียงพอให้ต่อเนื่อง ถ้ากําลังมีมากเขาก็จะเห็นการเกิดการดับของใจ เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า แล้วก็เห็นการแยกการคลาย การร่วมการรวม เป็นลักษณะหน้าตาอาการเป็นอย่างไร เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์

แต่เวลานี้เราเชื่ออยู่ แต่เชื่อ ยัง ปัญญายังแยกแยะไม่ได้ เชื่อด้วยแรงบุญอยู่ เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย แล้วก็ฝักใฝ่ในการทำบุญ ในการให้ทานอยู่ตลอด มาตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายาย แต่การเจริญสติ เข้าไปรู้ เข้าไปเห็น เข้าไปตามดูทุกอย่างตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กิเลสหยาบเป็นอย่างไร กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร การเกิดของใจเป็นอย่างไร เป็นกุศลหรือว่าอกุศลที่ท่านเรียกว่าเป็นกองเป็นขันธ์เป็นอย่างไร เราต้องรู้ต้องเห็น ต้องทำความเข้าใจให้กระจ่าง จนหมดความสงสัยได้ จนไม่มีอะไรที่จะค้นคว้าได้ นั่นแหละ เราก็จะมองเห็นหนทางเดิน

เรามีโอกาส มีบุญ ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พยายามทำหน้าที่ของเราให้ดี อย่าปิดกั้นตัวเรา อย่าปิดกั้น อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง ปัจจุบันธรรม ต้องรู้ตัวทุกขณะ แล้วก็ปรับสภาพใจของเรา ใจของเรามีความอ่อนน้อม หรือว่ามีความแข็งกระด้าง ใจของเรามีความโลภ เราก็ละความโลภ ใจของเรามีความโกรธ เราก็ละความโกรธ ทำในสิ่งตรงกันข้าม จนใจของเราปล่อยวาง มองเห็นเหตุเห็นผล เขารู้ความจริงเขาก็ไม่เอาหรอก การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา การเป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา ตราบใดที่เรายังไม่ได้เจริญสติเข้าไปแยกแยะได้ เราก็จะไม่เข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์

ก็ต้องพยายามนะ ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี พยายามหมั่นสร้างคุณงามความดี แสวงหาธรรมเราต้องรู้จักทำ เจริญสติ เราจงรู้จักลักษณะของสติ ตื่นขึ้นมารู้กายปุ๊บ รู้ใจปุ๊บ สติปัญญาพากายไปใจรับรู้ เรามีความเกียจคร้าน เราก็ละความเกียจคร้าน สร้างความขยัน สร้างความรับผิดชอบ เจริญสติเข้าไปอบรมใจ พูดคุยกับใจของเราอยู่ตลอดเวลา นั่นแหละสติจะเป็นเพื่อนใจ

ตนเป็นที่พึ่งของตน กายสมมติ เราก็พึ่งโลกธรรม พึ่งปัจจัยสี่ แต่เราต้องทำความเข้าใจอยู่กับสมมติเคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ กายของเรานี่แหละก้อนสมมติ เรามาหลงมายึดกายก้อนนี้ เราก็ไปหลงเอาทุกอย่าง ถ้าเราคลายกายก้อนนี้ได้ คลายแยกรูปแยกนามได้ ละกิเลสได้ ดับความเกิดได้ เราก็วางสมมติได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เราก็ต้องดูแลรักษาสมมติไปจนกว่าเขาจะหมดลมหายใจ

วันนี้ก็คงจะเป็นวันสุดท้าย ที่คณะญาติโยมทางกรุงเทพฯ ทางของคุณโยมแม่จิ๋ว ท่านให้บริวารได้มาเปลี่ยนบรรยากาศ ได้มาสร้างบุญสร้างอานิสงส์สร้างบารมีกัน หลวงพ่อก็ขอฝากขอบคุณทุกคนนะ มีโอกาสก็มาเถอะ มาบ้านเรา อยากจะมาพักมาสร้างบุญสร้างอานิสงส์ร่วมกันก็มาได้ตลอดเวลา กาลเวลาเปิดให้ โอกาสเปิดให้ สถานที่เปิดให้ พวกเรามีโอกาสได้ทำ อย่าว่าไม่ทำ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่บ้าน ที่ไร่ ที่นา ที่สวน ที่ทำการทำงาน เราพยายามสร้างบุญให้มีให้เกิดขึ้นกับตัวเรา ไม่เอารัดเอาเปรียบตัวเอง ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ มีพรหมวิหาร มองโลกในทางที่ดี คิดดี

อยู่ที่ไหนเราก็จะได้เข้าวัด ถ้าเราเจริญสติเข้าไปเยี่ยม รู้จักใจของตัวเรา เราก็จะได้ฟังธรรมตลอดเวลา ตากระทบโลกเราก็ได้ฟังธรรม หูกระทบเสียงเราก็ได้ฟังธรรม ถ้าเรามีสติดูรู้ใจของเรา ภาษาธรรมเป็นอย่างไร ภาษาโลกเป็นอย่างไร สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้เป็นอย่างไร ข้อวัตรปฏิบัติจะคร่ำเคร่งมากมายถึงขนาดไหน จุดมุ่งหมายก็เพื่อที่จะละกิเลส เจริญสติปัญญาให้เร็วไวเพื่อที่จะคลายความหลง ก็เพื่อที่จะเดินปัญญาแยกรูปแยกนามตามทำความเข้าใจ เราละกิเลสได้หมดจดหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเรา

อย่าพากันไปวันเวลาเอาเวลาทิ้ง ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ไม่ถึงวันนี้ วันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ เดือนหน้า ปีหน้า มันไม่ถึงจริงๆ สิ่งที่พวกเราทำมาจะไปต่ออีกภพหน้า เพราะว่าตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ ความจริงยังมีอยู่ แต่เรายังค้นหาความจริงในกายของเรายังไม่เจอ ยังละกิเลสไม่หมดจด ยังดับความเกิดไม่ได้หมดจด ใจก็เลยยังไม่นิ่ง ก็เลยยังวิ่งอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องพยายามกัน

สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่งก็ยังดี ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง