หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 105
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 105
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย หยุดภาระหน้าที่ทางสมมติ พวกเราก็หยุดมาแล้ว ทีนี้เราก็มาหยุดความคิด หยุดอารมณ์ต่างๆ ด้วยการสร้างความรู้ตัว สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ ที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา นั่นแหละเขาเรียกว่ามาสร้างผู้รู้ หรือว่ามาเจริญสติ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่าสัมปชัญญะ
เราพยายามฝึกความรู้ตัวตรงนี้ให้มีให้เกิดขึ้น ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ จนเอาไปใช้การใช้งานได้ รู้เท่าทันใจ แล้วก็รู้จักควบคุมใจ แล้วก็รู้จักอบรมใจ แล้วก็รู้เท่าทันว่าใจกับอาการของใจหรือว่าอาการของขันธ์ห้า ซึ่งเป็นความคิดเป็นฝ่ายนามธรรมเขาเกิดอย่างไร เขาร่วมกันได้อย่างไร ของละเอียดของดีอยู่ในกายของเรามีตั้งเยอะแยะ แต่เราขาดการเจริญสติ หรือว่ามาเจริญผู้รู้เข้าไปอบรม เข้าไปแยกแยะ เข้าไปชี้เหตุชี้ผล ตามดูเหตุดูผล ละกิเลส ทุกคนเกิดมาในโลกมนุษย์ก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ให้ถึงจุดหมายกันหมดทุกคน บางคนก็รู้แนวทาง บางคนก็หลงเตลิดเปิดเปิงไปเลยก็มี
หลงอยู่ในระดับคุณงามความดีก็มี หลงอยู่ในธรรมดำธรรมขาวก็มี โดนกิเลสเข้าครอบก็มี ความเกียจคร้านความเห็นแก่ตัว ความทะเยอทะยานอยากสารพัดอย่าง ใจของเรานี่มันหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดเนาะ แล้วก็หลงเกิดมาในภพของมนุษย์มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวใจเอาไว้อีก ร่างกายนี่ก็ปิดกั้นตัวใจเอาไว้ ส่วนนามธรรมความคิด อารมณ์ กิเลสต่างๆ ก็ปิดกั้นตัวใจเอาไว้อีก ตัวใจก็ยังทะเยอทะยานอยากปิดกั้นตัวเขาเอาไว้อีก แล้วก็มีความโลภความโกรธ ก็ปิดกั้นหลายชั้นหลายอันจริงๆ แต่เราก็มองว่าเราไม่หลง เพราะว่าอะไร เพราะใจเป็นธาตุรู้ เขาทั้งรู้ทั้งหลง
ท่านถึงให้มาสร้างสติ สร้างผู้รู้ตัวใหม่ให้ต่อเนื่องเอาไปใช้การใช้งาน เอาไปอบรมใจ ใจยังอบรมไม่ได้ ก็ใช้สมถะเข้าไปหยุดเข้าไปดับ ใช้พรหมวิหาร ความเมตตา ตบะบารมีต่างๆ เข้าไปแก้ไข ใจเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภ ใจเกิดความโกรธ เราพยายามดับความโกรธ ด้วยการให้อภัยอโหสิกรรม
ทุกดวงใจปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์กันทั้งนั้นแหละ เพราะความไม่รู้ความหลงทำให้ ทำให้จิตใจนี่เป็นทุกข์ เราก็หาวิธีแก้ การหาวิธีแก้นี่ก็หาไม่ถูกทาง หาด้วยความอยากที่เกิดจากใจอีก อยากรู้ธรรม อยากเห็นธรรม อยากปฏิบัติธรรม ความอยากก็ปิดกั้นเอาไว้อีก เจริญสติก็ไม่รู้จักลักษณะของสติ ที่หลวงพ่อพูดนี่แหละคือความรู้ตัวที่ลมหายใจเข้าหายใจออกให้ต่อเนื่อง นี่แหละเขาเรียกว่าสติ เขาเรียกว่าผู้รู้ เพียงแค่สร้างให้ต่อเนื่องให้มีให้เกิด ตรงนี้ก็ทำกันยากลําบาก จะเอาไปใช้การใช้งานได้ยังไง
ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ความเห็นแก่ตัวก็เข้าครอบงำ ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร เขาทำหน้าที่ของเขาหมด วิญญาณในกายทำหน้าที่อย่างไร แต่เรายังแยกแยะไม่ได้ ทำความเข้าใจไม่ได้เพราะกําลังสติมีไม่เพียงพอ ศรัทธาอาจจะมีอยู่ ทุกเรื่องยิ่งเห็นการเกิดการดับ ยิ่งเห็นใจคลายออกจากความคิด ตามดูรู้เห็นทุกอย่างอีก ชี้เหตุชี้ผล เพียงแค่ความอยากความเกิดนิดๆ หน่อยๆ เราก็ไม่ปล่อยให้เกิด ธรรม ธรรมชาติของใจที่ปราศจากกิเลส ธรรมชาติของใจที่ไม่มีกิเลส
ถ้าไม่พูดเรื่องนี้ไม่รู้จะพูดเรื่องอะไร เพราะมันเป็นเรื่องเดียว วิธีการแนวทาง แนวทางการละกิเลส การดับทุกข์ จะไปพูดออกจากจุดนี้ไปหาจุดอื่นก็เป็นผักบุ้งโหรงเหรง เราพยายามให้เห็นใจของเรา เห็นการเกิดการดับของใจ อบรมใจ ชี้เหตุชี้ผลคือกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด มันจะเข้าสู่สัมมาทิฏฐิ แยกรูปแยกนาม เห็นความเห็นที่ถูกต้อง ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดได้อีก มันก็เข้าสู่วิปัสสนาญาณ ละกิเลสตัวนี้ อัตตา ละอัตตาตัวตน ละทิฐิมานะ ละกิเลส ละความโลภ ละความโกรธ เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน จนกระทั่งถึงข้ามเขตปุถุชนเข้าเขตอริยะห่างไกลจากกิเลส หน่วงเหนี่ยวเอาความว่างเป็นอารมณ์ ได้ถึงนิพพาน นิพพานก็คือใจที่วางว่างจากกิเลส วางว่างจากหยุดการเกิดของใจ เราดับความเกิดขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ ดับความเกิดทางด้านจิตวิญญาณ
วิญญาณเขาเกิดมาในมาสร้างภพมนุษย์นี่ จนเราก็ดูแลทำความเข้าใจ ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในดวงวิญญาณ แล้วก็รอบรู้ในโลกธรรม โลกธรรมก็คือสมมติในสิ่งต่างๆ ที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่หลงสมมติ ดูแลรักษาอนุเคราะห์เข้าไปจนกว่าเขาจะแตกจะดับ เพราะว่าก้อนสมมติมันถึงเวลามันก็ต้องเสื่อม เพราะว่าทุกคนเกิดมาเท่าไรก็ตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว เพราะว่าถ้ามีการเกิดถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด แต่เขามาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ เราพยายามรีบตักตวงสร้างคุณงามความดี ให้มีให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ธรรมะไม่ได้อยู่กับคนโน้นคนนี้ ไม่ได้อยู่กับอาจารย์องค์โน้นองค์นี้ กายของเรานี่แหละก้อนธรรม ใจของเรานี่แหละองค์ธรรม
ขอให้เราทำความเข้าใจให้ถูกต้องเสีย การไปดิ้นรนแสวงหาที่โน่นที่นี่ก็เพื่อหาประสบการณ์ เรารู้จักวิถีแล้ว รู้จักแนวทางแล้วก็ การเจริญสติเป็นอย่างนี้นะ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ใจที่คลายออกจากความคิดเป็นอย่างนี้ นิวรณธรรมเป็นลักษณะอย่างนี้ สติพลั้งเผลอเป็นลักษณะอย่างนี้ ตื่นขึ้นมาใจของเราไปคิดอคติคนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ นั่นแหละมลทินมันเกิดขึ้นกับใจของเรา คนโน้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี มองเห็นตัว ยกตัวเองสูง มองเห็นคนอื่นต่ำ ก็ใจมันไม่นิ่งใจมันไม่เป็นกลาง มองไม่เห็นเป็นธรรมดาในความเกิดนั่นแหละ บาปมันก็เกิดขึ้นอยู่อย่างนั่นแหละ ทั้งทางกาย ทางวาจา ทั้งทางใจ ใจที่ไม่ปกตินั่นแหละ เขาเรียกว่าใจที่ไม่มีศีล ศีลระดับสมมติ วิมุตติ อธิจิต อธิศีล อธิวินัย ระดับใจก็ยังรักษาไม่ได้ วาจาก็ยังรักษาไม่ได้ ความคิดก็ยังไม่รู้จักควบคุม มันจะไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างไรล่ะ
ในหลักธรรมท่านก็ให้เจริญสติเข้าไปอบรมใจ อบรมหยุดไม่ได้ตั้งแต่ต้นเหตุ ก็ไม่ให้ออกทางกายทางวาจา ออกทางกายทางวาจา แล้วก็ถ้าแก้ไขไม่ได้ก็ใช้ปัญญาหลบหลีกเสียก่อน ค่อยแก้ไขไปทีละเล็กทีละน้อย ไล่เรียงลงไป จัดระบบระเบียบ แต่เวลานี้กําลังสติไม่ค่อยจะสนใจในการสร้างขึ้นมาเลย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา วันหนึ่งมีกี่นาที นาทีหนึ่ง ชั่วโมงหนึ่งมีกี่นาที ไล่เรียงลงไปอีก ถ้าความรู้ตัวไม่มี สติไม่มีล่ะ มันก็มีอยู่ในระดับของสมมติของโลกีย์เท่านั้น
หลวงพ่อก็จะขอพูดของเก่า ใครไม่รู้ ก็สักวันก็คงจะรู้ ถ้าดำเนินตามที่หลวงพ่อบอก การควบคุมใจควบคุมอารมณ์ การดูแล การรักษา การทำความเข้าใจ สักวันหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ ธรรมก็อยู่ที่กายที่ใจของเรา ไม่ได้อยู่ที่คนอื่น การไปหาประสบการณ์ที่โน่นที่นี่ ครูบาอาจารย์องค์นั้นองค์นี้มันดีหมดนั่นแหละ ไม่ใช่ว่าไม่ดี
ขอให้เราสานต่อให้มันถึงจุดหมาย แนวทางนั้นมีมาตั้งนาน พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเรื่องหลักของสัจจธรรมของชีวิต ท่านถึงตั้งขึ้นมาว่าสัจจธรรม ความจริงอันประเสริฐที่อยู่ในกายของเรา อริยสัจความจริงอันประเสริฐ อริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์ทำไมท่านถึงเรียกว่า ทุกข์ สมุทัยสาเหตุทั้งทางด้านรูปธรรมทั้งทางด้านนามธรรม วิธีการแนวทางเราทำถูกวิธี มรรคผลก็จะเกิดขึ้น
เราละกิเลสได้ ใจที่ไม่มีกิเลสเขาก็สะอาด เราดับความเกิดได้ ใจก็ไม่เกิด กิเลสมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันมีกันทุกคน เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะสนใจหรือไม่เท่านั้นเอง กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเพียงแค่การเกิดของใจมันเกิดสักกี่เรื่อง เอาเรื่องของเราให้ดี ทำหน้าที่ของเราให้ดี แก้ไข ปรับปรุง อบรมกาย วาจา ใจของเราให้ดี แก้ไขเราได้ก็จะล้นออกไปแก้ไขสมมติ ตัวเราก็ไม่รู้จักแก้ไข ตัวเราก็แบกกายของเราหนักตัวเองยังไม่พอ ก็ไปโยนให้ภาระให้คนโน้น โยนภาระให้คนนี้ แทนที่จะไปช่วยกันแก้ไขภาระกลับสร้างปัญหาไม่จบไม่สิ้น
ปัญหาภายนอกก็ไม่รู้จักแก้ ปัญหาภายในก็ไม่รู้จักแก้ แบกตั้งแต่ปัญหาไปโยนที่โน่นไปโยนที่นี่ ไม่รู้จักจุดปล่อยจุดวางมันก็ยากอยู่ แต่สิ่งพวกนี้เราก็โทษกันไม่ได้ เพราะว่าไม่มีใครที่อยากจะเข้าไปสู่ความทุกข์ เพราะความหลงอวิชชาชักนําพาไป เราก็มาแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา เรามีโอกาสช่วยเหลือกันได้ชี้แนะให้กันได้ เพียงแค่เล็กน้อย นอกจากพวกท่านจะพากันไปทำ ไปสร้างให้มีให้เกิดขึ้น อีกสักหน่อยก็พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ อย่าไปโทษคนโน้นอย่าไปโทษคนนี้ เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปโทษใครได้เลยนอกจากตัวของเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา
วันนี้ก็ชาวคณะระยองทางธานินทร์ก็ให้บริวารได้มาช่วยกัน มาก็ประมาณหลายคนอยู่ ให้ไปพักที่ศาลารวมญาติ ศาลารวมเทพ รู้สึกว่าข้าวของสิ่งอะไรต่างๆ ก็ให้ช่วยกันดูแลหน่อย เพราะว่าขโมยขโจรเยอะ เห็นใครมาคนมาเยอะๆ ขโมยขโจรก็มาแอบมาลักมางัดมาฉก มันก็เป็นขโมยก็ เราก็ดูแลของเรา คนขโมยเขาก็คอยที่เราเผลอเมื่อไหร่ ไม่ว่าอยู่ศาลา ท่าน้ำอยู่ที่ไหน กุฏิพระ กุฏิชี มันไปงัดไปฉกเอาหมด เราก็ยกให้เป็นกรรม เป็นกรรมเราก็ดูแลของเรา ไม่มีถ้ามีขโมยขโจรในชุมชนไหน ก็เพียงแค่คนเดียวก็วุ่นวาย อยู่ในวัดของเรานี้มาประจำเลย มาประจำ แล้วก็มาลักอันโน้นลักอันนี้ แม้แต่เครื่องขยายที่หลวงพ่อพูดอยู่ 4-5 เครื่องแล้ว เอามาตั้งมันก็มางัด มาลัก มาฉก ทุกอย่าง กุฏิหลวงพ่อมันก็ไปงัดนะ ก็ยกให้เป็นกรรม
วันนั้นก็ไปงัดกุฏิ ไปงัดกุฏิหลวงพ่อ งัดกุฏิหลวงพ่อยังไม่พอ ยังมานั่งถ่ายวิดีโอหลวงพ่ออยู่ตรงนี้ พอออกจากศาลาไปตำรวจเขาก็มาจับเอา บอกให้มันหนีไปเร็วๆ ไวๆ ไม่ไป ตำรวจลงมาจับเอา ติดคุกไปกี่ปีก็ไม่รู้ มันไปขโมยเครื่องของเขาทั้ง 3-4 เครื่อง ทั้งปืนก็มี แค่มันมาขอตังค์หลวงพ่อเองว่าเมียมันอยู่โรงพยาบาลไม่มีเงิน เมียเข้าโรงพยาบาลนอนอยู่ในโรงพยาบาลเป็นทุกข์หนักว่างั้นนะ เราอุตส่าห์ให้ตังค์ไปรีบไปช่วย มันมาโกหกเรา สงสัยป่านนี้อยู่ในคุกหลายปีหลายกระทง ตอนไปลักเครื่องของเขา มันงัด มันขึ้นไปงัดกุฏิหลวงพ่อ มันลงมา มันทำทีเนียนตำรวจเขาก็มาเอาไปเสีย นั่นแหละกรรมก็ถึงเวลากรรมของมัน
เราคงพยายามทำความเข้าใจกับกรรมภายใน คือตัวใจของเราไม่ให้หลงให้ยึด ให้สร้างกุศลกรรม ให้สร้างคุณงามความดี แล้วก็ไม่หลงไม่ยึด ยิ่งเป็นพระเราก็พยายามให้ถูกทาง อย่าไปหลงงมงาย หมอดูหมอเดาเครื่องรางของขลังสารพัดอย่าง ตัดออกให้มันหมด น้ำมูกน้ำมนต์อย่าให้มันมี ท่านสอนอย่างไร ขัดเกลากิเลสอย่างไรละกิเลสอย่างไร สร้างความขยันหมั่นเพียรอย่างไร อย่างไรที่จะทำใจให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ เราบวชมา เราบวชมาเพื่ออะไร จุดมุ่งหมายของการบวชอยู่ที่ไหน ไม่ใช่ว่าบวชมาแล้วก็มาสร้างทุกข์ให้ตัวเอง สร้างทุกข์ให้คนอื่น สร้างทุกข์ให้สถานที่ ถ้ามีแล้วก็ให้รู้จักพิจารณาตัวเอง ถ้าบอกไม่เชื่อฟัง ขอให้พิจารณาออกจากวัดได้ทันที เราไม่ให้มีสิ่งพวกนี้ให้มีให้เกิดขึ้น ถ้ามีเราก็พยายามแก้ไข ความขยันหมั่นเพียร อะไรที่จะประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์สมมติ ประโยชน์วิมุตติ ก็จะได้มีให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ให้พวกท่านได้อยู่ได้อาศัย
นั่นไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นมาโดย เกิดขึ้นมาด้วยแรงบุญของทุกคนหล่อหลอมกันมาให้เกิดขึ้นด้วยแรงบุญ ช่วยกันทำขึ้นมา ที่พักที่อาศัยของสมมติก็ไม่ให้ลําบากที่อยู่ที่กินที่ถ่ายที่เยี่ยว ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย กว่าจะเป็นกองบุญอันปึกแผ่นใหญ่ขึ้นมาได้ ก็อาศัยอานิสงส์ของผู้มีบุญ อดีตถึงปัจจุบัน จากปัจจุบันก็จะส่งผลถึงอนาคต ไม่ใช่ว่ามันมี มันเกิดขึ้นมา เรามีโอกาสมากได้มาร่วมกันได้มาช่วยกันมีอะไรก็ให้ช่วยกัน เราเกียจคร้านก็ละความเกียจคร้านออกไปเสีย เราไม่มีความเสียสละก็สร้างความเสียสละให้มีให้เกิดขึ้น สร้างความรับผิดชอบให้มีให้เกิดขึ้น
เจริญสติเข้าวิเคราะห์กาย วิเคราะห์ใจ วิเคราะห์สมมติในสิ่งที่เราเข้ามาอยู่ อยู่อย่างผู้รู้ ไม่ใช่รู้ว่าอยู่อย่างผู้หลง รู้แล้วก็ไม่หลงไม่ยึด แล้วก็ยังประโยชน์ ประหยัด มัธยัสถ์ ขยันหมั่นเพียร ทุกอิริยาบถนั่นแหละ ถึงจะไม่เสียทีเสียเที่ยวที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ หมั่นพร่ำสอนใจตัวเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราสอนเราไม่ได้อย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอนไม่มีประโยชน์ เราต้องสอนตัวเองแก้ไขตัวเอง แนวทางนั้นมีมาตั้งนาน ก็พยายามกันเอา
วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ
เราพยายามฝึกความรู้ตัวตรงนี้ให้มีให้เกิดขึ้น ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ จนเอาไปใช้การใช้งานได้ รู้เท่าทันใจ แล้วก็รู้จักควบคุมใจ แล้วก็รู้จักอบรมใจ แล้วก็รู้เท่าทันว่าใจกับอาการของใจหรือว่าอาการของขันธ์ห้า ซึ่งเป็นความคิดเป็นฝ่ายนามธรรมเขาเกิดอย่างไร เขาร่วมกันได้อย่างไร ของละเอียดของดีอยู่ในกายของเรามีตั้งเยอะแยะ แต่เราขาดการเจริญสติ หรือว่ามาเจริญผู้รู้เข้าไปอบรม เข้าไปแยกแยะ เข้าไปชี้เหตุชี้ผล ตามดูเหตุดูผล ละกิเลส ทุกคนเกิดมาในโลกมนุษย์ก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ให้ถึงจุดหมายกันหมดทุกคน บางคนก็รู้แนวทาง บางคนก็หลงเตลิดเปิดเปิงไปเลยก็มี
หลงอยู่ในระดับคุณงามความดีก็มี หลงอยู่ในธรรมดำธรรมขาวก็มี โดนกิเลสเข้าครอบก็มี ความเกียจคร้านความเห็นแก่ตัว ความทะเยอทะยานอยากสารพัดอย่าง ใจของเรานี่มันหลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดเนาะ แล้วก็หลงเกิดมาในภพของมนุษย์มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวใจเอาไว้อีก ร่างกายนี่ก็ปิดกั้นตัวใจเอาไว้ ส่วนนามธรรมความคิด อารมณ์ กิเลสต่างๆ ก็ปิดกั้นตัวใจเอาไว้อีก ตัวใจก็ยังทะเยอทะยานอยากปิดกั้นตัวเขาเอาไว้อีก แล้วก็มีความโลภความโกรธ ก็ปิดกั้นหลายชั้นหลายอันจริงๆ แต่เราก็มองว่าเราไม่หลง เพราะว่าอะไร เพราะใจเป็นธาตุรู้ เขาทั้งรู้ทั้งหลง
ท่านถึงให้มาสร้างสติ สร้างผู้รู้ตัวใหม่ให้ต่อเนื่องเอาไปใช้การใช้งาน เอาไปอบรมใจ ใจยังอบรมไม่ได้ ก็ใช้สมถะเข้าไปหยุดเข้าไปดับ ใช้พรหมวิหาร ความเมตตา ตบะบารมีต่างๆ เข้าไปแก้ไข ใจเกิดความโลภ เราก็พยายามละความโลภ ใจเกิดความโกรธ เราพยายามดับความโกรธ ด้วยการให้อภัยอโหสิกรรม
ทุกดวงใจปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์กันทั้งนั้นแหละ เพราะความไม่รู้ความหลงทำให้ ทำให้จิตใจนี่เป็นทุกข์ เราก็หาวิธีแก้ การหาวิธีแก้นี่ก็หาไม่ถูกทาง หาด้วยความอยากที่เกิดจากใจอีก อยากรู้ธรรม อยากเห็นธรรม อยากปฏิบัติธรรม ความอยากก็ปิดกั้นเอาไว้อีก เจริญสติก็ไม่รู้จักลักษณะของสติ ที่หลวงพ่อพูดนี่แหละคือความรู้ตัวที่ลมหายใจเข้าหายใจออกให้ต่อเนื่อง นี่แหละเขาเรียกว่าสติ เขาเรียกว่าผู้รู้ เพียงแค่สร้างให้ต่อเนื่องให้มีให้เกิด ตรงนี้ก็ทำกันยากลําบาก จะเอาไปใช้การใช้งานได้ยังไง
ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ความเห็นแก่ตัวก็เข้าครอบงำ ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร เขาทำหน้าที่ของเขาหมด วิญญาณในกายทำหน้าที่อย่างไร แต่เรายังแยกแยะไม่ได้ ทำความเข้าใจไม่ได้เพราะกําลังสติมีไม่เพียงพอ ศรัทธาอาจจะมีอยู่ ทุกเรื่องยิ่งเห็นการเกิดการดับ ยิ่งเห็นใจคลายออกจากความคิด ตามดูรู้เห็นทุกอย่างอีก ชี้เหตุชี้ผล เพียงแค่ความอยากความเกิดนิดๆ หน่อยๆ เราก็ไม่ปล่อยให้เกิด ธรรม ธรรมชาติของใจที่ปราศจากกิเลส ธรรมชาติของใจที่ไม่มีกิเลส
ถ้าไม่พูดเรื่องนี้ไม่รู้จะพูดเรื่องอะไร เพราะมันเป็นเรื่องเดียว วิธีการแนวทาง แนวทางการละกิเลส การดับทุกข์ จะไปพูดออกจากจุดนี้ไปหาจุดอื่นก็เป็นผักบุ้งโหรงเหรง เราพยายามให้เห็นใจของเรา เห็นการเกิดการดับของใจ อบรมใจ ชี้เหตุชี้ผลคือกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด มันจะเข้าสู่สัมมาทิฏฐิ แยกรูปแยกนาม เห็นความเห็นที่ถูกต้อง ละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดได้อีก มันก็เข้าสู่วิปัสสนาญาณ ละกิเลสตัวนี้ อัตตา ละอัตตาตัวตน ละทิฐิมานะ ละกิเลส ละความโลภ ละความโกรธ เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน จนกระทั่งถึงข้ามเขตปุถุชนเข้าเขตอริยะห่างไกลจากกิเลส หน่วงเหนี่ยวเอาความว่างเป็นอารมณ์ ได้ถึงนิพพาน นิพพานก็คือใจที่วางว่างจากกิเลส วางว่างจากหยุดการเกิดของใจ เราดับความเกิดขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ ดับความเกิดทางด้านจิตวิญญาณ
วิญญาณเขาเกิดมาในมาสร้างภพมนุษย์นี่ จนเราก็ดูแลทำความเข้าใจ ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในดวงวิญญาณ แล้วก็รอบรู้ในโลกธรรม โลกธรรมก็คือสมมติในสิ่งต่างๆ ที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่หลงสมมติ ดูแลรักษาอนุเคราะห์เข้าไปจนกว่าเขาจะแตกจะดับ เพราะว่าก้อนสมมติมันถึงเวลามันก็ต้องเสื่อม เพราะว่าทุกคนเกิดมาเท่าไรก็ตายหมด ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว เพราะว่าถ้ามีการเกิดถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด แต่เขามาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ เราพยายามรีบตักตวงสร้างคุณงามความดี ให้มีให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ธรรมะไม่ได้อยู่กับคนโน้นคนนี้ ไม่ได้อยู่กับอาจารย์องค์โน้นองค์นี้ กายของเรานี่แหละก้อนธรรม ใจของเรานี่แหละองค์ธรรม
ขอให้เราทำความเข้าใจให้ถูกต้องเสีย การไปดิ้นรนแสวงหาที่โน่นที่นี่ก็เพื่อหาประสบการณ์ เรารู้จักวิถีแล้ว รู้จักแนวทางแล้วก็ การเจริญสติเป็นอย่างนี้นะ ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่าย ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างนี้ ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างนี้ ใจที่คลายออกจากความคิดเป็นอย่างนี้ นิวรณธรรมเป็นลักษณะอย่างนี้ สติพลั้งเผลอเป็นลักษณะอย่างนี้ ตื่นขึ้นมาใจของเราไปคิดอคติคนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนั้นเป็นอย่างนี้ นั่นแหละมลทินมันเกิดขึ้นกับใจของเรา คนโน้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี มองเห็นตัว ยกตัวเองสูง มองเห็นคนอื่นต่ำ ก็ใจมันไม่นิ่งใจมันไม่เป็นกลาง มองไม่เห็นเป็นธรรมดาในความเกิดนั่นแหละ บาปมันก็เกิดขึ้นอยู่อย่างนั่นแหละ ทั้งทางกาย ทางวาจา ทั้งทางใจ ใจที่ไม่ปกตินั่นแหละ เขาเรียกว่าใจที่ไม่มีศีล ศีลระดับสมมติ วิมุตติ อธิจิต อธิศีล อธิวินัย ระดับใจก็ยังรักษาไม่ได้ วาจาก็ยังรักษาไม่ได้ ความคิดก็ยังไม่รู้จักควบคุม มันจะไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างไรล่ะ
ในหลักธรรมท่านก็ให้เจริญสติเข้าไปอบรมใจ อบรมหยุดไม่ได้ตั้งแต่ต้นเหตุ ก็ไม่ให้ออกทางกายทางวาจา ออกทางกายทางวาจา แล้วก็ถ้าแก้ไขไม่ได้ก็ใช้ปัญญาหลบหลีกเสียก่อน ค่อยแก้ไขไปทีละเล็กทีละน้อย ไล่เรียงลงไป จัดระบบระเบียบ แต่เวลานี้กําลังสติไม่ค่อยจะสนใจในการสร้างขึ้นมาเลย ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา วันหนึ่งมีกี่นาที นาทีหนึ่ง ชั่วโมงหนึ่งมีกี่นาที ไล่เรียงลงไปอีก ถ้าความรู้ตัวไม่มี สติไม่มีล่ะ มันก็มีอยู่ในระดับของสมมติของโลกีย์เท่านั้น
หลวงพ่อก็จะขอพูดของเก่า ใครไม่รู้ ก็สักวันก็คงจะรู้ ถ้าดำเนินตามที่หลวงพ่อบอก การควบคุมใจควบคุมอารมณ์ การดูแล การรักษา การทำความเข้าใจ สักวันหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ ธรรมก็อยู่ที่กายที่ใจของเรา ไม่ได้อยู่ที่คนอื่น การไปหาประสบการณ์ที่โน่นที่นี่ ครูบาอาจารย์องค์นั้นองค์นี้มันดีหมดนั่นแหละ ไม่ใช่ว่าไม่ดี
ขอให้เราสานต่อให้มันถึงจุดหมาย แนวทางนั้นมีมาตั้งนาน พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบเรื่องหลักของสัจจธรรมของชีวิต ท่านถึงตั้งขึ้นมาว่าสัจจธรรม ความจริงอันประเสริฐที่อยู่ในกายของเรา อริยสัจความจริงอันประเสริฐ อริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์ทำไมท่านถึงเรียกว่า ทุกข์ สมุทัยสาเหตุทั้งทางด้านรูปธรรมทั้งทางด้านนามธรรม วิธีการแนวทางเราทำถูกวิธี มรรคผลก็จะเกิดขึ้น
เราละกิเลสได้ ใจที่ไม่มีกิเลสเขาก็สะอาด เราดับความเกิดได้ ใจก็ไม่เกิด กิเลสมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มันมีกันทุกคน เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะสนใจหรือไม่เท่านั้นเอง กิเลสหยาบกิเลสละเอียด ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเพียงแค่การเกิดของใจมันเกิดสักกี่เรื่อง เอาเรื่องของเราให้ดี ทำหน้าที่ของเราให้ดี แก้ไข ปรับปรุง อบรมกาย วาจา ใจของเราให้ดี แก้ไขเราได้ก็จะล้นออกไปแก้ไขสมมติ ตัวเราก็ไม่รู้จักแก้ไข ตัวเราก็แบกกายของเราหนักตัวเองยังไม่พอ ก็ไปโยนให้ภาระให้คนโน้น โยนภาระให้คนนี้ แทนที่จะไปช่วยกันแก้ไขภาระกลับสร้างปัญหาไม่จบไม่สิ้น
ปัญหาภายนอกก็ไม่รู้จักแก้ ปัญหาภายในก็ไม่รู้จักแก้ แบกตั้งแต่ปัญหาไปโยนที่โน่นไปโยนที่นี่ ไม่รู้จักจุดปล่อยจุดวางมันก็ยากอยู่ แต่สิ่งพวกนี้เราก็โทษกันไม่ได้ เพราะว่าไม่มีใครที่อยากจะเข้าไปสู่ความทุกข์ เพราะความหลงอวิชชาชักนําพาไป เราก็มาแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา เรามีโอกาสช่วยเหลือกันได้ชี้แนะให้กันได้ เพียงแค่เล็กน้อย นอกจากพวกท่านจะพากันไปทำ ไปสร้างให้มีให้เกิดขึ้น อีกสักหน่อยก็พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ อย่าไปโทษคนโน้นอย่าไปโทษคนนี้ เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปโทษใครได้เลยนอกจากตัวของเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา
วันนี้ก็ชาวคณะระยองทางธานินทร์ก็ให้บริวารได้มาช่วยกัน มาก็ประมาณหลายคนอยู่ ให้ไปพักที่ศาลารวมญาติ ศาลารวมเทพ รู้สึกว่าข้าวของสิ่งอะไรต่างๆ ก็ให้ช่วยกันดูแลหน่อย เพราะว่าขโมยขโจรเยอะ เห็นใครมาคนมาเยอะๆ ขโมยขโจรก็มาแอบมาลักมางัดมาฉก มันก็เป็นขโมยก็ เราก็ดูแลของเรา คนขโมยเขาก็คอยที่เราเผลอเมื่อไหร่ ไม่ว่าอยู่ศาลา ท่าน้ำอยู่ที่ไหน กุฏิพระ กุฏิชี มันไปงัดไปฉกเอาหมด เราก็ยกให้เป็นกรรม เป็นกรรมเราก็ดูแลของเรา ไม่มีถ้ามีขโมยขโจรในชุมชนไหน ก็เพียงแค่คนเดียวก็วุ่นวาย อยู่ในวัดของเรานี้มาประจำเลย มาประจำ แล้วก็มาลักอันโน้นลักอันนี้ แม้แต่เครื่องขยายที่หลวงพ่อพูดอยู่ 4-5 เครื่องแล้ว เอามาตั้งมันก็มางัด มาลัก มาฉก ทุกอย่าง กุฏิหลวงพ่อมันก็ไปงัดนะ ก็ยกให้เป็นกรรม
วันนั้นก็ไปงัดกุฏิ ไปงัดกุฏิหลวงพ่อ งัดกุฏิหลวงพ่อยังไม่พอ ยังมานั่งถ่ายวิดีโอหลวงพ่ออยู่ตรงนี้ พอออกจากศาลาไปตำรวจเขาก็มาจับเอา บอกให้มันหนีไปเร็วๆ ไวๆ ไม่ไป ตำรวจลงมาจับเอา ติดคุกไปกี่ปีก็ไม่รู้ มันไปขโมยเครื่องของเขาทั้ง 3-4 เครื่อง ทั้งปืนก็มี แค่มันมาขอตังค์หลวงพ่อเองว่าเมียมันอยู่โรงพยาบาลไม่มีเงิน เมียเข้าโรงพยาบาลนอนอยู่ในโรงพยาบาลเป็นทุกข์หนักว่างั้นนะ เราอุตส่าห์ให้ตังค์ไปรีบไปช่วย มันมาโกหกเรา สงสัยป่านนี้อยู่ในคุกหลายปีหลายกระทง ตอนไปลักเครื่องของเขา มันงัด มันขึ้นไปงัดกุฏิหลวงพ่อ มันลงมา มันทำทีเนียนตำรวจเขาก็มาเอาไปเสีย นั่นแหละกรรมก็ถึงเวลากรรมของมัน
เราคงพยายามทำความเข้าใจกับกรรมภายใน คือตัวใจของเราไม่ให้หลงให้ยึด ให้สร้างกุศลกรรม ให้สร้างคุณงามความดี แล้วก็ไม่หลงไม่ยึด ยิ่งเป็นพระเราก็พยายามให้ถูกทาง อย่าไปหลงงมงาย หมอดูหมอเดาเครื่องรางของขลังสารพัดอย่าง ตัดออกให้มันหมด น้ำมูกน้ำมนต์อย่าให้มันมี ท่านสอนอย่างไร ขัดเกลากิเลสอย่างไรละกิเลสอย่างไร สร้างความขยันหมั่นเพียรอย่างไร อย่างไรที่จะทำใจให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ เราบวชมา เราบวชมาเพื่ออะไร จุดมุ่งหมายของการบวชอยู่ที่ไหน ไม่ใช่ว่าบวชมาแล้วก็มาสร้างทุกข์ให้ตัวเอง สร้างทุกข์ให้คนอื่น สร้างทุกข์ให้สถานที่ ถ้ามีแล้วก็ให้รู้จักพิจารณาตัวเอง ถ้าบอกไม่เชื่อฟัง ขอให้พิจารณาออกจากวัดได้ทันที เราไม่ให้มีสิ่งพวกนี้ให้มีให้เกิดขึ้น ถ้ามีเราก็พยายามแก้ไข ความขยันหมั่นเพียร อะไรที่จะประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์สมมติ ประโยชน์วิมุตติ ก็จะได้มีให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ให้พวกท่านได้อยู่ได้อาศัย
นั่นไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นมาโดย เกิดขึ้นมาด้วยแรงบุญของทุกคนหล่อหลอมกันมาให้เกิดขึ้นด้วยแรงบุญ ช่วยกันทำขึ้นมา ที่พักที่อาศัยของสมมติก็ไม่ให้ลําบากที่อยู่ที่กินที่ถ่ายที่เยี่ยว ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย กว่าจะเป็นกองบุญอันปึกแผ่นใหญ่ขึ้นมาได้ ก็อาศัยอานิสงส์ของผู้มีบุญ อดีตถึงปัจจุบัน จากปัจจุบันก็จะส่งผลถึงอนาคต ไม่ใช่ว่ามันมี มันเกิดขึ้นมา เรามีโอกาสมากได้มาร่วมกันได้มาช่วยกันมีอะไรก็ให้ช่วยกัน เราเกียจคร้านก็ละความเกียจคร้านออกไปเสีย เราไม่มีความเสียสละก็สร้างความเสียสละให้มีให้เกิดขึ้น สร้างความรับผิดชอบให้มีให้เกิดขึ้น
เจริญสติเข้าวิเคราะห์กาย วิเคราะห์ใจ วิเคราะห์สมมติในสิ่งที่เราเข้ามาอยู่ อยู่อย่างผู้รู้ ไม่ใช่รู้ว่าอยู่อย่างผู้หลง รู้แล้วก็ไม่หลงไม่ยึด แล้วก็ยังประโยชน์ ประหยัด มัธยัสถ์ ขยันหมั่นเพียร ทุกอิริยาบถนั่นแหละ ถึงจะไม่เสียทีเสียเที่ยวที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ หมั่นพร่ำสอนใจตัวเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราสอนเราไม่ได้อย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอนไม่มีประโยชน์ เราต้องสอนตัวเองแก้ไขตัวเอง แนวทางนั้นมีมาตั้งนาน ก็พยายามกันเอา
วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ