หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 8

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 8
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 8
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 8
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 19 มกราคม 2558

มีความสุขกันทุกคน ดูดีๆ นะ พระเราชีเราพิจารณาปฏิสังขาโย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ทุกลมหายใจเข้าออกเราต้องพยายามฝึกฝนตัวเรา แก้ไขตัวเรา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับ จนกระทั่งหมดลมหายใจนั่นแหละ อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนินก่อนดำเนินหลัง ทุกลมหายใจเข้าออกมีคุณค่ามากมายมหาศาล

บุคคลที่มีอานิสงส์มีบุญ มีสติมีปัญญา ย่อมจะจําแนกแจกแจงออกว่าอะไรเป็นอะไร อากาศก็หนาวเย็นหลายวัน ปีนี้หนาวหลายวันกว่าทุกปี 20–30 ปีที่ผ่านมา มีปีนี้แหละหนาว หนาวนานกว่าเพื่อนหน่อย ทุกปีหนาว 2 วัน 3 วัน ปี 51 หรือ 52 หนาวจับขั้วหัวใจ ปีนี้ประเทศพม่าแผ่นดินไหวอากาศวิปริต มีปีนี้อากาศเย็นยาวนานหน่อยน่าจะเย็นถึงสงกรานต์เดือนเมษา บางทีทุกปีฝนตกอากาศเย็นหนาว ฝนฟ้ามาดี

แต่ละวันๆ ที่วัดของเราญาติโยมมาเยอะ ไม่ว่าทางใกล้ทางไกล มาเพื่อความเป็นสิริมงคลของชีวิตของตัวเอง มากราบมาไหว้พระบรมสารีริกธาตุ มากราบมาไหว้พระพุทธรูปหยกใหญ่ แม่กวนอิม แต่เราต้องพยายามน้อมนําเอาคําสอนของท่านไปประพฤติ ไปปฏิบัติ เจริญแนวทางตามท่านชี้แนะแนวทางให้

พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องชีวิตของเราไม่ได้สอนเรื่องอื่น ท่านให้ดูรู้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กายของเราเป็นอย่างไร วิญญาณในกายของเราเป็นอย่างไร คําว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าเป็นอย่างไร สมมติวิมุตติเป็นอย่างไร คําชี้แนะแนวทางการค้นพบของพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผย ถ้าเราประพฤติปฏิบัติตามคําสอนของท่าน เราก็จะเข้าถึงเข้าใจ เข้าถึงความหมายนั้นๆ แล้วก็เราก็จะเข้าถึงธรรม

ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม แต่การเกิดของใจเขาเกิดมานาน เวลานี้เขามาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ เขาก็เลยสร้างกายเนื้อสร้างขันธ์ห้ามาปกปิดเอาไว้ นอกจากปัญญาของพระพุทธองค์ที่ได้ค้นพบจำแนกแจกแจง ให้เจริญสติเข้าไปดู รู้อบรมใจ คลายใจออกจากขันธ์ห้า แต่เขาก็อยู่ด้วยกันนั่นแหละอยู่ในกายของเรานี่แหละ ขณะอยู่ในกายของเราเหมือนกับถ้ำ เหมือนกับถ้ำแต่เขาก็หนีไปเที่ยว ไปเที่ยวที่โน่น ความคิดนั่นแหละคิดไป คิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ เรื่องของคนโน้นเรื่องของคนนี้ บางทีก็เป็นกุศลบ้าง บางทีก็เป็นอกุศลบ้าง

แต่ความหลงอันลึกเข้าไปอีก อาการของขันธ์ห้าซึ่งเป็นนามธรรมด้วยกันเขาก็รวมกันไปอีกหลายชั้น แต่ใจก็ยังเป็นทาสของกิเลสอีก ความยินดียินร้ายความอยากความไม่อยาก การเกิดอีกปิดกั้นตัวเขาเอาไว้ คนทั่วไปได้แต่ค้นหา ไม่รู้จักเจริญสติเข้าไปอบรม ไปวิเคราะห์ ไปสังเกต ไปแยกไปคลาย มีแต่ตัวใจกับขันธ์ห้าวิ่งออกไปค้นหา ก็เลยไม่เจอ

ในหลักธรรมท่านให้เจริญสติ รู้ไม่ทันตั้งแต่ต้นเหตุก็รู้จักหยุดรู้จักดับ พระพุทธองค์ท่านจะชี้ลงที่เหตุอย่างเดียว เหตุเกิดตรงไหน เรื่องอะไรที่มันเกิด ใจที่ปราศจากการเกิดเป็นอย่างไร ใจที่ไม่มีกิเลสเป็นอย่างไร เหตุ การก่อตัวเขาก่อตัวตรงตรงไหน อาการเป็นอย่างไร ท่านจะให้เจริญสติชี้ลงที่เหตุ แต่คนทั่วไปจะไปคิดหาเอง ไปคิดเอา ไปคิดไปอ่านไปฟัง แต่ไม่ได้เจริญสติเข้าไปดูที่เหตุ ก็เลยไม่เห็น ก็เลยไม่รู้จักจุดปล่อยจุดละจุดวาง ก็ได้แค่ทำบุญ การเจริญพรหมวิหารมีอยู่ ความรู้ตัวเป็นบางครั้งก็มีอยู่แต่ไม่รู้ให้ต่อเนื่องเชื่อมโยง ก็เลยไม่เข้าใจ

ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็พยายามให้รู้ทุกอิริยาบถ ไม่เหลือวิสัยหรอก พยายามเอา พวกเรามีโอกาสก็มาสร้างประโยชน์ร่วมกัน ประโยชน์ภายในประโยชน์ภายนอก ประโยชน์ส่วนตนประโยชน์ส่วนรวม เราต้องวิเคราะห์พิจารณา ลึกลงไปก็ความบริสุทธิ์ความสะอาดของใจ ใจเกิดอย่างไร ทำไมใจถึงเกิด ทำไมใจถึงหลง ทำไมเราไม่เข้าถึง อานิสงส์ของเราเพียงพอหรือไม่ ความเสียสละของเราเพียงพอหรือไม่ การวิเคราะห์รู้เหตุรู้ผล การอบรมใจ การสำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจของเรามีหรือเปล่า ความกตัญญูกตเวที ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความแข็งกระด้าง เราพยายามแก้ไข

พระพุทธองค์ท่านว่าสัมมาทิฏฐิเป็นลักษณะอย่างนี้ มิจฉาทิฏฐิความเห็นผิดเป็นอย่างนี้ ทำอย่างไรเราถึงจะยังสัมมาทิฏฐิให้ปรากฏ เราก็ต้องมาเจริญสติจนใจคลายออกจากขันธ์ห้า พลิกจากสมมติไปหาวิมุตติ ใจว่าง โล่ง โปร่ง สติปัญญาตามดูเขาเรียกว่า ‘ปัญญาสัมมาทิฏฐิ’ ความเห็นถูกต้อง ตั้งแต่ข้อแรกในการดำเนินทางในอริยมรรคในองค์แปด เห็นสัมมาทิฏฐิถูกต้องแล้วก็ การงานถูกต้อง พูดจาถูกต้อง สมาธิถูกต้อง มันจะเกี่ยวเนื่องกันไปหมด ถ้าตามทำความเข้าใจรู้เหตุรู้ผล ถ้าขาดเหตุผลเราก็มีตั้งแต่ความหลงทั้งนั้น

อาจจะหลงอยู่ในระดับคุณงามความดี หลงอยู่ในการสร้างบุญสร้างกุศล อันนี้ก็ยังดีๆ กว่าไม่ได้สร้าง ดีกว่าไม่ได้ทำ ให้ยึดในบุญเอาไว้ ถ้าคนมีปัญญาก็ปล่อยวางทั้งบุญหมด วาง เราก็ได้ความบริสุทธิ์เราก็ได้บุญ ตัวใจนะตัวบุญ ความว่างเป็นความสุขที่ถาวร ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น เป็นความสุขที่ถาวร

ก่อนที่จะรู้ความว่างได้ก็ต้องกําจัดความหลง ละกิเลสออกให้มันหมด ให้มันปรากฏขึ้นที่ใจของตัวเรา หมดความสงสัย หมดความลังเล แต่เวลานี้กําลังสติไม่ค่อยจะเจริญกันเลย ปล่อยทิ้ง หายใจทิ้ง ก็เลยเข้าไม่ถึงต้นเหตุใจไม่ได้ แค่การเกิดของใจก็หลง ถ้าไม่หลงไม่เกิดแต่เขาลงมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นไว้หมด แล้วก็หนีเที่ยวต่อ

แต่ละวันนี้ก็มาเที่ยววัดมาทำบุญที่วัด ก็ยังดีนะชวนเขามาวัดนะ ลองดู ทุกเรื่อง กายของเราทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณทำหน้าที่อย่างไร บอกตัวเองได้หรือไม่ บอกตัวเองได้ใช้ตัวเองเป็น มันไม่เข้าใจก็ไปที่โน่นที่นี่ สอนให้ผมหน่อย รดน้ำมนต์ให้ผมหน่อยอยู่อย่างนั้น ชี้ให้ผมหน่อยอยู่อย่างนั้น ทั้งที่ตัวโตๆแล้ว โตกันทุกคน กิเลสมันเกิดยังจะไปเที่ยวให้คนอื่นเขาละให้ มีแต่คนบ้าเที่ยวให้คนอื่นเขาไปละให้กิเลสตัวเอง เราต้องละ ต้องแก้ไขตัวเรา ใจเกิดความอยากก็ละความอยาก ใจเกิดความโกรธก็ละความโกรธ ไปโทษคนโน้นโทษคนนี้ อคติคนโน้นอคติคนนี้ มีแต่คนหลง ถ้าหลงก็ให้หลงในบุญ หลงในการดู รู้กายรู้ใจของตัวเรา สบายมีความสุข

แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านเปิดเผยมาตั้งนานแล้ว พระเราก็เหมือนกันชีเราก็เหมือนกันพยายามฝักใฝ่ขวนขวายสนใจในการวิเคราะห์ใจของตัวเราทุกอิริยาบถ จะให้พาเดินพานั่งนั้นไม่เอา มีแต่คนโง่ให้คนอื่นเขาบังคับ เราต้องบังคับตัวเรา แก้ไขตัวเรา ถึงจะถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไว

อยู่คนเดียวก็ดูใจ อยู่หลายคนก็ดูใจ กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร กลางคืนดูสิ ไปนอนอยู่หลุมศพเป็นอย่างไร ใจมันกลัวหรือมันเกิดความอยาก ต้องหาวิธีแก้ไขสติพลั้งเผลอได้อย่างไร อยู่หลายคนหลายท่านก็ยิ่งพยายามเพิ่มความระมัดระวัง ความสมัครสมานสามัคคี เป็นบุคคลที่มีความเสียสละให้เต็มเปี่ยม

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสทางลมหายใจของเราให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ในหลักของความเป็นจริงตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ สติของเราต้องพยายามอยู่กับกายแล้วก็อยู่กับใจ แล้วก็วิเคราะห์ รู้จักเอาไปใช้ เอาไปอบรมใจของเรา จนใจของเราคลายออกคลาย คลายออกจากขันธ์ห้าหรือว่าเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ถ้าเรามีสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันให้ต่อเนื่อง ความคิดจะผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ ใจจะเคลื่อนเข้าไปรวม เรารู้เท่าทันตรงนั้นใจเขาจะคลายออกจากกันเอง ใจเขาจะแยกออกจากกันเอง เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ใจของเราก็จะหงายจากของที่คว่ำ ว่าง กายก็จะโล่ง นั่นแหละเราก็จะเข้าใจคําว่าอัตตากับอนัตตา เข้าใจคําว่าสมมติวิมุตติ

ความรู้ตัวของเรานี่แหละตามเห็นการเกิดการดับของความคิดเป็นเรื่องอะไรที่เขาเกิดๆ ดับๆ เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เป็นเรื่องอดีตหรือว่าเรื่องของอนาคต ใจของเราเข้าไปรวมตรงนี้ ทำให้เกิดความหลง ทำให้เกิดอัตตาตัวตน ถ้าเราแยกได้คลายได้ตามดูได้ ทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่อง เราก็จะมองเห็นเป็นแค่เพียงอาการ เป็นแค่เพียงมายา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เวลาดับไปแล้ว ความว่างเปล่าเข้ามาปรากฏทุกเรื่อง รู้ความจริงแล้วค่อยละ ทีนี้เราก็มาละกิเลสที่ใจอีก ใจเกิดกิเลสความอยาก ความยินดียินร้าย ความโลภ ความโกรธ แล้วก็มาละ ละกิเลสที่ใจ แล้วก็มาดับความเกิดที่ใจ ส่วนมากก็ใจมันไปตั้งนานแล้วถึงรู้ หรือไม่รู้เลยไปเลย มันหลงเกิด หลงเกิดแล้วก็ไปหลงยึดเอาขันธ์ห้าอีก

เราแยกแยะทำความเข้าใจให้ได้ทุกเรื่องแล้วก็มาทำความเข้าใจกับสมมติ กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกธรรมได้อย่างไร สติปัญญาของเราต้องเต็มรอบให้หมด ส่วนมากก็ทำบ้างได้บ้างไม่ได้บ้าง หลุดบ้างเผลอบ้าง ส่วนมากก็จะหลุด บางทีก็ไม่ทำเอาเลย คิดเอาเลย คิดเออเอง เอาเองๆ อย่างนั้นอย่างนี้ มันผิดหมดเลย

เราต้องมาสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องเชื่อมโยง ให้มันได้จากหนึ่งครั้ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง 4 ครั้ง เป็นนาที เป็นชั่วโมง เป็นวันเป็นเดือนเป็นปี จนรู้แจ้งเห็นจริง จนเอาไปใช้การใช้งานได้ จนเอาดำเนินชีวิตได้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จนไม่ได้สร้างจนเป็นเอง กิเลสตัวไหนมันเกิดขึ้นมาเมื่อไรเราจัดการกับมันเมื่อนั้น อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ ความรู้ตัวไม่มี เราต้องสร้างขึ้นมา ไม่ต่อเนื่องเราพยายามทำให้ต่อเนื่อง พลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ แก้ไขใหม่จนเอาไปใช้ได้ จนเอาไปใช้ได้เอาไปวิเคราะห์ได้ เอาไปละกิเลสได้ อบรมใจได้

ใจมันเกิดมานาน มันหลงมานาน ก็ต้องถูกควบคุมโดยสมถะ เอาสมถะเข้าไปควบคุม อบรมใจทำบ่อยๆ ทำบ่อยๆ ก็จะนิ่งขึ้นๆๆ เห็นความเกิดความดับ มีความสุขสนุกในการดู ในการรู้ ในการแก้ไขตัวเรา หมดความสงสัย เข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ ดำเนินเอาพระพุทธเจ้ามาไว้ที่ใจ

พุทธะคือ ‘ผู้รู้’ ใจของเราเป็นธาตุรู้ แต่เวลานี้เขาทั้งรู้ ทั้งหลง ทั้งเกิด เราก็ต้องเจริญสติเข้าไปอบรมใจ ให้รับรู้อยู่ภายในกายของเรา อะไรผิดถูกชั่วดีอย่างไร สติปัญญาไปแก้ไขทุกเรื่องจนกว่าจะหมดลมหายใจ แต่เวลานี้การเจริญสติมันมีน้อย พยายามสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันได้สักนิด สักนาที​ ​2 นาทีก็ยังดี ดีกว่าไม่ทำนะ

ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง