หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 47 วันที่ 18 ธันวาคม 2559
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 47 วันที่ 18 ธันวาคม 2559
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 47
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 18 ธันวาคม 2559
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วย น้อมสําเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เพียงแค่การหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสังเกตขาดการวิเคราะห์ หายใจเข้ายาวให้เป็นธรรมชาติ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ถ้าเราสูดลมหายใจยาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าจะสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา เวลาลมหายใจเข้าหายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สติสัมปชัญญะ’ จนต่อเนื่องจาก 1 นาที 2 นาที 3 นาที กลายเป็น 5 นาที 10 นาที
ส่วนการเกิดการดับของใจหรือว่าวิญญาณในขันธ์ห้าของเรานั้นมีกันทุกคน การเกิดของอาการของขันธ์ห้าหรือว่าความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดนั่นก็มีกันทุกคน ถ้าเรามีสติความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันให้ต่อเนื่อง เวลาใจเกิดเราก็จะเห็น เห็นอาการของใจส่งไปภายนอก เวลาอาการของขันธ์ห้าหรือว่าความคิดผุดขึ้นมา ใจเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าเรามีสติรู้เท่าทัน ใจก็จะคลายออกจากขันธ์ห้า เหมือนกับหงายของที่คว่ำ ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา ความรู้ตัวก็จะเห็นการเกิดการดับของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าว่าเป็นเรื่องอะไร นี่แหละที่ท่านเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง ในอริยมรรคในองค์แปดในข้อแรก เห็นจริงตั้งแต่ข้อแรกก็เถอะ ดําเนินชอบ พูดจาชอบ สมาธิชอบ การงานชอบ ใจก็รับรู้
แต่เวลานี้กําลังสติของเรามีไม่เพียงพอที่จะเข้าไปดู เข้าไปรู้ เข้าไปเห็น ท่านถึงให้เจริญสติ รู้ไม่ทันต้นเหตุก็ไป ก็ควบคุมใจของเราเอาไว้ด้วยสมถะภาวนา ทําให้เกิดความเคยชิน จนกว่าใจจะคลายออกได้ กําลังสติก็จะพุ่งเป็นมหาสติ ตามดู ตามรู้ ตามเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ ถ้าเราไปนึกไปคิดเอาว่าเป็นปัญญาของโลกีย์ ปัญญาของโลก ยิ่งนึกยิ่งคิดเท่าไร ยิ่งปิดกั้นตัวเราเอง
ตัวเราคือตัวใจ กายของเราก็ตัวเรา แต่เป็นตัวเราอยู่ในระดับของสมมติ สมมติ วิมุตติ ถ้าใจแยกได้คลายได้เมื่อไร เราก็จะเข้าใจอะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ มีความจริงทั้งสองอย่าง ความจริงทั้งวิมุตติ ความจริงทั้งสมมติ แต่เราต้องจําแนกแจกแจง ชี้เหตุชี้ผล ด้วยสติปัญญาที่เราเจริญภาวนาให้รู้แจ้งเห็นจริงตั้งแต่ต้นเหตุ ถึงกลางเหตุ ปลายเหตุ ทุกเรื่อง แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมามีกันหมดทุกคน เว้นแต่ว่าความเพียรที่เราจะเจริญสติ เจริญภาวนา ได้ต่อเนื่องกันหรือไม่เท่านั้นเอง เจริญสติไม่รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ ฝึกปฏิบัติธรรมไม่เห็นตัวธรรม มันก็เข้าไม่ถึงความหมาย เราก็ต้องพยายามกัน ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่อยู่ตลอดเวลา
เพราะว่าทุกคนเกิดมาเท่าไรก็ตายหมดนั่นแหละ ก่อนจะถึงเวลานั้นเราพยายามทําความเข้าใจให้ถูกต้อง ทําหน้าที่ของเราให้ดี อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ อะไรที่เป็นกองอกุศลเราก็พยายามละ เพียงแค่บุญระดับสมมติ เราพยายามทําให้เต็มเปี่ยมทําให้เต็มที่ ยังปัจจัยสี่ของเราให้สมบูรณ์แบบ กายทางสมมติก็จะไม่ได้ลําบาก ทางด้านจิตใจก็จะเจริญภาวนา สร้างตบะบารมี สร้างอานิสงส์บุญบารมีให้เต็มเปี่ยม มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่ได้กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายาม
ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ ผิดพลาดแล้วแก้ไขใหม่ ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เราก็พยายามหัดวิเคราะห์ หัดทําความเข้าใจ ความเป็นระเบียบ ทั้งสมมติ ทั้งวิมุตติ ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจของเรา สักวันหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน ตราบใดที่เรายังเดินอยู่ ไม่ถึงวันนี้ก็ต้องถึงพรุ่งนี้ ไม่ถึงพรุ่งนี้เดือนนี้เดือนหน้า ไม่ถึงจริงๆ สิ่งที่พวกเราทํานี้แหละจะเป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวของเราไป ตราบใดที่จะยังเกิดอยู่ก็ต้องอาศัยอานิสงส์บุญ อาศัยอานิสงส์ผลบุญผลทานที่เราทําเอาไว้ ก็พยายามพากันทํา อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง จงพยายามทําตลอดเวลาจนรู้แจ้งเห็นจริง จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้สติ ปัญญา สมาธิ ช่วงใหม่ๆ เราก็ต้องสร้างขึ้นมา เอาไปทําความเข้าใจ เมื่อเรารู้เราเห็นละกิเลสได้หมด สติปัญญา สมาธิเขาจะรักษาเราเอง ไม่จําเป็นต้องได้สร้างอีก ถ้าเราเข้าใจแล้ว
สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจน ทําใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปศึกษาทําความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 18 ธันวาคม 2559
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของตัวเราเองให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วย น้อมสําเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เพียงแค่การหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดการสังเกตขาดการวิเคราะห์ หายใจเข้ายาวให้เป็นธรรมชาติ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ถ้าเราสูดลมหายใจยาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าจะสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา เวลาลมหายใจเข้าหายใจออกมีความรู้สึกรับรู้อยู่ ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สติสัมปชัญญะ’ จนต่อเนื่องจาก 1 นาที 2 นาที 3 นาที กลายเป็น 5 นาที 10 นาที
ส่วนการเกิดการดับของใจหรือว่าวิญญาณในขันธ์ห้าของเรานั้นมีกันทุกคน การเกิดของอาการของขันธ์ห้าหรือว่าความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดนั่นก็มีกันทุกคน ถ้าเรามีสติความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันให้ต่อเนื่อง เวลาใจเกิดเราก็จะเห็น เห็นอาการของใจส่งไปภายนอก เวลาอาการของขันธ์ห้าหรือว่าความคิดผุดขึ้นมา ใจเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าเรามีสติรู้เท่าทัน ใจก็จะคลายออกจากขันธ์ห้า เหมือนกับหงายของที่คว่ำ ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา ความรู้ตัวก็จะเห็นการเกิดการดับของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าว่าเป็นเรื่องอะไร นี่แหละที่ท่านเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง ในอริยมรรคในองค์แปดในข้อแรก เห็นจริงตั้งแต่ข้อแรกก็เถอะ ดําเนินชอบ พูดจาชอบ สมาธิชอบ การงานชอบ ใจก็รับรู้
แต่เวลานี้กําลังสติของเรามีไม่เพียงพอที่จะเข้าไปดู เข้าไปรู้ เข้าไปเห็น ท่านถึงให้เจริญสติ รู้ไม่ทันต้นเหตุก็ไป ก็ควบคุมใจของเราเอาไว้ด้วยสมถะภาวนา ทําให้เกิดความเคยชิน จนกว่าใจจะคลายออกได้ กําลังสติก็จะพุ่งเป็นมหาสติ ตามดู ตามรู้ ตามเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เราก็จะเข้าใจในคําสอนของพระพุทธองค์ ถ้าเราไปนึกไปคิดเอาว่าเป็นปัญญาของโลกีย์ ปัญญาของโลก ยิ่งนึกยิ่งคิดเท่าไร ยิ่งปิดกั้นตัวเราเอง
ตัวเราคือตัวใจ กายของเราก็ตัวเรา แต่เป็นตัวเราอยู่ในระดับของสมมติ สมมติ วิมุตติ ถ้าใจแยกได้คลายได้เมื่อไร เราก็จะเข้าใจอะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ มีความจริงทั้งสองอย่าง ความจริงทั้งวิมุตติ ความจริงทั้งสมมติ แต่เราต้องจําแนกแจกแจง ชี้เหตุชี้ผล ด้วยสติปัญญาที่เราเจริญภาวนาให้รู้แจ้งเห็นจริงตั้งแต่ต้นเหตุ ถึงกลางเหตุ ปลายเหตุ ทุกเรื่อง แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมามีกันหมดทุกคน เว้นแต่ว่าความเพียรที่เราจะเจริญสติ เจริญภาวนา ได้ต่อเนื่องกันหรือไม่เท่านั้นเอง เจริญสติไม่รู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ ฝึกปฏิบัติธรรมไม่เห็นตัวธรรม มันก็เข้าไม่ถึงความหมาย เราก็ต้องพยายามกัน ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่อยู่ตลอดเวลา
เพราะว่าทุกคนเกิดมาเท่าไรก็ตายหมดนั่นแหละ ก่อนจะถึงเวลานั้นเราพยายามทําความเข้าใจให้ถูกต้อง ทําหน้าที่ของเราให้ดี อยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ อะไรที่เป็นกองอกุศลเราก็พยายามละ เพียงแค่บุญระดับสมมติ เราพยายามทําให้เต็มเปี่ยมทําให้เต็มที่ ยังปัจจัยสี่ของเราให้สมบูรณ์แบบ กายทางสมมติก็จะไม่ได้ลําบาก ทางด้านจิตใจก็จะเจริญภาวนา สร้างตบะบารมี สร้างอานิสงส์บุญบารมีให้เต็มเปี่ยม มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่ได้กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายาม
ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ ผิดพลาดแล้วแก้ไขใหม่ ไม่ใช่ว่าไปปล่อยปละละเลย สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เราก็พยายามหัดวิเคราะห์ หัดทําความเข้าใจ ความเป็นระเบียบ ทั้งสมมติ ทั้งวิมุตติ ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจของเรา สักวันหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน ตราบใดที่เรายังเดินอยู่ ไม่ถึงวันนี้ก็ต้องถึงพรุ่งนี้ ไม่ถึงพรุ่งนี้เดือนนี้เดือนหน้า ไม่ถึงจริงๆ สิ่งที่พวกเราทํานี้แหละจะเป็นเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวของเราไป ตราบใดที่จะยังเกิดอยู่ก็ต้องอาศัยอานิสงส์บุญ อาศัยอานิสงส์ผลบุญผลทานที่เราทําเอาไว้ ก็พยายามพากันทํา อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง จงพยายามทําตลอดเวลาจนรู้แจ้งเห็นจริง จนเป็นอัตโนมัติในการดู ในการรู้สติ ปัญญา สมาธิ ช่วงใหม่ๆ เราก็ต้องสร้างขึ้นมา เอาไปทําความเข้าใจ เมื่อเรารู้เราเห็นละกิเลสได้หมด สติปัญญา สมาธิเขาจะรักษาเราเอง ไม่จําเป็นต้องได้สร้างอีก ถ้าเราเข้าใจแล้ว
สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจน ทําใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ให้รู้ว่าลมวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปศึกษาทําความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ