หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 41
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 41
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 41
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 3 เมษายน 2558
มีความสุขกันทุกคน วันนี้เป็นวันพระวันที่ 3 เมษายน ญาติโยมเราก็พากันมา วันนี้มีการบวชนาคด้วย เป็นวันบุญ วันมงคล ทุกของทุกคน ก็อยากจะให้ดีต้องเป็นมงคลทุกลมหายใจเข้าออก รู้ใจของเราตลอดเวลา แก้ไขใจเราตลอดเวลา 8 ค่ำ 15 ค่ำ ก็มาย้ำเตือนว่าเราขาดตกบกพร่องอะไร ศีลสมมติ ศีลวิมุตติเป็นอย่างไร การเจริญสติ การเจริญปัญญาเป็นอย่างไร หรือเอาแค่ทำบุญให้ทาน เราต้องพยายามให้รอบรู้ทุกอย่าง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมารอบรู้ในใจของตัวเรา รอบรู้ในสังขาร รอบรู้ในโลกธรรม คําว่าโลกธรรมเป็นอย่างไร ในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว
วันนี้วันที่ 3 เมษายน วันพรุ่งนี้วันที่ 4 ญาติโยมท่านใดอยากจะร่วมทำบุญบริจาคทานโลหิตก็มาที่หน่วยกาชาดที่จะมารับบริจาคโลหิตที่วัดของเราที่ศาลาปางประสูติ พระเรา ชีเรา ใครจะไปร่วมบริจาคโลหิตก็ไป คืนนี้ต้องพักผ่อนให้เต็มที่ นี่ต้องพักผ่อนให้เต็มที่ อายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป ไม่เป็นโรคเรื้อรัง ไม่เป็นโรคเบาหวานเป็นโรคความคิดมากก็ต้องแก้เอา โรคละกิเลสนี่ละให้กันไม่ได้ โรคอื่นๆ ก็พอให้หมอรักษาได้อยู่
โรคละกิเลสต้องอาศัยปัญญาของพระพุทธองค์ การเจริญสติ การเจริญพรหมวิหาร กิเลสตัวใหญ่หรือว่าตัวเล็ก มันเกิดอย่างไร มันเล่นงานเราอย่างไร ทำไมใจถึงเป็นทาสของกิเลส เขาเกิดมานาน เขาหลงมานาน เราต้องมาหาวิธีแก้ไขหาแนวทางแก้ไข ทางนั้นมีมานาน แต่เราก็เดินอยู่ แต่เดินไม่ถึงฝั่งสักที เดินอยู่แค่การทำบุญให้ทาน การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร ไม่ค่อยจะสนใจ ทำเป็นบางช่วงบางครั้งบางคราวกะปริบกะปรอย ทำไม่ถึงรากถึงโคน วันนี้ก็พากันสมาทานศีลกันเสียก่อนนะ
มีความสุขกันทุกคน ดูดีๆ นะ พระเรา ชีเรา สามเณร ก็ประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา รู้กาย รู้ใจ รู้การเจริญสติ รู้การเจริญภาวนา ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา เวลาโน้นถึงจะหายใจ เวลานั้นก็หายใจ อย่างนั้นใช้การไม่ได้ เราต้องพยายามพิจารณาแก้ไขปรับปรุงชีวิตของเรา ความเป็นอยู่ของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นม อันนี้เรื่องของกายอันนี้เรื่องของใจ เขาเกี่ยวเนื่องกันได้อย่างไร การพัฒนาจิตการพัฒนาวิญญาณ เราจะพัฒนาอย่างไรถึงจะให้เจริญรุ่งเรืองจนละความทุกข์ได้ เราก็ต้องพยายาม อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง ปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา
เราเข้ามาฝึกหัดปฏิบัติทุกอิริยาบถ มาหัดวิเคราะห์ใจของตัวเรา แก้ไขใจของเราให้ได้ ไม่ใช่ว่ามาอยู่วัดแล้วจะรู้เลย เห็นเลย มันไม่ใช่ ความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบ ความเสียสละ การขัดเกลา ความสมัครสมานสามัคคี กาลเวลา การกระทำ การดำเนินให้ถึงพร้อม เราน้อมกายของเราเข้ามาบวช เข้ามาศึกษา ก็เพื่อที่จะให้เข้าถึงกายถึงใจของเรา ไม่ใช่ว่าบวชแล้วจะบรรลุ ไม่ใช่ว่าบวชแล้วจะรู้เลย เห็นเลยทำเลย
เพราะว่าใจของเรานั้นหลงมานาน ถ้าไม่เกิด ถ้าไม่หลงเขาไม่เกิด เพียงแค่การเกิด เขาหลงอยู่ในมาสร้างกายเนื้อ มาสร้างขันธ์ห้าปกปิดเอาไว้ แล้วเขาก็เกิดต่อ เราก็ต้องมาเจริญสติปัญญาเข้าไปแก้ไข อะไรยังขาดตกบกพร่องอยู่ เราก็รีบแก้ แก้ไม่ได้ก็คอยแก้ แก้ไม่ได้วันนี้ วันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ล้มลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ จนกว่าจะถึงจุดหมายคือความสะอาดความบริสุทธิ์ ชีวิตของเราเราก็ต้องแก้เอา ไม่ใช่ว่าจะให้คนอื่นเขาช่วยแก้ให้
แนวทางนั้นพระพุทธองค์ค้นพบมานานแล้วก็ชี้บอก บอกเหตุบอกผล บุญระดับสมมติ บุญระดับวิมุตติ บอกถึงความหมาย ภาษาธรรมภาษาโลก อะไรคือก้อนโลก กายของเราก้อนโลก ก้อนทุกข์ นั่งนานก็ทุกข์ ยืนนานก็ทุกข์ ยังอาศัยปัจจัยสี่ ที่พักที่อาศัยที่หลับนอน อาหารการอยู่ การกิน ทีนี้ใจของเรานี่แหละ เขาก็ยังเป็นทาสของความอยากต่ออีก เป็นทาสของความเกิด การปรุง การแต่ง เราก็ต้องดูให้ดี
อย่าลืมนะ วันพรุ่งนี้วันที่ 4 ญาติโยมท่านได้ปรารถนาที่จะมาบริจาคเลือด ก็มาบริจาคกันได้ที่ศาลาปางประสูติ องค์พระพุทธเจ้าน้อย ดวงประสูติยกมือชี้ขึ้นฟ้าภพนี้เป็นภพสุดท้ายเราจะไม่กลับมาเกิดอีก ขอให้เป็นภพสุดท้าย นี่แหละ เราเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก โลกในกาย โลกในใจ โลกภายนอก โลกภายใน เราจะไม่กลับมาเกิดอีก คําประกาศของพระพุทธองค์
คําว่าไม่เกิดของพระพุทธองค์นี้ อะไรคือไม่เกิด เกิดทางกายเนื้อก็เกิดมาแล้ว ทีนี้เกิดทางด้านจิตวิญญาณนะ คนเราเข้าไม่ถึงฐานของใจ คิดก็รู้ ทำก็รู้ มันหลงอยู่ในความโลภ เพราะไม่ได้เจริญสติเข้าไปอบรม คําว่าสติปัจจุบัน ความรู้ที่ต่อเนื่อง พวกเราก็ทำได้นิดๆ หน่อยๆ ควบคุมใจได้ ก็เหมือนกับหินทับหญ้าเรียกว่า ‘สมถะ’ ควบคุมใจอย่างเรา โกรธอย่างนี้ เราดับความโกรธได้นิดหน่อย เขาเรียกว่าสมถะ เราต้องพยายามหยุดความโกรธ แล้วก็ให้อภัยทานอโหสิกรรมจนใจไม่เกิด ความโลภ ความอยาก ความยินดียินร้าย อคติเพ่งโทษมลทินต่างๆ นิวรณธรรมต่างๆ มีเยอะแยะ ที่เราจะต้องศึกษาในกายของเราในใจของเรา
ตื่นขึ้นมาใจของเราเกิดสักกี่เที่ยว เราจะแสวงหาสมมติอย่างไรโดยใจที่ไม่ทุกข์ มีหมดเลยแนวทางมีหมด พระพุทธเจ้าท่าน พระพุทธองค์ท่านชี้แนะแนวทางเอาไว้ให้ ยิ่งทุกวันนี้ยิ่งเยอะ เพราะว่าครูบาอาจารย์ก็คัดกรองออกมาจากพระไตรปิฎกให้ได้อ่านได้ศึกษาและปฏิบัติกัน จนย่อลงมาก็อยู่ที่กายกับใจของเรา แต่เราทำไมเขาไม่ถึงสักที เพราะว่าวิบากกรรมสมมติมันยังไม่คลาย ก็ยังให้สร้างอานิสงส์สร้างบารมีกัน
เหมือนกับเราปลูกผลไม้สักต้น เราจะให้ออกดอกออกผลวันเดียว ให้มันสุกวันเดียวก็ไม่ได้ เราก็ต้องดูแล ให้น้ำให้ปุ๋ย หมั่นรดน้ำ หมั่นให้ปุ๋ย หมั่นพรวนดิน นั่นแหละ เขาเรียกว่าการทำบุญให้ทาน พอเติบโตขึ้นไปก็ เขาจะออกดอกออกผลให้เรา เราไม่อยากจะได้ดอกได้ผลเราก็ได้ เพราะว่าการดูแลของเรามี การปฏิบัติใจของเราก็เหมือนกัน เราหมั่นฝักใฝ่สนใจในการทำบุญในการให้ทาน มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป แล้วความขยันหมั่นเพียร การสังเกตการวิเคราะห์ การเห็นเหตุเห็นผลชี้เหตุชี้ผล
พระพุทธองค์ตรัสว่าเหตุของสมมติก็มี เหตุของวิมุตติก็มี เป็นวิทยาศาสตร์ได้เลย เป็นศาสนาพุทธนี่เป็นศาสนาที่ทันสมัยที่สุดในโลก ถึงจะมาตั้งหลายร้อยหลายพันปี แต่เป็นศาสนาที่ทันสมัยที่สุดในโลก ทำไมถึงทันสมัย ก็เพราะว่าท่านให้รู้กายรู้ใจอยู่ปัจจุบันทุกขณะลมหายใจเข้าออกทุกขณะจิต จะไม่ทันสมัยได้อย่างไร รู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วย ละกิเลสได้ด้วย ดับความทุกข์ได้ด้วย นั่นแหละ ท่านถึงบอกให้เชื่อ ปฏิบัติอย่างนี้ ทำอย่างนี้
พูดง่ายอยู่ แต่การลงมือจริงๆ ต้องขัดต้องเกลา ละกิเลสออก น้อมสำเหนียก แม้แต่เด็กอายุน้อยๆ ถ้าเขาพูดเป็นธรรม เราก็น้อมเข้ามาพิจารณา ในการหายใจของเรา พูดธรรมนั้นง่าย แต่คนที่จะเข้าถึงธรรมนี้มันยาก ถ้าไม่ขยันให้ถูกที่ถูกทาง
เพียงแค่การเกิดของจิตวิญญาณนั้นเขาก็ไม่เที่ยง ท่านถึงบอกว่าทุกข์ เราจะไปหาทำที่โน่น หาทำที่นี่ หาไม่เจอหรอก นอกจากลงที่กายที่ใจของเรา การแสวงหาแนวทางวิธี เราเข้าใจวิธีแล้วก็ไปทำความเพียรเอา ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่ายทุกอิริยาบถ ต้องสำเหนียก วิเคราะห์ใจของตัวเรา ก็ต้องพยายามนะ พยายามเอา ได้บ้างไม่ได้ ก็พยายามฉุดกระชากถูลู่ถูกังกันไป เดี๋ยวก็ถึงจุดหมายเองไม่ถึงช้าก็ถึงเร็ว
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งนะ ถึงเราทำไม่ได้ต่อเนื่องกัน ถึงเดินปัญญาแยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็ขอให้รู้จักวิธีการเจริญสติ หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ แล้วก็วางภาระหน้าที่การงาน ทุกอย่างทางสมมติ ทางรูปธรรม เราก็วางมาแล้ว ถึงได้เข้ามาถึงวัด ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเขาไปยาวๆ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ หรือว่าผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น
ทำอย่างไรความรู้สึกรับรู้เวลาหายใจเข้าหายใจออกเราถึงจะรู้ให้ต่อเนื่องตั้งแต่จะตื่นขึ้นมา จนเอาไปใช้ได้นั่นแหละ จนเอาไปควบคุมใจของเราได้ จนสังเกตใจของเราคลายออกจากความคิดได้ ซึ่งเขาเรียกว่าคลายความหลงหรือว่าแยกรูปแยกนาม หรือสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง ความเห็นถูก ถ้าใจคลายออกจากความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมด้วยกัน เขาเรียกว่าเห็นถูก เห็นถูกแล้วก็ตามดู ใจก็จะว่างก็จะคลาย ใจก็จะพลิกก็จะหงาย คลายออกรับรู้ สติตามดู เห็นความเกิดความดับทุกเรื่อง กําลังสติของเราก็จะมากขึ้นๆ จนกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติก็จะกลายเป็นมหาปัญญาอบรมใจของเรา
ใจของเราเกิดกิเลส เราก็รู้จักหยุด รู้จักละ รู้จักดับ รู้จักแก้ไข รู้จักวิธีการแนวทาง เข้าใจในความหมายของภาษาธรรม เข้าใจความจริง ก็ต้องพยายาม ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ผิดพลาดแก้ไขใหม่ แต่ส่วนมากมันไม่ใช่อย่างนั้น มีแต่หาเรื่องหาเหตุมาทับถม ถมดวงใจของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา เหตุสมมติก็หาเรื่องมาทับถมดวงใจ ทั้งที่ใจของเรานั้นก็สะอาดบริสุทธิ์ แต่เขายังหลงอยู่ พออาการเกิดถ้าไม่ ไม่หลงไม่เกิด เพียงแค่การเกิดการปรุงการแต่งนั่นแหละ ยังหลงอยู่ ก็มาสร้างกายเนื้อมาปิดกั้นตัวเขาไว้อีก แล้วก็มาหลงมายึดอีก เป็นทาสของความทะเยอทะยานอยาก ที่แสวงหาแนวทางนี้ก็ยังปิดกั้นตัวเราเองอีก
ในหลักธรรมท่านให้เจริญสติ ให้สร้างความรู้ตัว ให้รู้เท่าทัน รู้ไม่ทันเราก็รู้จักหยุด รู้จักควบคุมเขาเรียกว่าสมถะ ถ้าแยกได้ เขาเรียกว่าปัญญา ถ้าตามดู รู้เห็นแจ้ง เห็นจริง ทุกอย่างทำความเข้าใจ ถอนรากถอนโคนได้ เขาถึงเรียกว่าวิปัสสนาญาณ เราหมด ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผลหมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะเข้าถึงเหตุถึงผลนั้นหรือไม่เท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามดำเนิน เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีอยู่ วันนี้มีพรุ่งนี้มี
ความเกิด ความดับ ความไม่เที่ยงของจิตวิญญาณมี ทำอย่างไรเราถึงจะให้จิตวิญญาณของเราเที่ยง คือความไม่เกิดนั่นแหละ ความเป็นเอก ความเป็นหนึ่งนั่นแหละเขาเรียกว่าความเที่ยง ใจที่ปราศจากการเกิด ใจที่ไม่มีกิเลสเขาก็สะอาดบริสุทธิ์ ก็ต้องพยายามกัน เพราะว่าตราบใดที่จะยังเกิดอยู่ ก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ จนกว่าใจของเราจะไม่เกิด มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราชัดเจนกันนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 3 เมษายน 2558
มีความสุขกันทุกคน วันนี้เป็นวันพระวันที่ 3 เมษายน ญาติโยมเราก็พากันมา วันนี้มีการบวชนาคด้วย เป็นวันบุญ วันมงคล ทุกของทุกคน ก็อยากจะให้ดีต้องเป็นมงคลทุกลมหายใจเข้าออก รู้ใจของเราตลอดเวลา แก้ไขใจเราตลอดเวลา 8 ค่ำ 15 ค่ำ ก็มาย้ำเตือนว่าเราขาดตกบกพร่องอะไร ศีลสมมติ ศีลวิมุตติเป็นอย่างไร การเจริญสติ การเจริญปัญญาเป็นอย่างไร หรือเอาแค่ทำบุญให้ทาน เราต้องพยายามให้รอบรู้ทุกอย่าง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมารอบรู้ในใจของตัวเรา รอบรู้ในสังขาร รอบรู้ในโลกธรรม คําว่าโลกธรรมเป็นอย่างไร ในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว
วันนี้วันที่ 3 เมษายน วันพรุ่งนี้วันที่ 4 ญาติโยมท่านใดอยากจะร่วมทำบุญบริจาคทานโลหิตก็มาที่หน่วยกาชาดที่จะมารับบริจาคโลหิตที่วัดของเราที่ศาลาปางประสูติ พระเรา ชีเรา ใครจะไปร่วมบริจาคโลหิตก็ไป คืนนี้ต้องพักผ่อนให้เต็มที่ นี่ต้องพักผ่อนให้เต็มที่ อายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป ไม่เป็นโรคเรื้อรัง ไม่เป็นโรคเบาหวานเป็นโรคความคิดมากก็ต้องแก้เอา โรคละกิเลสนี่ละให้กันไม่ได้ โรคอื่นๆ ก็พอให้หมอรักษาได้อยู่
โรคละกิเลสต้องอาศัยปัญญาของพระพุทธองค์ การเจริญสติ การเจริญพรหมวิหาร กิเลสตัวใหญ่หรือว่าตัวเล็ก มันเกิดอย่างไร มันเล่นงานเราอย่างไร ทำไมใจถึงเป็นทาสของกิเลส เขาเกิดมานาน เขาหลงมานาน เราต้องมาหาวิธีแก้ไขหาแนวทางแก้ไข ทางนั้นมีมานาน แต่เราก็เดินอยู่ แต่เดินไม่ถึงฝั่งสักที เดินอยู่แค่การทำบุญให้ทาน การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร ไม่ค่อยจะสนใจ ทำเป็นบางช่วงบางครั้งบางคราวกะปริบกะปรอย ทำไม่ถึงรากถึงโคน วันนี้ก็พากันสมาทานศีลกันเสียก่อนนะ
มีความสุขกันทุกคน ดูดีๆ นะ พระเรา ชีเรา สามเณร ก็ประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา รู้กาย รู้ใจ รู้การเจริญสติ รู้การเจริญภาวนา ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา เวลาโน้นถึงจะหายใจ เวลานั้นก็หายใจ อย่างนั้นใช้การไม่ได้ เราต้องพยายามพิจารณาแก้ไขปรับปรุงชีวิตของเรา ความเป็นอยู่ของเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นม อันนี้เรื่องของกายอันนี้เรื่องของใจ เขาเกี่ยวเนื่องกันได้อย่างไร การพัฒนาจิตการพัฒนาวิญญาณ เราจะพัฒนาอย่างไรถึงจะให้เจริญรุ่งเรืองจนละความทุกข์ได้ เราก็ต้องพยายาม อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง ปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา
เราเข้ามาฝึกหัดปฏิบัติทุกอิริยาบถ มาหัดวิเคราะห์ใจของตัวเรา แก้ไขใจของเราให้ได้ ไม่ใช่ว่ามาอยู่วัดแล้วจะรู้เลย เห็นเลย มันไม่ใช่ ความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบ ความเสียสละ การขัดเกลา ความสมัครสมานสามัคคี กาลเวลา การกระทำ การดำเนินให้ถึงพร้อม เราน้อมกายของเราเข้ามาบวช เข้ามาศึกษา ก็เพื่อที่จะให้เข้าถึงกายถึงใจของเรา ไม่ใช่ว่าบวชแล้วจะบรรลุ ไม่ใช่ว่าบวชแล้วจะรู้เลย เห็นเลยทำเลย
เพราะว่าใจของเรานั้นหลงมานาน ถ้าไม่เกิด ถ้าไม่หลงเขาไม่เกิด เพียงแค่การเกิด เขาหลงอยู่ในมาสร้างกายเนื้อ มาสร้างขันธ์ห้าปกปิดเอาไว้ แล้วเขาก็เกิดต่อ เราก็ต้องมาเจริญสติปัญญาเข้าไปแก้ไข อะไรยังขาดตกบกพร่องอยู่ เราก็รีบแก้ แก้ไม่ได้ก็คอยแก้ แก้ไม่ได้วันนี้ วันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ล้มลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ จนกว่าจะถึงจุดหมายคือความสะอาดความบริสุทธิ์ ชีวิตของเราเราก็ต้องแก้เอา ไม่ใช่ว่าจะให้คนอื่นเขาช่วยแก้ให้
แนวทางนั้นพระพุทธองค์ค้นพบมานานแล้วก็ชี้บอก บอกเหตุบอกผล บุญระดับสมมติ บุญระดับวิมุตติ บอกถึงความหมาย ภาษาธรรมภาษาโลก อะไรคือก้อนโลก กายของเราก้อนโลก ก้อนทุกข์ นั่งนานก็ทุกข์ ยืนนานก็ทุกข์ ยังอาศัยปัจจัยสี่ ที่พักที่อาศัยที่หลับนอน อาหารการอยู่ การกิน ทีนี้ใจของเรานี่แหละ เขาก็ยังเป็นทาสของความอยากต่ออีก เป็นทาสของความเกิด การปรุง การแต่ง เราก็ต้องดูให้ดี
อย่าลืมนะ วันพรุ่งนี้วันที่ 4 ญาติโยมท่านได้ปรารถนาที่จะมาบริจาคเลือด ก็มาบริจาคกันได้ที่ศาลาปางประสูติ องค์พระพุทธเจ้าน้อย ดวงประสูติยกมือชี้ขึ้นฟ้าภพนี้เป็นภพสุดท้ายเราจะไม่กลับมาเกิดอีก ขอให้เป็นภพสุดท้าย นี่แหละ เราเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก โลกในกาย โลกในใจ โลกภายนอก โลกภายใน เราจะไม่กลับมาเกิดอีก คําประกาศของพระพุทธองค์
คําว่าไม่เกิดของพระพุทธองค์นี้ อะไรคือไม่เกิด เกิดทางกายเนื้อก็เกิดมาแล้ว ทีนี้เกิดทางด้านจิตวิญญาณนะ คนเราเข้าไม่ถึงฐานของใจ คิดก็รู้ ทำก็รู้ มันหลงอยู่ในความโลภ เพราะไม่ได้เจริญสติเข้าไปอบรม คําว่าสติปัจจุบัน ความรู้ที่ต่อเนื่อง พวกเราก็ทำได้นิดๆ หน่อยๆ ควบคุมใจได้ ก็เหมือนกับหินทับหญ้าเรียกว่า ‘สมถะ’ ควบคุมใจอย่างเรา โกรธอย่างนี้ เราดับความโกรธได้นิดหน่อย เขาเรียกว่าสมถะ เราต้องพยายามหยุดความโกรธ แล้วก็ให้อภัยทานอโหสิกรรมจนใจไม่เกิด ความโลภ ความอยาก ความยินดียินร้าย อคติเพ่งโทษมลทินต่างๆ นิวรณธรรมต่างๆ มีเยอะแยะ ที่เราจะต้องศึกษาในกายของเราในใจของเรา
ตื่นขึ้นมาใจของเราเกิดสักกี่เที่ยว เราจะแสวงหาสมมติอย่างไรโดยใจที่ไม่ทุกข์ มีหมดเลยแนวทางมีหมด พระพุทธเจ้าท่าน พระพุทธองค์ท่านชี้แนะแนวทางเอาไว้ให้ ยิ่งทุกวันนี้ยิ่งเยอะ เพราะว่าครูบาอาจารย์ก็คัดกรองออกมาจากพระไตรปิฎกให้ได้อ่านได้ศึกษาและปฏิบัติกัน จนย่อลงมาก็อยู่ที่กายกับใจของเรา แต่เราทำไมเขาไม่ถึงสักที เพราะว่าวิบากกรรมสมมติมันยังไม่คลาย ก็ยังให้สร้างอานิสงส์สร้างบารมีกัน
เหมือนกับเราปลูกผลไม้สักต้น เราจะให้ออกดอกออกผลวันเดียว ให้มันสุกวันเดียวก็ไม่ได้ เราก็ต้องดูแล ให้น้ำให้ปุ๋ย หมั่นรดน้ำ หมั่นให้ปุ๋ย หมั่นพรวนดิน นั่นแหละ เขาเรียกว่าการทำบุญให้ทาน พอเติบโตขึ้นไปก็ เขาจะออกดอกออกผลให้เรา เราไม่อยากจะได้ดอกได้ผลเราก็ได้ เพราะว่าการดูแลของเรามี การปฏิบัติใจของเราก็เหมือนกัน เราหมั่นฝักใฝ่สนใจในการทำบุญในการให้ทาน มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป แล้วความขยันหมั่นเพียร การสังเกตการวิเคราะห์ การเห็นเหตุเห็นผลชี้เหตุชี้ผล
พระพุทธองค์ตรัสว่าเหตุของสมมติก็มี เหตุของวิมุตติก็มี เป็นวิทยาศาสตร์ได้เลย เป็นศาสนาพุทธนี่เป็นศาสนาที่ทันสมัยที่สุดในโลก ถึงจะมาตั้งหลายร้อยหลายพันปี แต่เป็นศาสนาที่ทันสมัยที่สุดในโลก ทำไมถึงทันสมัย ก็เพราะว่าท่านให้รู้กายรู้ใจอยู่ปัจจุบันทุกขณะลมหายใจเข้าออกทุกขณะจิต จะไม่ทันสมัยได้อย่างไร รู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วย ละกิเลสได้ด้วย ดับความทุกข์ได้ด้วย นั่นแหละ ท่านถึงบอกให้เชื่อ ปฏิบัติอย่างนี้ ทำอย่างนี้
พูดง่ายอยู่ แต่การลงมือจริงๆ ต้องขัดต้องเกลา ละกิเลสออก น้อมสำเหนียก แม้แต่เด็กอายุน้อยๆ ถ้าเขาพูดเป็นธรรม เราก็น้อมเข้ามาพิจารณา ในการหายใจของเรา พูดธรรมนั้นง่าย แต่คนที่จะเข้าถึงธรรมนี้มันยาก ถ้าไม่ขยันให้ถูกที่ถูกทาง
เพียงแค่การเกิดของจิตวิญญาณนั้นเขาก็ไม่เที่ยง ท่านถึงบอกว่าทุกข์ เราจะไปหาทำที่โน่น หาทำที่นี่ หาไม่เจอหรอก นอกจากลงที่กายที่ใจของเรา การแสวงหาแนวทางวิธี เราเข้าใจวิธีแล้วก็ไปทำความเพียรเอา ยืน เดิน นั่ง นอน กินอยู่ ขับถ่ายทุกอิริยาบถ ต้องสำเหนียก วิเคราะห์ใจของตัวเรา ก็ต้องพยายามนะ พยายามเอา ได้บ้างไม่ได้ ก็พยายามฉุดกระชากถูลู่ถูกังกันไป เดี๋ยวก็ถึงจุดหมายเองไม่ถึงช้าก็ถึงเร็ว
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งนะ ถึงเราทำไม่ได้ต่อเนื่องกัน ถึงเดินปัญญาแยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็ขอให้รู้จักวิธีการเจริญสติ หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ แล้วก็วางภาระหน้าที่การงาน ทุกอย่างทางสมมติ ทางรูปธรรม เราก็วางมาแล้ว ถึงได้เข้ามาถึงวัด ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเขาไปยาวๆ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ หรือว่าผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น
ทำอย่างไรความรู้สึกรับรู้เวลาหายใจเข้าหายใจออกเราถึงจะรู้ให้ต่อเนื่องตั้งแต่จะตื่นขึ้นมา จนเอาไปใช้ได้นั่นแหละ จนเอาไปควบคุมใจของเราได้ จนสังเกตใจของเราคลายออกจากความคิดได้ ซึ่งเขาเรียกว่าคลายความหลงหรือว่าแยกรูปแยกนาม หรือสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง ความเห็นถูก ถ้าใจคลายออกจากความคิดซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมด้วยกัน เขาเรียกว่าเห็นถูก เห็นถูกแล้วก็ตามดู ใจก็จะว่างก็จะคลาย ใจก็จะพลิกก็จะหงาย คลายออกรับรู้ สติตามดู เห็นความเกิดความดับทุกเรื่อง กําลังสติของเราก็จะมากขึ้นๆ จนกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติก็จะกลายเป็นมหาปัญญาอบรมใจของเรา
ใจของเราเกิดกิเลส เราก็รู้จักหยุด รู้จักละ รู้จักดับ รู้จักแก้ไข รู้จักวิธีการแนวทาง เข้าใจในความหมายของภาษาธรรม เข้าใจความจริง ก็ต้องพยายาม ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ผิดพลาดแก้ไขใหม่ แต่ส่วนมากมันไม่ใช่อย่างนั้น มีแต่หาเรื่องหาเหตุมาทับถม ถมดวงใจของตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา เหตุสมมติก็หาเรื่องมาทับถมดวงใจ ทั้งที่ใจของเรานั้นก็สะอาดบริสุทธิ์ แต่เขายังหลงอยู่ พออาการเกิดถ้าไม่ ไม่หลงไม่เกิด เพียงแค่การเกิดการปรุงการแต่งนั่นแหละ ยังหลงอยู่ ก็มาสร้างกายเนื้อมาปิดกั้นตัวเขาไว้อีก แล้วก็มาหลงมายึดอีก เป็นทาสของความทะเยอทะยานอยาก ที่แสวงหาแนวทางนี้ก็ยังปิดกั้นตัวเราเองอีก
ในหลักธรรมท่านให้เจริญสติ ให้สร้างความรู้ตัว ให้รู้เท่าทัน รู้ไม่ทันเราก็รู้จักหยุด รู้จักควบคุมเขาเรียกว่าสมถะ ถ้าแยกได้ เขาเรียกว่าปัญญา ถ้าตามดู รู้เห็นแจ้ง เห็นจริง ทุกอย่างทำความเข้าใจ ถอนรากถอนโคนได้ เขาถึงเรียกว่าวิปัสสนาญาณ เราหมด ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผลหมด เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะเข้าถึงเหตุถึงผลนั้นหรือไม่เท่านั้นเอง ก็ต้องพยายามดำเนิน เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีอยู่ วันนี้มีพรุ่งนี้มี
ความเกิด ความดับ ความไม่เที่ยงของจิตวิญญาณมี ทำอย่างไรเราถึงจะให้จิตวิญญาณของเราเที่ยง คือความไม่เกิดนั่นแหละ ความเป็นเอก ความเป็นหนึ่งนั่นแหละเขาเรียกว่าความเที่ยง ใจที่ปราศจากการเกิด ใจที่ไม่มีกิเลสเขาก็สะอาดบริสุทธิ์ ก็ต้องพยายามกัน เพราะว่าตราบใดที่จะยังเกิดอยู่ ก็ขอให้เกิดอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ จนกว่าใจของเราจะไม่เกิด มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามกันนะ
สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจน อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราชัดเจนกันนะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ