หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 37
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 37
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 37
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 27 มีนาคม 2558
มีความสุขกันทุกคน วันนี้เป็นวันพระ ญาติโยมก็พากันมาแต่เช้า ลูกเด็กเล็กแดงนักศึกษาก็พากันมา เมื่อวานนี้ก็มีนักศึกษาหลายประเทศรวมกันมาปลูกต้นไม้ ปลูกต้นวาสนาก็ได้หลายต้น มีโอกาสก็พากันมาสร้างสะสมคุณงามความดีสร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมีให้มีให้เกิดขึ้นกับตัวของเรา เป็นโอกาสอันดี โอกาสเปิดกาลเวลาเปิดสถานที่เปิด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
เราเป็นบุคคลที่มีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีวิบากกรรมที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นภพภูมิที่จะศึกษาธรรมะให้ถึงจุดหมายปลายทางได้ ก็อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งอย่าไปปล่อยเวลาทิ้งเสียดายเวลา คอยสร้างสะสมคุณงามความดี สร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมี เจริญสติเจริญปัญญาให้รู้แจ้งเห็นจริงในคําสอนของพระพุทธองค์ให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ความเสียสละ ความอ่อนน้อมถ่อมตน การฝักใฝ่การสนใจ เราต้องพยายามทำให้มี อาศัยกาลเวลา ถึงเวลาเราก็ต้องเข้าใจ ตราบใดที่ใจยังมุ่งมั่น ใจอย่างฝักใฝ่ ที่จะหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น มีโอกาส โอกาสก็เปิดให้กันกับทุกคน วันนี้เป็นวันพระ ก็พากันสมาทานศีลกันเสียก่อนนะ
พิจารณาดูดีๆ นะ พระเราชีเราสามเณร กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเองทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา อย่าไปปล่อยปละละเลย ตื่นขึ้นมารู้กายรู้ใจ อะไรคือปัญญา อะไรคือใจ อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล เราอย่าไปปล่อยปละละเลย มีโอกาสให้รีบทำ เพราะว่ากาลเวลา ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา ความประมาท เราพยายามละความประมาท เจริญกุศลให้มีให้เกิดขึ้น อยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกเรื่อง
รู้จักฝักใฝ่รู้จักสนใจ อาศัยความเพียรอาศัยกาลเวลาด้วย อาศัยความสืบต่อต่อเนื่อง ว่าคนเราเกิดมา ทำไมถึงเกิด วิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร วิญญาณของเรามาสร้างภพของมนุษย์ มาสร้างกายเนื้อเป็นลักษณะอย่างไร ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ตรงนี้ นอกจากคําสอนของพระพุทธองค์ ให้มีแรงบุญแรงศรัทธาน้อมกายเข้ามาแล้วก็เจริญสติ คําว่าความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราต้องสร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง รู้จักควบคุมใจควบคุมอารมณ์คือกําลังสติปัญญาของเราเร็วไวแก่กล้า ถึงเวลาเขาก็จะเข้าใจ
วิธีการแยกรูปแยกนาม คําว่าแยกรูปแยกนาม แยกอย่างไร ใจทำไมถึงเกิด ทำไมใจถึงหลงความคิด หลงอารมณ์ รวมกันเป็นสิ่งเดียวกัน ทำอย่างไรเราถึงจะแยกเขาออกจากกันได้ตรงนี้แหละ ความหลงถ้าแยกได้คลายได้ ถึงจะคลายความหลงได้ นี่ในหลักธรรมนั้นไม่จำเป็นต้องไปจับเขาแยกจากหรอก ถ้าเราเจริญสติรู้เท่าทัน เขาก็จะคลายออกจากกันเอง
เหมือนกับขโมยที่จะขึ้นบ้าน ถ้าเจ้าของบ้าน เห็นรู้ทัน เขาก็จะรีบเผ่นออก ใจก็เหมือนกันกับความคิด อาการของใจซึ่งเป็นนามธรรม ถ้ากําลังสติของเรามีเพียงพอ รู้ทันก่อตัวการเกิดการเคลื่อนเข้าไปรวม เขาจะกระโดดออก เขาจะแยกออกจากกัน แล้วก็จะพลิกจากของที่คว่ำหงายขึ้นมา เขาเรียกว่าหงายของที่คว่ำ สมมติกับวิมุตติเหมือนกับฝ่ามือกับหลังมือ ถ้ารู้เท่าทันสมมติวิมุตติ สมมติอยู่ข้างบนวิมุตติอยู่ข้างล่างคือตัวใจอยู่ตรงกลางนั้น ถ้ารู้ทันปุ๊บ ใจจะพลิกหงายขึ้นมาอยู่ข้างบน เหมือนกับฝ่ามือก็จะอยู่ข้างบน หลังมือก็จะกลับไปอยู่ข้างล่าง ถ้าการทำความเข้าใจไม่ละเอียดอีก การดับความเกิดการละกิเลสไม่หมดจดอีก เขาก็จะพลิกกลับ สมมติก็ครอบงำวิมุตติอีกเหมือนเดิม
เราต้องพยายามศึกษาในกายในใจของเราให้ละเอียดทุกเรื่อง แล้วก็พยายามสะสางกิเลสออกจากใจของเรา ด้วยการทำบุญด้วยการให้ทาน ด้วยการเจริญพรหมวิหาร เพราะว่าใจจะเบาบาง การละกิเลสก็จะถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไว แต่ก่อนใจไม่มีกิเลสใจไม่เกิด เขาหลงเพราะความหลง เขาถึงหลงเกิดมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว ตรงนั้นตามที่พิจารณาตามในพระไตรปิฎก ท่านก็ว่าอย่างนั้น อย่าเพิ่งไปสาวเอาถึงโน่น เราเอาอยู่ปัจจุบัน
ว่าการเกิดอยู่ปัจจุบันนี้ให้ได้อย่างไร แก้ไขอย่างไร ทำใจให้สงบปกติ คลายความยึดมั่นถือมั่นอยู่ปัจจุบันให้ได้เสียก่อน เจริญสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ทุกอริยาบถ จากความไม่มี ใจก็หลงเกิดมาสร้างภพสร้างชาติให้มี เราก็มาเจริญสติเข้าไปคลายความหลง ชี้เหตุชี้ผล กลับไปถึงจุดที่ไม่มีเหมือนเดิม คือความสะอาดความบริสุทธิ์ ทีนี้ก็เป็นเรื่องของปัญญา จะเอาจะมีจะเป็นก็บริหารในระดับของสมมติให้อยู่ดีมีความสุข แต่เราต้องเข้าใจคําว่าสมมติวิมุตติให้ได้ด้วยปัญญารู้แจ้งเห็นจริงตามแนวทางของพระพุทธองค์เสียก่อน ไม่ใช่เอาไปนึกเอาไปคิดเอา ก็ต้องพยายามกัน ไม่เหลือวิสัยล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร เราต้องพยายามทำน้อมเข้ามาให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา คำว่าหลักของอริยสัจความจริงอันประเสริฐสี่ในชีวิตของเรานี่เป็นลักษณะอย่างไร ภาษาธรรม ภาษาโลกเป็นลักษณะอย่างไร กายทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร เขาทำหน้าที่ของเขาอยู่ แต่สิ่งไหนเป็นสิ่งบงการ ส่วนมากก็ตัวใจตัววิญญาณเป็นตัวบงการ ในหลักธรรมท่านให้เจริญสติเข้าไปคลายไปแยกแยะ ชี้เหตุชี้ผล สติปัญญาเป็นผู้ดำเนินการ อยู่ด้วยปัญญา บริหารด้วยปัญญา
ใจความอยากแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ให้เกิด ความเกิดนิดเดียวไม่ให้มี คือตัวใหญ่จะเกิดได้อย่างไร ความโลภ ความโกรธ ความอยาก เพียงแค่เล็กๆ น้อยๆ การเกิดของใจของวิญญาณก็ไม่ให้มี กิเลสมันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ส่วนมากจะไปคอยละคอยดับ พอถึงแต่ตัวใหญ่ๆ กลับสร้างเหตุมาทับถมดวงใจของตัวเอง ไม่หมั่นเอาออกไม่หมั่นคลายออก ก็คลายอยู่แต่คลายไม่ถึงจุดหมายปลายทาง ก็ต้องอาศัยความเพียรอาศัยกาลเวลา เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้จะให้ออกดอกออกผลวันเดียวก็ไม่ได้ เราต้องอาศัยเวลา อาศัยการดูแล อากาศ อาศัยมีการให้น้ำให้ปุ๋ย ให้อาหาร ใจก็เหมือนกัน ค่อยพัฒนาไปเรื่อยๆ จากความไม่รู้ก็จะรู้มากขึ้นๆๆ อบรมเจริญสติเข้าไปอบรมใจ ชี้เหตุชี้ผล
ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตื่นขึ้นมาใจปกติจะลุกเข้าห้องส้วมห้องน้ำ สติพากายไปให้ใจรับรู้ แต่เวลานี้กําลังสติของเรามีน้อยไม่ค่อยจะสร้างกันเท่าไร สร้างกันก็ได้เป็นบางครั้งบางคราว ไม่พยายามดำเนินให้ถึงจุดหมายชี้เหตุชี้ผลจนใจยอมรับความเป็นจริง การเกิดเป็นทุกข์ ตัววิญญาณนะ ตัวใจนั้นเกิดเพียงแค่ ความเกิดคือความไม่เที่ยง ท่านถึงว่าวิญญาณไม่เที่ยง ถ้าวิญญาณยังเกิดอยู่ ถ้าใจไม่เกิดคือใจเที่ยง ใจที่ปราศจากกิเลส ใจที่ไม่เกิด ใจที่คลายจากขันธ์ห้า เขาก็ว่าง เขาคลายความยึดมั่นถือมั่น ทุกอย่างมีเหตุมีผลหมดเลย พวกเราจะเข้าถึงเหตุถึงผลนั้น
ก็ต้องมีความเพียรที่ต่อเนื่อง ความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง คําว่าศีล สมาธิ ปัญญา ศีลของหมายความว่าลักษณะของความปกติ ศีลอยู่ในระดับไหน ระดับปกติของสมมติ อธิจิต อธิศีล ศีลระดับลงถึงใจ ใจปกติใจไม่เกิด ใจไม่เกิดความโลภ ความโกรธ ใจไม่เกิดความยินดียินร้าย อะไรเข้ามากระทบใจก็นิ่ง ส่วนมากไม่เป็นอย่างนั้น มีคนมาพูดว่าอย่างนั้นว่าอย่างนี้แค่คําสองคํา เอาเก็บมาคิด มาปรุงมาแต่งทั้งวันทั้งคืน ใจก็เลยไม่ปกติแพ้ย่อยยับ การถนอมใจการรักษาใจการสร้างกําลังใจ ความหมายของภาษาธรรม กายทิพย์ ใจนั่นแหละตัวกายทิพย์ ทำอย่างไรเราถึงจะให้กายทิพย์ของเรามั่นคง ไม่แตกซ่าน ไม่หวั่นไหวในสิ่งต่างๆ เราก็ต้องเจริญสติเข้าไปอบรม เข้าไปแก้ไขอยู่บ่อยๆ ทำบ่อยๆ จนติดเป็นนิสัยจนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้
คำว่ากรรมในทางหลักธรรมเป็นอย่างไร กรรมในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร วิบากของกรรมเป็นอย่างไร ตัวขันธ์ห้าความคิดมาปรุงแต่งใจ นั่นแหละตัวกรรมในกายของเรา ถ้าเราแยกได้ทำความเข้าใจได้กรรมเก่าก็ตามไม่ทัน กรรมใหม่ก็ไม่ยึดกรรม สร้างแต่คุณงามความดี สร้างแต่ประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกนี้ประโยชน์ในโลกหน้า
โลกหน้าเอาอย่าเพิ่งไปดิ้นรนมันเอาโลกปัจจุบันนี้ให้ได้เสียก่อน วันพรุ่งนี้ก็มี วันมะรืนนี้ก็มี อาทิตย์หน้าก็มี เดือนหน้าก็มี โลกหน้าก็ต้องมี วันวานที่ผ่านมาก็เป็นอดีตก็มี เราพยายามดูแลอยู่ปัจจุบัน จะคิดเรื่องอดีต คิดเรื่องอนาคต คิดเรื่องภาระหน้าที่การงาน ถ้าใจมันคลายรับรู้สติปัญญาเป็นตัวคิด เขาเรียกว่าปัญญาธรรม แต่ใจยังเกิดอยู่ ถึงจะพิจารณาในธรรมพิจารณาทุกเรื่องที่เป็นบุญแต่ก็ยังเป็นปัญญาโลกีย์อยู่เพราะว่าใจยังเกิด ใจยังไม่ได้คลายออกจากขันธ์ห้า แต่ยังเกิดยังวิ่งอยู่
ถ้าเราไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่อง เราก็ว่าเรามีสติ สติในทางโลกนั้นมีอยู่ระดับหนึ่ง สติในทางธรรมเราต้องสร้างขึ้นมาจนเป็น ชี้เหตุชี้ผลเอาไปอบรมใจ เอาไปใช้จนเป็นอัตโนมัติ จนเป็นมหาสติมหาปัญญา รอบรู้ในกองสังขารของตัวเรา รอบรู้ในขันธ์ห้าของตัวเรา รอบรู้ในโลกธรรม โลกธรรมแปดที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ นินทาต่างๆ เราจะอยู่บริหารอย่างไรถึงจะมีความสุข ก็ต้องพยายามกันนะ หลวงพ่อก็ขอขอบใจทุกคน ขอบคุณทุกคน ในอานิสงส์ผลบุญที่ได้มาสร้างร่วมกัน
ตั้งใจรับพรกัน ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสทางลมหายใจของตัวเราเอง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก น้อมสำเหนียกหมายถึงน้อมเข้าไปดู รู้อยู่ในกาย มองกลับลงเข้าไปในกายของเรา ฟังไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดสนใจ ขาดการสนใจในการรู้ตัวเราเอง จะไปเอาตั้งแต่ความรู้ข้างนอก ความรู้ภายในว่ากัน ลักษณะของใจที่ปกติเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร ความคิดเขาผุดขึ้นมาได้อย่างไร ความคิดเก่าๆ นี้มีมาตั้งไม่รู้กี่ภพกี่กัปกี่กัลป์ เขาหลงมา
แต่เวลานี้เขาหลงมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ เราต้องมาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ ชี้เหตุชี้ผลจนกว่าเขาจะคลายออกจากความยึดมั่นถือมั่น คลายออกจากขันธ์ห้า รู้ลักษณะของความว่าง รู้ลักษณะของใจที่สะอาดบริสุทธิ์ เพียงแต่เวลาในกําลังสติของเราไม่ต่อเนื่องก็เลยที่จะเข้าไปวิเคราะห์ตรงนั้นได้ทัน ก็เลยไปยึดเอาความคิดเก่าปัญญาเก่า สร้างกิเลสสร้างเหตุสร้างผล มาทบทับถมดวงใจตัวเดิมนั้นให้หนักเข้าไปอีก อาจจะถูกต้องหรือระดับของสมมติเท่านั้นเอง
เราต้องเป็นบุคคลที่ มองเห็นหนทางเดินว่าจะไปอย่างไรมาอย่างไร ค่อยพัฒนาจิตใจ ค่อยพัฒนา สติปัญญาไปเรื่อยๆ อะไรควรละอะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ทุกเรื่องในชีวิตตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ จนกระทั่งนอนหลับ จนกระทั่งหมดลมหายใจนั่นแหละ สติปัญญาให้อยู่ด้วยสติปัญญาล้วนๆ
สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 27 มีนาคม 2558
มีความสุขกันทุกคน วันนี้เป็นวันพระ ญาติโยมก็พากันมาแต่เช้า ลูกเด็กเล็กแดงนักศึกษาก็พากันมา เมื่อวานนี้ก็มีนักศึกษาหลายประเทศรวมกันมาปลูกต้นไม้ ปลูกต้นวาสนาก็ได้หลายต้น มีโอกาสก็พากันมาสร้างสะสมคุณงามความดีสร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมีให้มีให้เกิดขึ้นกับตัวของเรา เป็นโอกาสอันดี โอกาสเปิดกาลเวลาเปิดสถานที่เปิด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
เราเป็นบุคคลที่มีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีวิบากกรรมที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นภพภูมิที่จะศึกษาธรรมะให้ถึงจุดหมายปลายทางได้ ก็อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้งอย่าไปปล่อยเวลาทิ้งเสียดายเวลา คอยสร้างสะสมคุณงามความดี สร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมี เจริญสติเจริญปัญญาให้รู้แจ้งเห็นจริงในคําสอนของพระพุทธองค์ให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ความเสียสละ ความอ่อนน้อมถ่อมตน การฝักใฝ่การสนใจ เราต้องพยายามทำให้มี อาศัยกาลเวลา ถึงเวลาเราก็ต้องเข้าใจ ตราบใดที่ใจยังมุ่งมั่น ใจอย่างฝักใฝ่ ที่จะหาทางดับทุกข์ หาทางหลุดพ้น มีโอกาส โอกาสก็เปิดให้กันกับทุกคน วันนี้เป็นวันพระ ก็พากันสมาทานศีลกันเสียก่อนนะ
พิจารณาดูดีๆ นะ พระเราชีเราสามเณร กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเองทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา อย่าไปปล่อยปละละเลย ตื่นขึ้นมารู้กายรู้ใจ อะไรคือปัญญา อะไรคือใจ อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล เราอย่าไปปล่อยปละละเลย มีโอกาสให้รีบทำ เพราะว่ากาลเวลา ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา ความประมาท เราพยายามละความประมาท เจริญกุศลให้มีให้เกิดขึ้น อยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทุกเรื่อง
รู้จักฝักใฝ่รู้จักสนใจ อาศัยความเพียรอาศัยกาลเวลาด้วย อาศัยความสืบต่อต่อเนื่อง ว่าคนเราเกิดมา ทำไมถึงเกิด วิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร วิญญาณของเรามาสร้างภพของมนุษย์ มาสร้างกายเนื้อเป็นลักษณะอย่างไร ทำอย่างไรเราถึงจะรู้ตรงนี้ นอกจากคําสอนของพระพุทธองค์ ให้มีแรงบุญแรงศรัทธาน้อมกายเข้ามาแล้วก็เจริญสติ คําว่าความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราต้องสร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง รู้จักควบคุมใจควบคุมอารมณ์คือกําลังสติปัญญาของเราเร็วไวแก่กล้า ถึงเวลาเขาก็จะเข้าใจ
วิธีการแยกรูปแยกนาม คําว่าแยกรูปแยกนาม แยกอย่างไร ใจทำไมถึงเกิด ทำไมใจถึงหลงความคิด หลงอารมณ์ รวมกันเป็นสิ่งเดียวกัน ทำอย่างไรเราถึงจะแยกเขาออกจากกันได้ตรงนี้แหละ ความหลงถ้าแยกได้คลายได้ ถึงจะคลายความหลงได้ นี่ในหลักธรรมนั้นไม่จำเป็นต้องไปจับเขาแยกจากหรอก ถ้าเราเจริญสติรู้เท่าทัน เขาก็จะคลายออกจากกันเอง
เหมือนกับขโมยที่จะขึ้นบ้าน ถ้าเจ้าของบ้าน เห็นรู้ทัน เขาก็จะรีบเผ่นออก ใจก็เหมือนกันกับความคิด อาการของใจซึ่งเป็นนามธรรม ถ้ากําลังสติของเรามีเพียงพอ รู้ทันก่อตัวการเกิดการเคลื่อนเข้าไปรวม เขาจะกระโดดออก เขาจะแยกออกจากกัน แล้วก็จะพลิกจากของที่คว่ำหงายขึ้นมา เขาเรียกว่าหงายของที่คว่ำ สมมติกับวิมุตติเหมือนกับฝ่ามือกับหลังมือ ถ้ารู้เท่าทันสมมติวิมุตติ สมมติอยู่ข้างบนวิมุตติอยู่ข้างล่างคือตัวใจอยู่ตรงกลางนั้น ถ้ารู้ทันปุ๊บ ใจจะพลิกหงายขึ้นมาอยู่ข้างบน เหมือนกับฝ่ามือก็จะอยู่ข้างบน หลังมือก็จะกลับไปอยู่ข้างล่าง ถ้าการทำความเข้าใจไม่ละเอียดอีก การดับความเกิดการละกิเลสไม่หมดจดอีก เขาก็จะพลิกกลับ สมมติก็ครอบงำวิมุตติอีกเหมือนเดิม
เราต้องพยายามศึกษาในกายในใจของเราให้ละเอียดทุกเรื่อง แล้วก็พยายามสะสางกิเลสออกจากใจของเรา ด้วยการทำบุญด้วยการให้ทาน ด้วยการเจริญพรหมวิหาร เพราะว่าใจจะเบาบาง การละกิเลสก็จะถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไว แต่ก่อนใจไม่มีกิเลสใจไม่เกิด เขาหลงเพราะความหลง เขาถึงหลงเกิดมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว ตรงนั้นตามที่พิจารณาตามในพระไตรปิฎก ท่านก็ว่าอย่างนั้น อย่าเพิ่งไปสาวเอาถึงโน่น เราเอาอยู่ปัจจุบัน
ว่าการเกิดอยู่ปัจจุบันนี้ให้ได้อย่างไร แก้ไขอย่างไร ทำใจให้สงบปกติ คลายความยึดมั่นถือมั่นอยู่ปัจจุบันให้ได้เสียก่อน เจริญสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ทุกอริยาบถ จากความไม่มี ใจก็หลงเกิดมาสร้างภพสร้างชาติให้มี เราก็มาเจริญสติเข้าไปคลายความหลง ชี้เหตุชี้ผล กลับไปถึงจุดที่ไม่มีเหมือนเดิม คือความสะอาดความบริสุทธิ์ ทีนี้ก็เป็นเรื่องของปัญญา จะเอาจะมีจะเป็นก็บริหารในระดับของสมมติให้อยู่ดีมีความสุข แต่เราต้องเข้าใจคําว่าสมมติวิมุตติให้ได้ด้วยปัญญารู้แจ้งเห็นจริงตามแนวทางของพระพุทธองค์เสียก่อน ไม่ใช่เอาไปนึกเอาไปคิดเอา ก็ต้องพยายามกัน ไม่เหลือวิสัยล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร เราต้องพยายามทำน้อมเข้ามาให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา คำว่าหลักของอริยสัจความจริงอันประเสริฐสี่ในชีวิตของเรานี่เป็นลักษณะอย่างไร ภาษาธรรม ภาษาโลกเป็นลักษณะอย่างไร กายทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร เขาทำหน้าที่ของเขาอยู่ แต่สิ่งไหนเป็นสิ่งบงการ ส่วนมากก็ตัวใจตัววิญญาณเป็นตัวบงการ ในหลักธรรมท่านให้เจริญสติเข้าไปคลายไปแยกแยะ ชี้เหตุชี้ผล สติปัญญาเป็นผู้ดำเนินการ อยู่ด้วยปัญญา บริหารด้วยปัญญา
ใจความอยากแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ให้เกิด ความเกิดนิดเดียวไม่ให้มี คือตัวใหญ่จะเกิดได้อย่างไร ความโลภ ความโกรธ ความอยาก เพียงแค่เล็กๆ น้อยๆ การเกิดของใจของวิญญาณก็ไม่ให้มี กิเลสมันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ส่วนมากจะไปคอยละคอยดับ พอถึงแต่ตัวใหญ่ๆ กลับสร้างเหตุมาทับถมดวงใจของตัวเอง ไม่หมั่นเอาออกไม่หมั่นคลายออก ก็คลายอยู่แต่คลายไม่ถึงจุดหมายปลายทาง ก็ต้องอาศัยความเพียรอาศัยกาลเวลา เหมือนกับเราปลูกผลหมากรากไม้จะให้ออกดอกออกผลวันเดียวก็ไม่ได้ เราต้องอาศัยเวลา อาศัยการดูแล อากาศ อาศัยมีการให้น้ำให้ปุ๋ย ให้อาหาร ใจก็เหมือนกัน ค่อยพัฒนาไปเรื่อยๆ จากความไม่รู้ก็จะรู้มากขึ้นๆๆ อบรมเจริญสติเข้าไปอบรมใจ ชี้เหตุชี้ผล
ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตื่นขึ้นมาใจปกติจะลุกเข้าห้องส้วมห้องน้ำ สติพากายไปให้ใจรับรู้ แต่เวลานี้กําลังสติของเรามีน้อยไม่ค่อยจะสร้างกันเท่าไร สร้างกันก็ได้เป็นบางครั้งบางคราว ไม่พยายามดำเนินให้ถึงจุดหมายชี้เหตุชี้ผลจนใจยอมรับความเป็นจริง การเกิดเป็นทุกข์ ตัววิญญาณนะ ตัวใจนั้นเกิดเพียงแค่ ความเกิดคือความไม่เที่ยง ท่านถึงว่าวิญญาณไม่เที่ยง ถ้าวิญญาณยังเกิดอยู่ ถ้าใจไม่เกิดคือใจเที่ยง ใจที่ปราศจากกิเลส ใจที่ไม่เกิด ใจที่คลายจากขันธ์ห้า เขาก็ว่าง เขาคลายความยึดมั่นถือมั่น ทุกอย่างมีเหตุมีผลหมดเลย พวกเราจะเข้าถึงเหตุถึงผลนั้น
ก็ต้องมีความเพียรที่ต่อเนื่อง ความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง คําว่าศีล สมาธิ ปัญญา ศีลของหมายความว่าลักษณะของความปกติ ศีลอยู่ในระดับไหน ระดับปกติของสมมติ อธิจิต อธิศีล ศีลระดับลงถึงใจ ใจปกติใจไม่เกิด ใจไม่เกิดความโลภ ความโกรธ ใจไม่เกิดความยินดียินร้าย อะไรเข้ามากระทบใจก็นิ่ง ส่วนมากไม่เป็นอย่างนั้น มีคนมาพูดว่าอย่างนั้นว่าอย่างนี้แค่คําสองคํา เอาเก็บมาคิด มาปรุงมาแต่งทั้งวันทั้งคืน ใจก็เลยไม่ปกติแพ้ย่อยยับ การถนอมใจการรักษาใจการสร้างกําลังใจ ความหมายของภาษาธรรม กายทิพย์ ใจนั่นแหละตัวกายทิพย์ ทำอย่างไรเราถึงจะให้กายทิพย์ของเรามั่นคง ไม่แตกซ่าน ไม่หวั่นไหวในสิ่งต่างๆ เราก็ต้องเจริญสติเข้าไปอบรม เข้าไปแก้ไขอยู่บ่อยๆ ทำบ่อยๆ จนติดเป็นนิสัยจนเป็นอัตโนมัติในการดูในการรู้
คำว่ากรรมในทางหลักธรรมเป็นอย่างไร กรรมในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร วิบากของกรรมเป็นอย่างไร ตัวขันธ์ห้าความคิดมาปรุงแต่งใจ นั่นแหละตัวกรรมในกายของเรา ถ้าเราแยกได้ทำความเข้าใจได้กรรมเก่าก็ตามไม่ทัน กรรมใหม่ก็ไม่ยึดกรรม สร้างแต่คุณงามความดี สร้างแต่ประโยชน์ ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์สูงสุด ประโยชน์ในโลกนี้ประโยชน์ในโลกหน้า
โลกหน้าเอาอย่าเพิ่งไปดิ้นรนมันเอาโลกปัจจุบันนี้ให้ได้เสียก่อน วันพรุ่งนี้ก็มี วันมะรืนนี้ก็มี อาทิตย์หน้าก็มี เดือนหน้าก็มี โลกหน้าก็ต้องมี วันวานที่ผ่านมาก็เป็นอดีตก็มี เราพยายามดูแลอยู่ปัจจุบัน จะคิดเรื่องอดีต คิดเรื่องอนาคต คิดเรื่องภาระหน้าที่การงาน ถ้าใจมันคลายรับรู้สติปัญญาเป็นตัวคิด เขาเรียกว่าปัญญาธรรม แต่ใจยังเกิดอยู่ ถึงจะพิจารณาในธรรมพิจารณาทุกเรื่องที่เป็นบุญแต่ก็ยังเป็นปัญญาโลกีย์อยู่เพราะว่าใจยังเกิด ใจยังไม่ได้คลายออกจากขันธ์ห้า แต่ยังเกิดยังวิ่งอยู่
ถ้าเราไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่อง เราก็ว่าเรามีสติ สติในทางโลกนั้นมีอยู่ระดับหนึ่ง สติในทางธรรมเราต้องสร้างขึ้นมาจนเป็น ชี้เหตุชี้ผลเอาไปอบรมใจ เอาไปใช้จนเป็นอัตโนมัติ จนเป็นมหาสติมหาปัญญา รอบรู้ในกองสังขารของตัวเรา รอบรู้ในขันธ์ห้าของตัวเรา รอบรู้ในโลกธรรม โลกธรรมแปดที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ นินทาต่างๆ เราจะอยู่บริหารอย่างไรถึงจะมีความสุข ก็ต้องพยายามกันนะ หลวงพ่อก็ขอขอบใจทุกคน ขอบคุณทุกคน ในอานิสงส์ผลบุญที่ได้มาสร้างร่วมกัน
ตั้งใจรับพรกัน ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสทางลมหายใจของตัวเราเอง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก น้อมสำเหนียกหมายถึงน้อมเข้าไปดู รู้อยู่ในกาย มองกลับลงเข้าไปในกายของเรา ฟังไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดสนใจ ขาดการสนใจในการรู้ตัวเราเอง จะไปเอาตั้งแต่ความรู้ข้างนอก ความรู้ภายในว่ากัน ลักษณะของใจที่ปกติเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร ความคิดเขาผุดขึ้นมาได้อย่างไร ความคิดเก่าๆ นี้มีมาตั้งไม่รู้กี่ภพกี่กัปกี่กัลป์ เขาหลงมา
แต่เวลานี้เขาหลงมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ เราต้องมาเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ ชี้เหตุชี้ผลจนกว่าเขาจะคลายออกจากความยึดมั่นถือมั่น คลายออกจากขันธ์ห้า รู้ลักษณะของความว่าง รู้ลักษณะของใจที่สะอาดบริสุทธิ์ เพียงแต่เวลาในกําลังสติของเราไม่ต่อเนื่องก็เลยที่จะเข้าไปวิเคราะห์ตรงนั้นได้ทัน ก็เลยไปยึดเอาความคิดเก่าปัญญาเก่า สร้างกิเลสสร้างเหตุสร้างผล มาทบทับถมดวงใจตัวเดิมนั้นให้หนักเข้าไปอีก อาจจะถูกต้องหรือระดับของสมมติเท่านั้นเอง
เราต้องเป็นบุคคลที่ มองเห็นหนทางเดินว่าจะไปอย่างไรมาอย่างไร ค่อยพัฒนาจิตใจ ค่อยพัฒนา สติปัญญาไปเรื่อยๆ อะไรควรละอะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ทุกเรื่องในชีวิตตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ จนกระทั่งนอนหลับ จนกระทั่งหมดลมหายใจนั่นแหละ สติปัญญาให้อยู่ด้วยสติปัญญาล้วนๆ
สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ