หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 43
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 43
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 43
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 5 เมษายน 2558
พากันดูดีๆ นะ พระเรา ชีเรา สามเณร พิจารณกะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง ถ้าปล่อยปละละเลยก็ห่างไกล ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาก็รู้กายแล้วก็รู้ใจ รู้จักการเจริญสติ รู้จักการเจริญภาวนา การทำความเข้าใจเอาสติปัญญาไปใช้ ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมไม่รู้จักธรรม เอาตั้งแต่การปฏิบัติด้วยทิฏฐิ ด้วยมานะ ด้วยความเห็นที่ไม่ตรง ในหลักธรรมเราต้องเป็นบุคคลที่อยู่ด้วยปัญญา ทำความเข้าใจด้วยปัญญา อยู่ในพรหมวิหาร อยู่ด้วยความเมตตา ใจต้องสะอาดบริสุทธิ์จะได้ไม่เกิด
บุคคลก็พยายามที่จะฝึกฝนตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง ถ้าเราไม่ฝึกตัวเรา ไม่แก้ไขตัวเรา ไม่มีใครที่ ที่จะแก้ไขให้เราได้เลย การได้ยินได้ฟัง ได้อ่านพากัน มีกันหมดทุกคน มีกันมาตั้งนาน แต่การทำความเห็นให้ถูก ทำความเข้าใจให้ต่อเนื่อง บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น อันนี้มีอยู่บ้าง นิดๆ หน่อยๆ แต่การทำความเข้าใจให้ตลอดยังไม่มี เราก็ต้องพยายาม
ไม่เหลือวิสัย ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่รู้ กลัวว่าจะไม่เห็น กลัวจะไม่มีปัญญา ปัญญาเก่าเขาเกิดมานาน ปัญญาที่เกิดจากใจ เกิดจากวิญญาณ เขาเกิดมานาน เขาหลงมานาน จนกระทั่งหลงมาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างกายเนื้อ มาปิดกั้นเอาไว้ เขาก็ยังเกิดต่อ นอกจากปัญญาของพระพุทธองค์เท่านั้นแหละที่จะเข้าไปแก้ไขดับทุกข์
ศรัทธาน้อมกายของเราเข้ามาเจริญสติลงที่กายให้ลึกเข้าไปถึงใจ รู้ลักษณะของใจ รู้ลักษณะของความคิด อะไรคือส่วนรูปส่วนนาม เขาเกิดอย่างไร ไปอย่างไร มาอย่างไร เพียงแค่ความเกิดความคิด นั่นแหละความหลงเลยแหละ ถ้าไม่ ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เขาหลงมาแล้วเขาถึงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ ไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์มาแล้ว ทีนี้เรามาจัดการเอาขณะที่ยังอยู่ในกายเนื้อของเรานี่แหละ
อาวุธก็สติปัญญา บารมีทาน บารมีความขยันหมั่นเพียร พรหมวิหาร ความเมตตา นี่แหละ เขาเรียกว่าบารมี เราสร้างเอาทำเอา ตื่นขึ้นมาใจของเราเกิดกิเลสสักกี่เที่ยว เราละได้สักกี่ครั้ง กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างไร มาอย่างไร เราต้องดูให้ละเอียด ทำภารกิจภายในของเราให้จบ แล้วก็ยังสมมติของเราให้บริบูรณ์ เราก็พอได้รับอานิสงส์สิ่งที่เราทำ คนอื่นมาก็พลอยได้รับอานิสงส์ในสิ่งที่พวกเราทำ ถึงวาระเวลาก็วางเอาไว้หมด วางเอาไว้กับแผ่นดิน เพราะว่าทุกคนเอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง แม้แต่กายของเรา มีให้เห็นอยู่ตลอดเวลา
ขอเชิญเข้ามานั่งในศาลาการเปรียญกันที่มาทีหลัง ศาลาของเราก็อาจจะคับแคบ ก็คงจะไม่เป็นไร คับแคบสถานที่ แต่อย่าให้คับแคบใจ เปิดใจให้กว้าง ให้โล่งให้โปร่ง ใจของเราว่างเราก็มองเห็นโลกนี้เป็นของว่าง ใจของเราเป็นธรรมเราก็มองเห็นโลกนี้เป็นธรรม ทุกคนก็มีธรรมหมด จะมีมากมีน้อยขึ้นอยู่กับอานิสงส์บุญบารมีที่ทำความเข้าใจ
เราละกิเลสได้มากเท่าไร ใจของเราก็เป็นธรรมมากขึ้น เราดับความเกิดได้สั้นลง การเกิดก็จะน้อยลง จนใจไม่เกิดนั่นแหละ จนมองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน เกิดทางกายเนื้อก็เกิดมาแล้ว เกิดทั้งนักจิตวิญญาณนี่เขาเกิดอยู่ตลอดเวลา กว่าจะดับความเกิดได้ก็ต้องใช้ความเพียร ที่เหตุชี้ผล แยกรูปแยกนาม คลายความหลง แยกวิญญาณออกจากความคิด ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมด้วยกัน เขาก็วางกายด้วยปริยาย นั่นแหละ เขาเรียกว่า สมมติวิมุตติ พลิกจากสมมติไปหาวิมุตติ
ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม แต่จะมองด้วยตาเนื้อ มองไม่เห็น ต้องสร้างความรู้ตัวไป รู้เหตุรู้ผล เห็นเหตุเห็นผล ท่านถึงบอกให้เชื่อ แล้วก็ปฏิบัติตามให้ถึงจุดหมายปลายทาง กําลังสติของเราตั้งแต่เช้าขึ้นมา ได้สร้างขึ้นมาสักนาที เชื่อมโยงไว้แค่นาทีสองนาทีหนึ่ง ก็ยังไม่เชื่อมโยงกัน ก็เลยรู้ไม่ทัน การควบคุมใจมีเป็นบางครั้ง ควบคุมใจ เขาเรียกว่าสมถะ ทำใจให้สงบ เหมือนกับหินทับหญ้า ถ้าเราวิเคราะห์สังเกตแยกแยะตามดู ชี้เหตุชี้ผล จนใจยอม มองเห็นความเป็นจริงเขาไม่เอาหรอกกิเลส การเกิดก็เป็นทุกข์ เขาก็ไม่เกิด ถึงเกิดเราก็ใช้ปัญญาเข้าไปหยุด เข้าไปดับ เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน
พูดง่ายอยู่ แต่การลงมือจริงๆนี่มันยาก ถ้าคนไม่มีความเพียรจริงๆ เราจงพยายามทำของยากให้เป็นของง่าย อย่าทำของง่ายให้เป็นของยาก ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ อบรมทั้งกายทั้งวาจาทั้งใจ จัดระบบระเบียบ ไม่ขี้เกียจคิด หรือคิดมาก ก็ทุกข์มาก คนไม่ตายก็ต้องคิด ใช้ปัญญาเป็นตัวคิด คิดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่คิด กายก็ได้พักผ่อน ใจก็ได้พักผ่อน สมองก็ได้พักผ่อน
อันนี้ใจก็มีตั้งแต่ความทุกข์ความกังวล สมองก็มีแต่ความเครียด ดายก็เลยมีแต่ความเครียด จะหาความสุขได้ที่ไหนล่ะ ให้มีความสุขกับการรู้ใจ รู้กาย กับการทำการทำงาน ทำงานไปด้วยใจมีความสุขไปด้วย ได้ประโยชน์ไปด้วย อยู่คนเดียวก็มีความสุขอยู่ อยู่หลายคนก็มีความสุข อะไรขาดตกบกพร่องก็รีบแก้ไขเสียตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
สติปัญญานี่แหละ เป็นอาจารย์คอยตรวจสอบคอยสอนใจของเรา ส่วนมากก็ไปยึดติดเอาครูบาอาจารย์ ยึดติดเอาสิ่งโน้นยึดติดเอาสิ่งนี้ ยึดติดกับตํารา ต้องให้เอาสติปัญญาของเรารู้แจ้งเห็นจริงทำความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผล ประกาศด้วยตนเอง นั่นแหละถ้าท่านถึงเรียกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน จะไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอน ในความเป็นกลางเครื่องตัดสินภายในของเรายังไม่มีเลย แล้วก็ไปอคติ มีมลทิน คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้
เข้ามาวัดก็มาอคติท่านเจ้าคุณ ไม่พาเดินไม่พานั่งอะไรพวกนี้ หายใจก็จะให้เขาหายใจแทนได้อย่างไร ต้องทำเอา แก้ไขเอาทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร นี่ที่หลวงพ่อนั่งพูดนั่งคุยอยู่นี้ หลวงพ่อเอาทุกเวลา ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลาหรอก เอาเวลาว่างที่กําลังเอาสำรับกับข้าวกับปลานี่แหละ จะหยุดหายใจก็ไม่ได้ ที่เราต้องดูไปด้วย ฟังไปด้วย น้อมไปด้วย แต่เกิดประโยชน์ ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา
ธรรมะมีไว้ให้ศึกษา มีไว้ทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา ไม่ใช่ไปเที่ยวโอ้อวดกัน เถียงกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่มีประโยชน์ มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ไปทะเลาะเบาะแว้งกัน จัดการกับกิเลสภายในของเราให้มันจบ แล้วก็ดำเนินสมมติของเราให้สมบูรณ์แบบ ทุกคนก็จะได้มีความสุข งานภายในจบ ก็สนุกสร้างอานิสงส์ภายนอก พาทำตลอด มีโอกาสก็จะพาทำตลอดเท่าที่กําลังกายมี กําลังกายอนุเคราะห์ให้ ไม่รู้จะอยู่ได้สักกี่วัน กี่เดือน กี่ปี เพราะสภาพร่างกายก็ทรุดโทรมลงทุกที ทำงานหนัก ทำงานหนัก ทำงานอนุเคราะห์ให้กับทุกคน งานส่วนตัวนี้ไม่ให้มี มีแต่งานส่วนรวม
ก็ขอเชิญพี่น้องเราทุกคน วันนี้ก็มีโอกาสได้บวช บวชนาคกันหลายคนหลายท่าน 30 กว่าท่าน คณะของดร.วรภัทร์ พาบริวารมาบวช ท่านก็เป็นคนมีอานิสงส์ มีบุญบารมี บริวารเยอะทั่วประเทศ มาบวชพระบริวารมาบวช มาศึกษา มาทำความเข้าใจ ให้ถึงจุดหมาย ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ไม่ถึงวันนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า ปีหน้านะ ไม่ถึงจริงๆ ก็ไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าใจมันยังเกิดอยู่ กําลังสติของเรามีต่อเนื่องกันสัก 3 นาทีแล้วหรือยัง ถ้าเราทำให้ต่อเนื่องกัน 3 นาที 5 นาที 10 นาที เป็นชั่วโมง จนเอาไปใช้ได้ จนเอาไปดูแลใจได้ ชี้เหตุชี้ผลได้ จนเป็นอัตโนมัติ จนไม่ได้ทำได้สร้างนะ ช่วงใหม่ๆ ก็ฝืน ทั้งฝืน ทั้งสวน ทั้งทวนกระแสกิเลส ก็ต้องพยายามกัน
วันที่ 1 มิถุนา ก็อย่าลืมนะ ใครอยากมาตั้ง ใคร่ตั้งโรงทานมาตั้งโรงทาน หลวงพ่อก็ตั้งตลอดน่ะโรงทาน ให้ตั้งตลอด ใครไม่ให้อดให้อยาก ใครลําบากมาหิวมาก็ไม่ได้ลําบาก ตั้งโรงทานให้ ทำทุกอย่าง แต่กิเลสต้องละเอา อย่ามาให้หลวงพ่อละให้ ไม่เอาเด็ดขาด ต้องบอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น สอนตัวเราให้ได้ ไม่ใช่ว่ามาทีไร ก็หลวงพ่อๆ ละกิเลสให้หน่อย ไม่เอา เราต้องเจริญสติเข้าไปสํารวจเรา แก้ไขเราปรับปรุงตัวเรา มีศรัทธาก็ต้องให้เป็นปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงด้วย ไม่ใช่ศรัทธาแบบหลงงมงาย ดูด้วย เห็นด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย จะละได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเราอีก ถ้าละให้หมดจด ความว่างความบริสุทธิ์นั่นล่ะเป็นความสุขที่ถาวร ดับความเกิดให้ได้อีก เราก็จะมองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามเอา ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันจะได้ปั๊บ ก็ค่อยทำค่อยเป็นค่อยไป ให้รู้จักการเจริญสติ
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร ท่านสอนเรื่องชีวิตของเรานั่นแหละ คําว่าอัตตา อนัตตาของพุทธองค์เป็นอย่างไร หลักของอริยสัจ การเกิดการดับของจิตของวิญญาณ ในกายเป็นอย่างไร รอบรู้ในกองสังขารเป็นอย่างไร ต้องรู้ด้วยเห็นด้วย ตามทำความเข้าใจได้ด้วย สอนตัวเองได้ด้วย ไม่ใช่ว่าดีแต่พูด
การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ให้ทุกคนรู้กันเห็นกัน ค่อยเป็นค่อยไป เผลอเริ่มใหม่ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเองใหม่ กว่าจะได้อานิสงส์ สมมติเราก็ทำ อะไรขาดตกบกพร่องเราก็ทำ อานิสงส์ของวิมุตติ ถ้าเราทำให้ถูกที่ถูกทางเขาก็จะเป็นของเขาเอง ใจที่ไม่มีกิเลส ใจที่ไม่เกิดเขาก็บริสุทธิ์ นั่นแหละๆ คือตัวบุญ ตัวใจนั่นคือตัวบุญ เราก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลา ท่านถือว่าให้ทำกายให้เป็นบุญ ทำใจให้เป็นบุญ ทำวาจาให้เป็นบุญ เราก็จะอยู่กับบุญ แสวงหาแต่ธรรม แต่ใจมันยังวิ่งอยู่ตลอด มันจะนิ่งได้อย่างไร จะยังหลงยังเกิดอยู่ มันอาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติเท่านั้นเอง ลองเด็ดขาดกับชีวิตของเราก็จะได้พบความสุข
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 5 เมษายน 2558
พากันดูดีๆ นะ พระเรา ชีเรา สามเณร พิจารณกะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง ถ้าปล่อยปละละเลยก็ห่างไกล ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาก็รู้กายแล้วก็รู้ใจ รู้จักการเจริญสติ รู้จักการเจริญภาวนา การทำความเข้าใจเอาสติปัญญาไปใช้ ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมไม่รู้จักธรรม เอาตั้งแต่การปฏิบัติด้วยทิฏฐิ ด้วยมานะ ด้วยความเห็นที่ไม่ตรง ในหลักธรรมเราต้องเป็นบุคคลที่อยู่ด้วยปัญญา ทำความเข้าใจด้วยปัญญา อยู่ในพรหมวิหาร อยู่ด้วยความเมตตา ใจต้องสะอาดบริสุทธิ์จะได้ไม่เกิด
บุคคลก็พยายามที่จะฝึกฝนตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง ถ้าเราไม่ฝึกตัวเรา ไม่แก้ไขตัวเรา ไม่มีใครที่ ที่จะแก้ไขให้เราได้เลย การได้ยินได้ฟัง ได้อ่านพากัน มีกันหมดทุกคน มีกันมาตั้งนาน แต่การทำความเห็นให้ถูก ทำความเข้าใจให้ต่อเนื่อง บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น อันนี้มีอยู่บ้าง นิดๆ หน่อยๆ แต่การทำความเข้าใจให้ตลอดยังไม่มี เราก็ต้องพยายาม
ไม่เหลือวิสัย ไม่ต้องไปกลัวว่าจะไม่รู้ กลัวว่าจะไม่เห็น กลัวจะไม่มีปัญญา ปัญญาเก่าเขาเกิดมานาน ปัญญาที่เกิดจากใจ เกิดจากวิญญาณ เขาเกิดมานาน เขาหลงมานาน จนกระทั่งหลงมาสร้างภพมนุษย์ มาสร้างกายเนื้อ มาปิดกั้นเอาไว้ เขาก็ยังเกิดต่อ นอกจากปัญญาของพระพุทธองค์เท่านั้นแหละที่จะเข้าไปแก้ไขดับทุกข์
ศรัทธาน้อมกายของเราเข้ามาเจริญสติลงที่กายให้ลึกเข้าไปถึงใจ รู้ลักษณะของใจ รู้ลักษณะของความคิด อะไรคือส่วนรูปส่วนนาม เขาเกิดอย่างไร ไปอย่างไร มาอย่างไร เพียงแค่ความเกิดความคิด นั่นแหละความหลงเลยแหละ ถ้าไม่ ถ้าไม่หลงก็ไม่เกิด เขาหลงมาแล้วเขาถึงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ ไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์มาแล้ว ทีนี้เรามาจัดการเอาขณะที่ยังอยู่ในกายเนื้อของเรานี่แหละ
อาวุธก็สติปัญญา บารมีทาน บารมีความขยันหมั่นเพียร พรหมวิหาร ความเมตตา นี่แหละ เขาเรียกว่าบารมี เราสร้างเอาทำเอา ตื่นขึ้นมาใจของเราเกิดกิเลสสักกี่เที่ยว เราละได้สักกี่ครั้ง กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างไร มาอย่างไร เราต้องดูให้ละเอียด ทำภารกิจภายในของเราให้จบ แล้วก็ยังสมมติของเราให้บริบูรณ์ เราก็พอได้รับอานิสงส์สิ่งที่เราทำ คนอื่นมาก็พลอยได้รับอานิสงส์ในสิ่งที่พวกเราทำ ถึงวาระเวลาก็วางเอาไว้หมด วางเอาไว้กับแผ่นดิน เพราะว่าทุกคนเอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง แม้แต่กายของเรา มีให้เห็นอยู่ตลอดเวลา
ขอเชิญเข้ามานั่งในศาลาการเปรียญกันที่มาทีหลัง ศาลาของเราก็อาจจะคับแคบ ก็คงจะไม่เป็นไร คับแคบสถานที่ แต่อย่าให้คับแคบใจ เปิดใจให้กว้าง ให้โล่งให้โปร่ง ใจของเราว่างเราก็มองเห็นโลกนี้เป็นของว่าง ใจของเราเป็นธรรมเราก็มองเห็นโลกนี้เป็นธรรม ทุกคนก็มีธรรมหมด จะมีมากมีน้อยขึ้นอยู่กับอานิสงส์บุญบารมีที่ทำความเข้าใจ
เราละกิเลสได้มากเท่าไร ใจของเราก็เป็นธรรมมากขึ้น เราดับความเกิดได้สั้นลง การเกิดก็จะน้อยลง จนใจไม่เกิดนั่นแหละ จนมองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน เกิดทางกายเนื้อก็เกิดมาแล้ว เกิดทั้งนักจิตวิญญาณนี่เขาเกิดอยู่ตลอดเวลา กว่าจะดับความเกิดได้ก็ต้องใช้ความเพียร ที่เหตุชี้ผล แยกรูปแยกนาม คลายความหลง แยกวิญญาณออกจากความคิด ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมด้วยกัน เขาก็วางกายด้วยปริยาย นั่นแหละ เขาเรียกว่า สมมติวิมุตติ พลิกจากสมมติไปหาวิมุตติ
ตัวใจนั่นแหละคือตัวธรรม แต่จะมองด้วยตาเนื้อ มองไม่เห็น ต้องสร้างความรู้ตัวไป รู้เหตุรู้ผล เห็นเหตุเห็นผล ท่านถึงบอกให้เชื่อ แล้วก็ปฏิบัติตามให้ถึงจุดหมายปลายทาง กําลังสติของเราตั้งแต่เช้าขึ้นมา ได้สร้างขึ้นมาสักนาที เชื่อมโยงไว้แค่นาทีสองนาทีหนึ่ง ก็ยังไม่เชื่อมโยงกัน ก็เลยรู้ไม่ทัน การควบคุมใจมีเป็นบางครั้ง ควบคุมใจ เขาเรียกว่าสมถะ ทำใจให้สงบ เหมือนกับหินทับหญ้า ถ้าเราวิเคราะห์สังเกตแยกแยะตามดู ชี้เหตุชี้ผล จนใจยอม มองเห็นความเป็นจริงเขาไม่เอาหรอกกิเลส การเกิดก็เป็นทุกข์ เขาก็ไม่เกิด ถึงเกิดเราก็ใช้ปัญญาเข้าไปหยุด เข้าไปดับ เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน
พูดง่ายอยู่ แต่การลงมือจริงๆนี่มันยาก ถ้าคนไม่มีความเพียรจริงๆ เราจงพยายามทำของยากให้เป็นของง่าย อย่าทำของง่ายให้เป็นของยาก ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ อบรมทั้งกายทั้งวาจาทั้งใจ จัดระบบระเบียบ ไม่ขี้เกียจคิด หรือคิดมาก ก็ทุกข์มาก คนไม่ตายก็ต้องคิด ใช้ปัญญาเป็นตัวคิด คิดเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งไหนไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่คิด กายก็ได้พักผ่อน ใจก็ได้พักผ่อน สมองก็ได้พักผ่อน
อันนี้ใจก็มีตั้งแต่ความทุกข์ความกังวล สมองก็มีแต่ความเครียด ดายก็เลยมีแต่ความเครียด จะหาความสุขได้ที่ไหนล่ะ ให้มีความสุขกับการรู้ใจ รู้กาย กับการทำการทำงาน ทำงานไปด้วยใจมีความสุขไปด้วย ได้ประโยชน์ไปด้วย อยู่คนเดียวก็มีความสุขอยู่ อยู่หลายคนก็มีความสุข อะไรขาดตกบกพร่องก็รีบแก้ไขเสียตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
สติปัญญานี่แหละ เป็นอาจารย์คอยตรวจสอบคอยสอนใจของเรา ส่วนมากก็ไปยึดติดเอาครูบาอาจารย์ ยึดติดเอาสิ่งโน้นยึดติดเอาสิ่งนี้ ยึดติดกับตํารา ต้องให้เอาสติปัญญาของเรารู้แจ้งเห็นจริงทำความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผล ประกาศด้วยตนเอง นั่นแหละถ้าท่านถึงเรียกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน จะไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอน ในความเป็นกลางเครื่องตัดสินภายในของเรายังไม่มีเลย แล้วก็ไปอคติ มีมลทิน คนโน้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้
เข้ามาวัดก็มาอคติท่านเจ้าคุณ ไม่พาเดินไม่พานั่งอะไรพวกนี้ หายใจก็จะให้เขาหายใจแทนได้อย่างไร ต้องทำเอา แก้ไขเอาทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา กายทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร นี่ที่หลวงพ่อนั่งพูดนั่งคุยอยู่นี้ หลวงพ่อเอาทุกเวลา ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลาหรอก เอาเวลาว่างที่กําลังเอาสำรับกับข้าวกับปลานี่แหละ จะหยุดหายใจก็ไม่ได้ ที่เราต้องดูไปด้วย ฟังไปด้วย น้อมไปด้วย แต่เกิดประโยชน์ ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา
ธรรมะมีไว้ให้ศึกษา มีไว้ทำความเข้าใจกับชีวิตของเรา ไม่ใช่ไปเที่ยวโอ้อวดกัน เถียงกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่มีประโยชน์ มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ไปทะเลาะเบาะแว้งกัน จัดการกับกิเลสภายในของเราให้มันจบ แล้วก็ดำเนินสมมติของเราให้สมบูรณ์แบบ ทุกคนก็จะได้มีความสุข งานภายในจบ ก็สนุกสร้างอานิสงส์ภายนอก พาทำตลอด มีโอกาสก็จะพาทำตลอดเท่าที่กําลังกายมี กําลังกายอนุเคราะห์ให้ ไม่รู้จะอยู่ได้สักกี่วัน กี่เดือน กี่ปี เพราะสภาพร่างกายก็ทรุดโทรมลงทุกที ทำงานหนัก ทำงานหนัก ทำงานอนุเคราะห์ให้กับทุกคน งานส่วนตัวนี้ไม่ให้มี มีแต่งานส่วนรวม
ก็ขอเชิญพี่น้องเราทุกคน วันนี้ก็มีโอกาสได้บวช บวชนาคกันหลายคนหลายท่าน 30 กว่าท่าน คณะของดร.วรภัทร์ พาบริวารมาบวช ท่านก็เป็นคนมีอานิสงส์ มีบุญบารมี บริวารเยอะทั่วประเทศ มาบวชพระบริวารมาบวช มาศึกษา มาทำความเข้าใจ ให้ถึงจุดหมาย ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ไม่ถึงวันนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า ปีหน้านะ ไม่ถึงจริงๆ ก็ไปต่อเอาภพหน้า เพราะว่าใจมันยังเกิดอยู่ กําลังสติของเรามีต่อเนื่องกันสัก 3 นาทีแล้วหรือยัง ถ้าเราทำให้ต่อเนื่องกัน 3 นาที 5 นาที 10 นาที เป็นชั่วโมง จนเอาไปใช้ได้ จนเอาไปดูแลใจได้ ชี้เหตุชี้ผลได้ จนเป็นอัตโนมัติ จนไม่ได้ทำได้สร้างนะ ช่วงใหม่ๆ ก็ฝืน ทั้งฝืน ทั้งสวน ทั้งทวนกระแสกิเลส ก็ต้องพยายามกัน
วันที่ 1 มิถุนา ก็อย่าลืมนะ ใครอยากมาตั้ง ใคร่ตั้งโรงทานมาตั้งโรงทาน หลวงพ่อก็ตั้งตลอดน่ะโรงทาน ให้ตั้งตลอด ใครไม่ให้อดให้อยาก ใครลําบากมาหิวมาก็ไม่ได้ลําบาก ตั้งโรงทานให้ ทำทุกอย่าง แต่กิเลสต้องละเอา อย่ามาให้หลวงพ่อละให้ ไม่เอาเด็ดขาด ต้องบอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น สอนตัวเราให้ได้ ไม่ใช่ว่ามาทีไร ก็หลวงพ่อๆ ละกิเลสให้หน่อย ไม่เอา เราต้องเจริญสติเข้าไปสํารวจเรา แก้ไขเราปรับปรุงตัวเรา มีศรัทธาก็ต้องให้เป็นปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงด้วย ไม่ใช่ศรัทธาแบบหลงงมงาย ดูด้วย เห็นด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย จะละได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของเราอีก ถ้าละให้หมดจด ความว่างความบริสุทธิ์นั่นล่ะเป็นความสุขที่ถาวร ดับความเกิดให้ได้อีก เราก็จะมองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามเอา ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บมันจะได้ปั๊บ ก็ค่อยทำค่อยเป็นค่อยไป ให้รู้จักการเจริญสติ
พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร ท่านสอนเรื่องชีวิตของเรานั่นแหละ คําว่าอัตตา อนัตตาของพุทธองค์เป็นอย่างไร หลักของอริยสัจ การเกิดการดับของจิตของวิญญาณ ในกายเป็นอย่างไร รอบรู้ในกองสังขารเป็นอย่างไร ต้องรู้ด้วยเห็นด้วย ตามทำความเข้าใจได้ด้วย สอนตัวเองได้ด้วย ไม่ใช่ว่าดีแต่พูด
การได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ให้ทุกคนรู้กันเห็นกัน ค่อยเป็นค่อยไป เผลอเริ่มใหม่ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเองใหม่ กว่าจะได้อานิสงส์ สมมติเราก็ทำ อะไรขาดตกบกพร่องเราก็ทำ อานิสงส์ของวิมุตติ ถ้าเราทำให้ถูกที่ถูกทางเขาก็จะเป็นของเขาเอง ใจที่ไม่มีกิเลส ใจที่ไม่เกิดเขาก็บริสุทธิ์ นั่นแหละๆ คือตัวบุญ ตัวใจนั่นคือตัวบุญ เราก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลา ท่านถือว่าให้ทำกายให้เป็นบุญ ทำใจให้เป็นบุญ ทำวาจาให้เป็นบุญ เราก็จะอยู่กับบุญ แสวงหาแต่ธรรม แต่ใจมันยังวิ่งอยู่ตลอด มันจะนิ่งได้อย่างไร จะยังหลงยังเกิดอยู่ มันอาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติเท่านั้นเอง ลองเด็ดขาดกับชีวิตของเราก็จะได้พบความสุข