หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 48

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 48
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 48
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 48
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 11 เมษายน 2558

มีความสุขกันทุกคน วันนี้เป็นวันพระ พากันสมาทานศีลไหว้พระกันเสียก่อนนะ มาพร้อมเพรียงกันแล้วหรือยัง วันนี้วันที่ 11 หนึ่งไม่มีสอง หนึ่งสองตัว เลขสองไม่มี ความเป็นเอกสองตัวคือหนึ่งไม่มีสอง ใจบุญ ยิ้มมีความสุข ระวังเขาจะว่าเป็นบ้าเด้อ ยิ้มอยู่คนเดียวเขาไม่รู้กับเรา พากันสมาทานศีลกันเสียก่อน

วันนี้ก็มีอานิสงส์แรงยิ่ง เจ้าภาพใหญ่เจ้าภาพที่ดินจะมารายงานตัว ที่ขอซื้อที่ดิน 15 ไร่ ไปประชุมกับพี่กับน้อง เห็นว่าบ่ายโมงจะมารายงานว่าไปอย่างไรมาอย่างไร ได้ยินข่าวทราบข่าวว่าคงจะได้อยู่ จะทำบุญด้วย ทำบุญด้วยถวายครึ่งหนึ่ง แล้วก็ขอทุน ที่ดินไม่มาก เราก็รวมพลังกันจะซื้อที่ดินประมาณ 15 ไร่ สร้างเจดีย์ใหญ่ เจ้าคุณจะสร้างเจดีย์ใหญ่ก็คงจะไม่ทันแล้ว ท่านเจ้าคุณจะสร้างเจดีย์ มีโอกาสก็มารวมพลังกันซื้อ ถ้าไม่ทันเจ้าคุณเหมาคนองค์เดียวนะ บอกประกาศให้ทุกคนได้ทราบกัน ถ้าไม่ทันเจ้าคุณเอาองค์เดียวเลย เห็นว่ารออยู่ หลังจากมื้อนี้ไป ทันก็ทัน ไม่ทันก็เสร็จก่อน

ดูดีๆ นะ พระเรา ก่อนที่จะขบจะฉัน พิจารณาปฏิสังขาโยทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ไม่ใช่ปล่อยเวลาทิ้ง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาก็รู้ลมหายใจ รู้กายรู้ใจ อะไรคือสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา ส่วนการเกิดการดับของใจนั้นเขามีมาตั้งนาน เขาหลงมานาน หลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์แล้วเขาก็ยังเกิดต่อ ความคิดนั่นแหละที่ส่งออกไปภายนอกต่อ ทั้งความคิด ทั้งความทะเยอทะยานอยาก ทั้งความอยาก สารพัดอย่างที่เข้าไป เราต้องจัดการอบรมใจของเราให้กลับคืนสู่สภาพเดิม คือความสะอาด ความบริสุทธิ์ แล้วก็หนุนกําลังสติปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน เอาแทน

ความอยากเล็กๆ น้อยๆ ก็อย่าให้เกิดขึ้นที่ใจ ถ้าเกิดขึ้นที่ใจแล้วก็รีบดับ ดับไม่ได้ก็นั่งดู คนเรามองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็เลยไม่ได้ความจริง ทั้งที่ใจเป็นบุญ บุญสมมติหลวงพ่อก็พาทำทุกวันนั่นแหละ ทำทุกวันไม่ให้ขาด ทั้งการให้ทาน ทั้งความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบ ความเสียสละ พายังสมมติให้เกิดประโยชน์ให้เต็มเปี่ยม ได้กําไรชีวิต

พระเราก็เยอะชีเราก็เยอะ ดูดีๆ นะ อาหารแต่ละชิ้นแต่ละอัน มองบนมองล่าง มองกลางใจของเรา เห็นอาหาร บางครั้งบางคราวชีร้องไห้เลยว่าไม่ค่อยจะได้ฉันเท่าไร สามเณรเอาไปหมดก่อนว่าอย่างนั้น มองดูอยู่ว่าจะมาถึงก็ไม่ถึงสักที ดูดีๆ นะสามเณร ‘อยาก’ นั่งดู ถ้าหิวก็ค่อยเอา มีกฎเกณฑ์อยู่ มาบวชเวลาสึกน้ำหนักต้องเพิ่มอีก 2 กิโล ถึงจะได้สึก ถ้าน้ำหนักไม่เพิ่มไม่ผ่านเกณฑ์ต้องทำน้ำหนักใหม่ เดี๋ยวจะหาว่าเจ้าคุณเลี้ยงไม่อ้วนเลี้ยงไม่ดี แต่ถ้าอยาก เราก็ห้าม ดู ดูเฉยๆ ห้ามเอา มันผ่านเลยไปก็ว่ามันยังเสียดายอาลัยอาวรณ์หรือเปล่า ฝึกเอาไว้ โตขึ้นไปจะรู้คุณค่า ถึงไม่รู้ความหมายตอนนี้ เมื่ออายุมากขึ้น ปัญญาทางโลกเก่งขึ้น ก็จะน้อมเข้าไปดูทางธรรม ก็จะไปได้เร็วได้ไว

ส่วนมากก็มีแต่สอนกันให้อยากให้เอา ให้ดิ้นรนหรือแสวงหาด้วยความอยากของกิเลส ให้ละความอยากที่เกิดจากใจ ให้เป็นผู้ให้ ให้ความเสียสละ พรหมวิหารความเมตตา แล้วก็เอาด้วยสติเอาด้วยปัญญา มีด้วยสติมีด้วยปัญญา รู้จักแบ่งรู้จักปัน จะเอาตั้งแต่ธรรม ความเสียสละไม่มีมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเราต้องฝึกหัดเป็นผู้ให้ แล้วก็เอาด้วยเหตุด้วยผล มีด้วยเหตุด้วยผล รู้จักช่วยเหลือตัวเอง แล้วก็รู้จักช่วยเหลือคนอื่น

มีโอกาสได้สร้างบุญ เราอย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง บุญภายนอกบุญสมมติเราก็ทำ ความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบ ความเสียสละ ความอดทน ตบะบารมีเราก็ต้องสร้าง ไล่เรียงลงไปจนกระทั่งจัดระบบระเบียบ ทำไมจิตวิญญาณในกายของเราถึงเกิด ทำไมใจของเราถึงเกิดกิเลส ทำไมความคิดถึงผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจได้ วิธีไหนที่จะเข้าถึง แนวทางวิธีการแนวทางนั้น พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมานานแล้ว เราจงปฏิบัติตามให้มีให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา หมดความสงสัย หมดความลังเล แต่เวลานี้ทั้งสงสัย ทั้งลังเล ทั้งโลภ ทั้งอยากสารพัดอย่างมันปิดกั้นเอาไว้ ใจเดิมของทุกคนนั้นสะอาดบริสุทธิ์ ความไม่รู้ทำให้เขาเกิด เกิดมาตั้งนาน จนหลงหน้าหลงหลัง ไม่รู้ว่าเกิดมาตั้งแต่ช่วงไหน เรามาแก้ไขอยู่ปัจจุบันขณะที่ยังมีกายเนื้ออยู่ ให้มองเห็นหนทางเดิน

แต่เดิมพระพุทธองค์บอกว่าใจของทุกคนนั้นบริสุทธิ์ กลับมาสร้างมาทำให้มีให้เกิด มาสร้างตัวตนปิดบังตัวเอง มาเกิดปิดบังตัวเอง เอาความโลภ ความโกรธ ความอยาก สารพัดอย่างมาปิดบังตัวเองจนมืดมิด ท่านถึงบอกให้มาขัด มาเกลา มาละ ด้วยการสร้างตบะ ด้วยการให้ ด้วยการเอาออกให้กลับคืนสู่สภาพเดิม คือความบริสุทธิ์ ความไม่เกิด

ขณะเรายังมีลมหายใจ ท่านถึงบอกให้หนุนสติปัญญาไปเกิดแทน ไปทำหน้าที่แทนจนกว่ากายของเราจะแตกจะดับ มีโอกาสก็ต้องศึกษาดูให้รู้ความจริงในชีวิต ทั้งขณะนี้แหละ เวลานี้แหละ เกิดในอาหารนี่แหละ ตาเห็นอาหาร อันโน้นก็อร่อย อันนี้ก็อร่อย มันบอกว่าเอาน้อยๆ ก็ไม่อิ่ม มันบอกเอาเยอะๆ ดูนะสามเณร ท่านเจ้าคุณตรวจนะนั่งฉันอาสนะเดียวให้มันจบ ไม่ใช่ว่าไปนั่งอาสนะเดียวยังไม่พอ ออกจากอาสนะเดียวไปหลังวัดไปซดต่อ ไม่ไหวนะ หลายคนด้วยนะเจออยู่ เอาให้อิ่ม เอาให้อิ่มในอาสนะเดียว ต้องฝึกหัดทีละเล็กละน้อย ความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบ อดหลับอดนอน สามเณรได้งานเยอะ มาเที่ยวได้ช่วยงานเยอะ

แต่ละวันๆ ญาติโยมมาเยอะ ทั้งเด็กนักเรียน ผู้หลักผู้ใหญ่บ้านเมืองก็มา มาสร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมีกัน มากราบมาไหว้สิ่งเป็นสิริมงคล ใจเป็นบุญ ผู้เฒ่ามาไม่ได้ก็ให้ลูกให้หลานใส่รถเข็นเข็นมา ลูกเด็กเล็กแดงมา ขนมนมเนยมีเท่าไรเอาออกมาแจกทานให้เด็ก อย่าเอาไปเก็บเอาไว้ ถ้าเก็บเอาไว้แล้วมันจะล้มทับเจ้าคุณ มีอะไรก็เอาออกมาแจกทาน ไปไว้โรงทานบ้างเอามาไว้ที่หน้าศาลาบ้าง เด็กๆ มาก็จะได้ทานขนมนมเนย

นี่แหละการเอาออก การให้ ให้จากภายใน ให้ ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น มองเห็นความเป็นจริงของชีวิต ว่ากายของเราเป็นอย่างไร บริหารกายอย่างไรบริหารใจอย่างไรถึงจะมีความสุขความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ตั้งแต่ปากทาง แล้วก็ส่งข่าวถึงแม่ค้าด้วย ขอความเห็นใจทุกคน อย่าไปค้าขายตรงประตูทางรถวิ่งเข้าวิ่งออกลําบากคนอื่น ถ้าเห็นแล้วก็ช่วยบอกด้วย ใครออกไปเห็นก็ช่วยบอกด้วย บอกว่าหลวงพ่อบอก ถ้าขายให้ไปขายที่ๆ จัดทางข้างใน ชอบตรงไหนเข้าไปขาย ข้างในลานจอดรถหรือลานพระมหากษัตริย์ อย่าไปจอดตรงประตูทางเข้า รถเลี้ยวเข้าเลี้ยวออกบางคันก็ถอยออกยาก บางคันก็เข้ายาก เห็นใจกัน มีที่ให้อยู่ให้ค้าให้ขายก็ดีแล้ว มีที่ให้อยู่ให้พักให้อาศัย ให้กราบให้ไหว้นั้นดีแล้ว เราก็อย่าไปขวาง ขวางเพื่อน ขวางบุญ ถ้าเราไม่จัดระบบระเบียบเอาไว้ตั้งแต่แรก วันต่อไปยิ่งจะลําบาก ไม่ต้องกลัวจะไม่ขายหรอก ของเราดีอยู่ที่ไหนก็ได้ขาย

คนเยอะเท่าไร ปัญหาก็ตามมาเยอะ ปัญหามีให้แก้ แก้ปัญหาของเราให้จบ แล้วปัญหาข้างนอกมาก็เป็นการสร้างบารมี ช่วยเหลือซึ่งกันและกันก็มีความสุขเท่านั้นเอง อีกสักหน่อยก็ตายจากกัน ไม่ตายช้าก็ตายเร็ว เราจงมองเห็นความตายเป็นของธรรมดา ยังไม่ถึงเวลาเราก็สร้างบุญให้เต็มเปี่ยม พระเราก็เยอะ ชุดนี้ท่านอาจารย์ ดร.วรภัทร์ ก็พาหมู่พาคณะมาบวช ก็พยายามตั้งใจกัน ตักตวงเอาเวลาเราน้อย

กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร การเกิดการดับของความคิดเขาเริ่มเกิดอย่างไร สติพลั้งเผลอได้อย่างไร อะไรคือส่วนสมอง อะไรคือส่วนใจ ต้องแจงให้ออก บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น แล้วก็ไปช่วยเหลือคนอื่น ท่านบริวารเยอะ ทั่วประเทศนั่นแหละ วางรากฐานบุญให้กับทุกคน ใครอยากจะบวชอยากจะศึกษาท่านก็พามา เข้ามาศึกษาขั้นสูงขึ้นไป ถึงจะเดินขั้นสูงไม่ได้ ท่านก็วางรากฐานในกองบุญเอาไว้ มีเวลาก็ให้มาเดินปัญญา ทุกคนก็มีบุญอยู่แล้ว ทีนี้เรามาทำความเข้าใจ ทำความเห็นให้ถูก ก็จะไปได้เร็วได้ไว

จิตวิญญาณแต่ละดวงไม่อยากจะตกไปสู่ที่ต่ำ เรามาคอยแก้ไขปรับปรุง ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่แก้ไขใหม่ ปรับปรุงใหม่ หมดความสงสัยหมดความลังเลในคําสอนของพระพุทธองค์ มีตั้งแต่จะดำเนินให้ถึงจุดหมายกันเท่านั้นเอง ไปทะเลาะเบาะแว้งกัน กูดีมึงดี อย่างที่ออกรายการอยู่ทุกวันๆ ทั้งพระทั้งโยมไล่ตีกัน เห็นแล้วก็น่าละอาย ธรรมะไม่เสื่อมหรอก ธรรมะยังใจของเราให้เข้าถึงธรรมะ ใจของเราละกิเลสได้ คลายความหลงได้ หมดความสงสัย อย่าไปทะเลาะกับใคร เจริญสติเข้าไปอบรมใจของเราตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับ แม้กายจะแตกจะดับก็ต้องเตรียมพร้อม ไม่ต้องไปมัวเมากันว่าไปแก้ไขโน้นแก้ไข มาแก้ไขตัวเรา ปฏิวัติตัวเรา ปฏิวัติใจเรา หมดนะ

อยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่านก็ขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ มีอะไรก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ประคับประคองให้ถึงจุดหมายปลายทางให้เร็วให้ไวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุขอยู่ อยู่น้อยคนก็มีความสุข ถ้าต่างคนต่างมีตั้งแต่ความเกียจคร้าน เห็นแก่ตัว ไม่มีความรับผิดชอบ อยู่คนเดียวก็ทุกข์ อยู่หลายคนก็ทุกข์ แบกทุกข์ตัวเองยังไม่พอ โยนความทุกข์ของตัวเองไปให้คนอื่นเป็นภาระ ใช้การไม่ได้คนประเภทนี้ จงหัดเป็นคนฉลาดตามแนวทางของพระพุทธองค์ ว่าท่านสอนอะไร วิธีการอย่างไร ความคิดเก่าๆ อย่าเพิ่งมาโต้แย้ง โง่ก็อย่า โง่เสียก่อนค่อยฉลาด มันโง่มานาน หลงมานานนะ เพียงแค่การเกิดของความคิด ตัววิญญาณมันเกิด ถ้าไม่หลงไม่เกิด ถ้าเราทำให้ปรากฏให้แจ้งแก่ใจ เราก็หมดความสงสัย มีตั้งแต่จะรีบจ้ำให้มันถึงจุดหมายด้วยสติด้วยปัญญา

เรื่องทานข้าวก็ทานให้เป็น กายมันหิวหรือใจมันอยาก ลมหายใจเข้าหายใจออกมันต่อเนื่องกันสักคืบสักศอกไหม วันหนึ่งมีกี่นาที วันหนึ่งมีกี่ชั่วโมง กําลังสติปัญญามันสู้กิเลสได้หรือเปล่า เราพูดกันเป็นอัตโนมัติ จนเป็นมหาสติ มหาปัญญา ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ จนสติปัญญารักษาเรา จนไม่ได้ทำไม่ได้สร้าง จนเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติของใจที่ปราศจากกิเลส มีใจที่สะอาด ใจที่บริสุทธิ์ เขาก็จะอยู่ในองค์ฌานสมาธิ อยู่ในความว่าง ยืน เดิน นั่ง นอน ก็เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ร้องตะโกนอยู่เขาก็ต้องบริสุทธิ์ถ้าใจเขาบริสุทธิ์แล้ว กิเลสไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา วางภาระทางสมมติก็วางมาแล้ว

ทีนี้เราก็ไปจัดการกับตัววิญญาณของเรา ทำไมมันถึงเกิด เอาสติปัญญาไปเกิดแทนได้หรือไม่ ความคิดพูดขึ้นมา ใจเข้าไปรวมได้อย่างไร มันมีกันทุกคน ไม่ใช่ว่าไม่มี ไม่อย่างนั้นพระพุทธองค์ท่านไม่ค้นพบเอามาเปิดเผยให้ดำเนินอย่างนี้ ไปอย่างนี้ มาอย่างนี้

ตั้งใจรับพร

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่อง เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่ง ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเรายังไม่ได้สร้างความรู้ตัวเราก็รีบสร้างเสีย หลวงพ่อก็เพียงแค่บอกแค่กล่าว แค่ย้ำแค่เตือน เพียงแค่การเจริญสติก็ยังทำไม่ได้ต่อเนื่อง มันก็เลยยากที่จะเข้าไปรู้ลึกๆ รู้การเกิดการดับของใจ ของความคิด ของอารมณ์ เข้าไปแยกเข้าไปคลาย

เวลานี้เราน้อมใจของเรา น้อมสติปัญญามองเข้าไป มองกลับหลังดูสิว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกเป็นอย่างไร สูดลมหายใจเข้ายาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ทุกเรื่องวางเอาไว้ให้หมด ให้รู้ตั้งแต่เรื่องการหายใจเข้าหายใจออกก็พอ

ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อ อันนี้เพียงแค่ย้ำแค่เดือน พวกท่านจงไปทำให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง