หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 090

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 090
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 090
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
มีความสุขกันทุกคน วันนี้ก็เป็นวันเสาร์ เสาร์ที่ 16 หรือ 17 เสาร์ที่ 17 ใกล้จะออกพรรษา สิ้นเดือนวันที่ 1 วันที่ 1 ก็เป็นงานกฐินกัน ก็บอกกล่าวพี่น้องเราทุกคนมาร่วมสร้างกองมหากฐิน พระมหาเจดีย์ใหญ่ที่ลานเจดีย์กัน ตอนนี้ก็ลงมือหน่วยขุดเจาะ เมื่อวานนี้ว่าจะได้เทสักต้นก็ไม่ได้เท ในวันนี้คงได้เทตอนเช้า ต้นใหญ่เสาใหญ่ต้องเจาะหล่อกับที่ประมาณสักเดือนหรือเดือนครึ่ง ประมาณ 2 เดือนก็คงจะเสร็จ เสาหล่อเสาเจาะรับน้ำหนักเยอะ ต้องทำให้ดีให้มาตรฐานให้แข็งแรง

พวกเรามีโอกาสมากได้มาร่วมกัน ทั้งใกล้ทั้งไกล ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ ได้ยินข่าวทราบข่าวก็พากันมา เรื่องบุญนี้สำคัญ บุญสมมติเราก็ทำให้เต็มเปี่ยม ส่วนการขัดเกลากิเลสเราก็พยายามวิเคราะห์ขัดเกลากิเลสตามแนวทางของพระพุทธองค์ ทำความเห็นให้ถูก ทำความเห็นให้ตรง ความเห็นถูกความเห็นตรงของพระพุทธองค์นั้น เราต้องเจริญสติเข้าไปคลายออกจากขันธ์ห้าหรือว่าแยกรูปแยกนาม ท่านถึงว่าความเห็นถูก

แต่เรายังแยกไม่ได้เราก็คิดว่าเราถูก คิดถูกทำถูก มันก็ถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่ตามความเป็นจริงเขาหลงอยู่ หลงมาเกิดสร้างกายเนื้อมาปิดกั้นตัวเอง แล้วก็ตัววิญญาณก็ยังเกิดต่อ ก็ยังคิดต่อ ความคิดนั่นแหละความเกิด ก็ยังเกิดต่อ เกิดต่อก็ยังไม่พอก็ยังเป็นทาสของกิเลสอีก มีความทะเยอทะยานอยาก ความโลภ ความโกรธเข้าไปครอบงำ ความหลงในความเกิด ความหลงในชั้นแรก ความเกิดแล้วก็มาสร้างกายเนื้อ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัววิญญาณเอาไว้อีก มีความหลงอีกชั้นหนึ่ง

ท่านถึงให้มาเจริญสติลงที่กาย เข้าไปสังเกตวิเคราะห์ รู้ไม่ทันก็รู้จักหยุดรู้จักดับทุกเรื่องในชีวิต ตั้งแต่ตื่นขึ้นมากายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร เวลาจะขบจะฉันจะรับประทานข้าวปลาอาหาร ใจเกิดความอยากหรือว่ากายเกิดความหิว เราต้องทำความเข้าใจ ความอยากนี่ล่ะสำคัญ อยากมีอยากเป็น ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ตรงกันข้ามอีกมันเกิดอยู่ตลอดเวลา กิเลสมารต่างๆเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาก็หาเรื่อง หาเหตุหาผลมาปิดกั้นตัวเองเอาไว้

เราต้องพยายามขัดเกลา หมั่นพร่ำสอน เจริญสติเข้าไปพร่ำสอนใจ อบรมใจ เป็นเพื่อนใจ แต่เวลานี้กําลังสติปัญญาในทางหลักธรรมของพระพุทธองค์มีน้อย มีไม่เข้มแข็ง ก็เลยเอาไปใช้การใช้งานไม่ได้ ก็อาจจะไปควบคุมใจได้เป็นบางเรื่อง ควบคุมอารมณ์ได้เป็นบางเรื่อง เราต้องพยายามคลายใจออกให้รับรู้ผิดถูกชั่วดีอย่างไร สติปัญญาทำหน้าที่แก้ไข จนกว่าจะหมดลมหายใจ

เลือกทำเฉพาะประโยชน์ อะไรไม่ใช่ประโยชน์เราก็ไม่ทำ ประโยชน์มากประโยชน์น้อย ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์ภายในให้ถึงจุดหมายคือความบริสุทธิ์ เพราะว่าตัวใจตัวเดิมนั้นเขาสะอาดอยู่เดิม ความไม่รู้ทำให้เขาเกิด เขาเกิดมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้วแหละ จนกระทั่งได้มาอยู่ในภพของมนุษย์ ตรงนั้นพระพุทธองค์ท่านว่าอย่าเพิ่งไปนั่น เอาแค่ปัจจุบัน อบรมขณะที่เขาอยู่ในกายของเราให้ได้เสียก่อน แล้วก็ชี้เหตุชี้ผลให้ได้ทุกอย่าง เขาก็จะยอมรับความเป็นจริงอีก บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ขยันหมั่นเพียร

คนที่มีบุญเขาจะสอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา ตื่นขึ้นมาใจเป็นอย่างไร อะไรทำควรทำก่อน อะไรควรทำหลัง กายทำหน้าที่อย่างไร ภาษาทำธรรมภาษาโลกเป็นอย่างไร โลกธรรมเป็นอย่างไร อะไรคือสมมติวิมุตติ พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร ทำอย่างไรเราถึงจะเข้าถึง ทำอย่างไรกิเลสถึงจะออกจากใจของเราให้มันหมด ทีนี้เราจะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องปัญญา ขยันหมั่นเพียร มีความเพียรเป็นเลิศ แต่พวกเราก็ฝักใฝ่สนใจกันอยู่ พยายามเดินให้ถึงฝั่ง ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็วตราบใดที่ยังเดินอยู่ ยังมองอานิสงส์ผลบุญผลทาน อยู่ในกองบุญ อยู่ในกองกุศลอยู่

ญาติโยมไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในประเทศไทยของเราก็นับว่าเกิดในมามาในประเทศที่มีพุทธศาสนาเป็นหลัก เป็นหลักชัย เป็นบุญในระดับหนึ่ง ไปเกิดบางที่บางทางนี้คําว่าพุทธศาสนานี่ไม่รู้เรื่อง ยิ่งมาเกิดในตระกูลที่เป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกคือเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยยิ่งใกล้พระพุทธเจ้าเข้าไปอีก ยิ่งมาปฏิบัติขัดเกลากิเลสตามแนวทางของพระพุทธองค์อีกยิ่งใกล้เข้าไปอีก มาทำความเห็นให้ถูกอีก เดินปัญญาแยกรูปแยกนามตามดูชี้เหตุชี้ผล

เอาพระพุทธองค์มาไว้ที่ใจของตัวเรา พุทธะก็คือผู้รู้ เรามาเจริญสติเข้าไปอบรมผู้รู้ แต่เวลานี้เขาทั้งรู้ ทั้งเกิด ทั้งหลง ตัวใจนั่นแหละทั้งรู้ทั้งเกิดทั้งหลง เราต้องพยายามขัดเกลาเอาออก ชี้แนะแนวทาง อบรมใจของเรา จากความไม่มี ใจเข้ามาสร้างใจจะมืดมิด เราก็มาคลายออกให้กลับคืนสู่สภาพเดิม จะมีจะเอาจะเป็น ก็เป็นเรื่องของปัญญาทำหน้าที่แทน พระพุทธองค์ท่านบอกว่าให้ปฏิบัติอย่างนี้ๆ แล้วก็ให้รู้ให้เห็นอย่างนี้

ท่านถึงบอกให้เชื่อ พวกเราก็เชื่ออยู่ในระดับของสมมติ แต่ยังไม่เห็นในลักษณะของใจ ท่านว่าใจนี่มีแต่ความว่าง ไม่มีตัวไม่มีตน เราจะหาเจอได้อย่างไรล่ะ ก็ต้องหาสิ หาวิธีของพระพุทธองค์ อัตตา ท่านสอนเรื่องอัตตาอนัตตา สอนเรื่องการดำเนินชีวิต สัจธรรมของชีวิต เอาไปใช้กับชีวิตประจำวันของตัวเราจนกว่าจะหมดลมหายใจ

เพราะว่าทุกคนเกิดมาเท่าไรตายหมด มารับเอาโลงทุกวัน เมื่อวานนี้ก็มา วันก่อนนี้ 2-3 วันก่อนนั้นก็มา ยังไม่ถึงสิ้นเดือนดีก็ปาเข้าไป 14-15 ศพเลย เพียงแค่ต้นเดือนมานี้ นั่นแหละความตาย คนอื่นเขาไปให้เห็น เราก็จะได้ไปเหมือนกัน ขณะยังไม่หมดลมหายใจยังไม่ได้ไป ก็พยายามสร้างคุณงามความดี สร้างประโยชน์สร้างอานิสงส์เอาไว้ เราก็พยายามช่วยเหลือจิตวิญญาณของตัวเอง อบรมจิตวิญญาณของตัวเอง

บุญสมมติเราก็ทำ หลวงพ่อก็พาทำอยู่ บุญสมมติบุญวิมุตติ โลกกับธรรมก็อยู่ด้วยกัน สมมติกับวิมุตติก็อยู่ด้วยกัน ไม่จำเป็นต้องไปให้คนอื่นเขาบังคับ เราต้องบังคับตัวเองแก้ไขตัวเอง จนไม่มีอะไรที่จะบังคับ จนไม่มีอะไรที่จะแก้ไข ก็แก้ก็บริหารสมมติด้วยปัญญาทางโลก บริหารสสมมติด้วยปัญญา คลี่คลายที่อยู่เหนือโลก ปัญญาธรรม พลิกจากปัญญาโลกให้เป็นปัญญาธรรม ทำความเข้าใจกับกรรมเพราะว่าคนเรามาด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม กรรมของพระพุทธองค์เป็นลักษณะอย่างไร ก็ขันธ์ห้านั่นแหละ ตัวมาหมุนใจของตัวเอง หมุนแล้วก็ไปด้วยกันส่งเสริมกันไป ก็ยังไม่มีความรู้เลย เขาหมุนกันอยู่ตลอดเวลา ก็ยกระดับใจให้อยู่เหนือทุกอย่างไม่ได้ บางทีก็บังคับได้อยู่บางทีก็ส่งเสริมกันไป เป็นเรื่องของเราทุกคนที่จะต้องศึกษาจิตวิญญาณของตัวเอง อย่าไปให้คนอื่นบังคับ อย่าไปเที่ยวให้คนโน้นเขาบังคับ พาเดินพานั่งพาทำ มันไปไม่ถึงไหนหรอก

ตื่นขึ้นมา ใจของเราไปอย่างไรมายังไง รีบแก้ไข สติของเราต่อเนื่องหรือไม่ เราวิเคราะห์ฐานของใจได้ทันหรือเปล่า กายวิเวกเป็นอย่าไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร บุคคลเช่นนี้แหละจะไปได้เร็วได้ไวถึงฝั่งได้เร็วได้ไว บุญสมมติเราก็ทำให้เต็มเปี่ยม

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ที่เกิดจากตัวใจเกิดจากขันธ์ห้าของเราเอาไว้เสียก่อน ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสู่ลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ลมหายใจเข้าหายใจออก เวลาลมหายใจยาวหายใจสั้นเขามีความรู้สึกที่กระทบปลายจมูกของเรา นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ ทำอย่างไรเราถึงจะสร้างความรู้สึกตรงนี้ให้ต่อเนื่อง

ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ความรู้สึกพลั่งเผลอเราก็เริ่มใหม่ เพราะความเคยกินเก่าๆ เราไม่ได้สร้างความรู้ตัวตรงนี้ ทั้งที่เราก็หายใจตั้งแต่เกิด ถ้าขาดการหายใจเพียงแค่นาทีสองนาทีก็จะเอาชีวิตแทบไม่อยู่แล้ว เราพยายามสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง ถ้าสติของเรารู้ตัวต่อเนื่องเชื่อมโยงแล้วก็ส่วนการเกิดของใจซึ่งอยู่ในกายของเราหรือว่าวิญญาณในกายของเรานั้นเขาเกิดอยู่ตลอดเวลา บางคนก็ไปเร็วบางคนก็ไปช้า แล้วก็มีความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดผุดขึ้นมา ตัวใจกับอาการของใจเขารวมเป็นตัวเดียวกัน เขาไปด้วยกัน ทำให้เกิดอัตตาตัวตน นี่แหละ ความหลง

เพียงแค่หลงในระดับของตัวใจกับขันธ์ห้าเข้าไปรวมกัน ส่วนความเกิดนั้นหลง ถ้าไม่หลงไม่เกิด ไม่ว่าจะเกิดฝ่ายดีฝ่ายไม่ดี ฝ่ายดำฝ่ายขาว เพียงแค่การเกิดของใจนั้นหลง เราต้องมาคลายขันธ์ห้า แล้วก็มาดับความเกิดอีก คลายเฉยๆ ก็ไม่ได้ สติที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละตามดู ตามรู้ ตามเห็น เห็นความเกิดความดับก็เรียกว่า เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในกายของตัวเรา เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าว่าเป็นเรื่องอะไร ทำไมวิญญาณของเราถึงไปหลงไปรวมเป็นตัวเดียวกัน เป็นสิ่งเดียวกัน ส่งเสริมไปด้วยกัน

เรามาตามดูตามรู้ เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล นี่แหละเหตุผลตรงนี้แหละต้องคลายให้ได้ ถ้าเราคลายไม่ได้เราก็ได้แค่ควบคุมใจ ควบคุมใจแล้วก็อยู่ในคุณงามความดี เห็นผิดเห็นถูกอยู่ในระดับของสมมติ เรามาดับความเกิดอีก ตัวใจเขาก็หลอกตัวเองอีกตลอดเวลา หาทางแต่สิ่งดีๆ มาหลอก ไล่ลงไปเรื่อยๆ ไล่เรื่อยๆ เราดับบ่อยๆ ดับบ่อยๆ ตัวใจก็จะสั้นลงๆๆ จนถึงการก่อตัวการเกิดที่ฐาน เราดับที่ฐานถึงตัวของเขา คนส่วนมากก็ไปคิดหาเอายิ่งปิดกั้นตัวเอง สติปัญญาก็หาเหตุหาผลมาหลอกตัวเองอีก

ทุกอย่างเราต้องให้ใจของเราอยู่ในความเป็นกลาง รับรู้ เห็นเหตุเห็นผล ทุกเรื่องทุกอย่างทุกครั้ง ก็ถ้าว่าจะพูดก็พูดยากอยู่ มันจะง่ายสำหรับบุคคลที่ฝักใฝ่สนใจ มีจิตใจที่ขัดเกลาเสียสละออกทุกอย่าง มันถึงจะง่าย มันจะยากสำหรับบุคคลที่เกียจคร้าน ยากสำหรับบุคคลที่ไม่ละกิเลส เราก็ต้องพยายามนะ ได้บ้างไม่ได้บ้างก็ต้องพยายามทำ อีกสักหน่อยก็ ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว เมื่อไม่ถึงวันนี้ก็พรุ่งนี้ เดือนนี้เดือนหน้า ถ้าไม่ถึงจริงๆ ก็ไปต่อภพหน้า เพราะว่าวิญญาณนั้นมีการเกิดยังมีอยู่ มันไม่เหลือวิสัยหรอก

เราพยายามน้อมใจของเราให้อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ ให้มีศรัทธาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย แล้วก็ปฏิบัติให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน แนวทางนั้นมีมานาน เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะรู้ถึงฐานใจของตัวเองหรือไม่เท่านั้นเอง

สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ

พากันไหว้พระไปพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง