หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 43 วันที่ 04 ธันวาคม 2559

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 43 วันที่ 04 ธันวาคม 2559
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 43 วันที่ 04 ธันวาคม 2559
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 43
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 4 ธันวาคม 2559

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย แล้วก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้ เราละไม่ได้ ก็ขอให้หยุดความนึกคิดปรุงแต่งด้วยการเจริญสติ

สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ฟังไปด้วยน้อมสําเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจ เวลาเราหายใจเข้ามีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา ลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา

พยายามฝึกให้เกิดความเคยชินตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ น้อมรู้สัมผัสของลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออก ถ้าเรารู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้ตัวทั่วพร้อม ตั้งแต่ตื่นขึ้นใจก็ปกติอยู่ ถ้าความรู้ตัวอยู่ปัจจุบันธรรม ใจเกิด เราก็จะรู้ลักษณะอาการของใจ ความคิดหรือว่าอาการของขันธ์ห้าผุดขึ้นมา เราก็จะเห็น เห็นการเกิดการดับ ถ้าใจเคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิด ถ้าเราเห็นตั้งแต่ต้นเหตุ ใจก็จะคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’

คําว่า ‘ขันธ์ห้า’ หรือว่ากองทั้งห้านั้น หมายความว่าอย่างไร คือกายของเรานี้แหละ ส่วนรูปธรรมส่วนนามธรรม กายของเรานี่เป็นก้อนรูป ส่วนใจของเราเป็นนามธรรม แล้วก็อาการของใจอีก ที่ท่านว่าเป็นกอง เป็นขันธ์ ให้เรารู้เห็นทําความเข้าใจ ไม่ใช่ไปนึกเอาไปคิดเอา จิตใจของทุกคนนี่ปรารถนาหาทางดับทุกข์ ปรารถนาหาทางหลุดพ้น แต่ความไม่เข้าใจ การเกิดของใจนั้นเป็นความหลงอันลุ่มลึก หลงมาเกิด หลงมาตั้งแต่ยังไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ จนถึงเวลามาเกิดเป็นมนุษย์ก็มาสร้างขันธ์ห้าปิดกั้นตัวใจเอาไว้ แล้วก็ใจก็เกิดต่อ คิดปรุงแต่งต่อ กายเนื้อแตกดับเขาก็ไปตามวิบากของกรรม

ทีนี้เรามาทําความเข้าใจกันตรงนี้ มาเจริญสติลงที่กายของเรา รู้ให้เท่ารู้ทัน รู้จักทําความเข้าใจ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่คลายจากความคิดหรือว่าแยกรูปแยกนามเป็นลักษณะอย่างนี้ การเกิดการดับของขันธ์ห้าเป็นอย่างไร เข้าใจในเรื่องวิญญาณในขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในโลก รอบรู้ในปัจจัยสี่ รอบรู้ในโลกธรรมในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว

แต่เวลานี้เรายังจําแนกแจกแจงไม่ได้เลย เพราะว่าใจของเรายังเกิดอยู่ ใจของเรายังหลงอยู่ เราอาจจะว่าเราไม่หลง เราอาจจะว่าเราไม่หลงในระดับของสมมติ ในระดับของโลกีย์ แต่ในหลักธรรมแล้วหลงทุกคน หลงทุกคน มีสติมีปัญญาของพระพุทธองค์เท่านั้นแหละที่ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผย การเกิดการดับของใจ การเกิดการดับของขันธ์ห้า การแยกรูปแยกนาม การละกิเลส กิเลสบาง กิเลสละเอียด กิเลสหยาบ มีกันทุกคน ถ้าเราเจริญสติให้รู้ให้เห็นตามความเป็นจริงแล้ว ยิ่งฝึกสติมากเท่าไร ยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเราก็พยายามทําความเข้าใจ รู้จักวิธีการ รู้จักแนวทางแล้ว เราพยายามทําจนไม่มีอะไรที่จะไปแก้ไข

ใจของทุกดวงนั้นสะอาดบริสุทธิ์อยู่เดิม เพราะความไม่เข้าใจเท่านั้นเอง ใจถึงเกิด ใจถึงเป็นทาสของกิเลส เจริญสติพลั้งเผลอเมื่อไรเราก็เริ่มใหม่ พลั้งเผลอเมื่อไรเราก็เริ่มใหม่ ยืน เดิน นั่ง นอน ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง เราพยายามดู ศึกษาดู เปลี่ยนปัญญาโลกให้เป็นปัญญาธรรม ถ้าใจเราวาง ว่างจากขันธ์ห้า วาง ว่างจากกิเลส ดับการเกิด ใจอยู่ในความบริสุทธิ์ ใจเป็นธรรมเราก็มองเห็นโลกนี้เป็นธรรม ใจเป็นโลกเราก็มองเห็นโลกนี้เป็นโลก

กายของเรานี่แหละก้อนโลก ไม่ใช่ที่ไหน เราต้องศึกษาให้ละเอียด กายของเรานี่แหละสนามรบอันยิ่งใหญ่ กายของเรานี่แหละคือตําราที่เราจะต้องค้นคว้าเป็นงานชิ้นเอก ชิ้นโบว์แดงของทุกคน ที่จะต้องศึกษาเรื่องจิตเรื่องใจของตัว รู้ว่าขณะนี้ใจของเราสงบ สะอาด บริสุทธิ์ หรือว่าใจของเราเกิดความกังวล เกิดความฟุ้งซ่าน หรือว่าใจของเราเกิดความโลภ เกิดความโกรธ หรือว่าใจของเราเกิดความทะเยอทะยานอยาก เราก็พยายามหมั่นอบรมใจของเรา เรารู้จักหยุด รู้จักดับ รู้จักอบรมใจของเรา

ลักษณะของสติที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงเป็นลักษณะอย่างนี้ รู้จักวิธีการแล้ว กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ กายวิเวกจากพันธะภาระหน้าที่ต่างๆ ทีนี้ใจของเราก็คือ คลายแยกรูปแยกนาม หรือว่าวิเวกจากความคิด วิเวกจากกิเลส ดับการเกิดให้ได้ มองเห็นหนทางเดิน ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่ได้กลับมาเกิดกัน ทั้งพระทั้งโยมทั้งชีมีอาการขันธ์ห้าเหมือนกันหมด เว้นเสียแต่ว่าเราจะทําความเข้าใจให้ถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่เท่านั้นเอง พยายามอย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง หมั่นพร่ำสอนใจของเรา หมั่นอบรมใจของเรา ทําความเข้าใจบ่อยๆ สักวันหนึ่งใจของเราก็จะคลายออกจากขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่าพลิกหงายของที่คว่ำ ใจก็จะว่าง โล่ง โปร่ง

ใจเกิดกิเลสเมื่อไรเราก็ละเมื่อนั้นแหละ เกิดกิเลสหยาบ เกิดกิเลสละเอียด กิเลสเกิดขึ้นที่กาย ใจส่งเสริมหรือไม่ การแยกรูปแยกนาม แยกรูป รส กลิ่น เสียง ออกจากใจของเรา ตาก็ทําหน้าที่ดู หูก็ทําหน้าที่ฟัง เราก็พยายามหัดสังเกตดูใจของเรา เวลาตากระทบรูปเป็นอย่างไร หูกระทบเสียงใจเป็นอย่างไร ใจนิ่งอยู่หรือเปล่า อย่าพากันรอวันรอเวลา ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็นับว่ามีบุญมีอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ แล้วก็ได้พากันสร้างสะสมคุณงามความดี ตั้งแต่เกิด ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราก็พัฒนามาเรื่อยๆ ตั้งแต่เด็กเป็นผู้ใหญ่ ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านอุปสรรคพันธะต่างๆ ทีนี้ใจของเราก็จะเข้มแข็งขึ้น เจริญสติเข้าไปอบรมใจบ่อยๆ

ท่านถึงว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน ‘ตน’ ตัวแรกคือตัวสติที่เราสร้างอยู่นี่แหละ ‘ตน’ ตัวที่สองคือใจ ทําไมใจถึงเกิด ทําไมใจถึงหลงขันธ์ห้าจนเกิดอัตตาตัวตน คําว่าอัตตาอนัตตาในหลักธรรมของพระพุทธองค์เป็นอย่างไร สมมติ วิมุตติ สมมติคือความเป็นอยู่ทั่วไป ตัววิมุตติคือตัวใจที่คลายจากความยึดมั่นถือมั่น ก็เป็นใจที่วิมุตติหลุดพ้น ทําความเข้าใจ แล้วก็จะได้มองเห็นทางว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน

ยิ่งฝึกไปเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรก็ยิ่งทําความเข้าใจ ยังตัวจิตของเราให้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ด้วยความบริสุทธิ์ งานภายนอกเราก็ทําให้เต็มเปี่ยม ยังทําความเข้าใจในดวงวิญญาณ ทําความเข้าใจในโลกที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ขยันหมั่นเพียรด้วยเหตุด้วยผล อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ ไม่ใช่ว่าไม่มีเวลาปฏิบัติ ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่นั่นแหละคือการปฏิบัติ

การทําความเข้าใจให้รู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย ชี้เหตุชี้ผลด้วย สมมติก็มีเหตุมีผล วิมุตติก็มีเหตุมีผลเหมือนกัน ทําอย่างไรกําลังสติของเราถึงจะเป็นมหาสติ จากมหาสติกลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญากลายเป็นปัญญารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในดวงวิญญาณ เราก็ต้องฝึกเสียก่อน ฝึกแล้วก็หัดสังเกตหัดวิเคราะห์

แต่ละวัน ใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน ใจของเรามีความกตัญญูกตเวที หรือว่าใจของเรามีความแข็งกร้าวแข็งกระด้าง คําว่า ‘ทิฏฐิ’ ความเห็น ความเห็นของใจ ใจเกิดส่งไปภายนอกเราก็รู้จักดับรู้จักหยุด คลายทิฏฐิ คลายมานะ คลายอัตตาตัวตน แยกรูป ใจคลายออกจากขันธ์ห้า แยกรูปแยกนามได้ เขาก็จะเจริญสติเข้าไปทําความเข้าใจ ชี้เหตุชี้ผล เห็นการเกิดการดับ ใจเขาก็จะมองเห็นความเป็นจริงเอง

แต่เวลานี้กําลังสติมีน้อย มีอยู่แต่ไม่ต่อเนื่องไม่เต็มเปี่ยม ทําอย่างไรถึงเจริญสติให้เต็มเปี่ยมได้ ก็ต้องอาศัยกาลอาศัยเวลา อาศัยกําลังแรงศรัทธาที่จะสํารวจตรวจตรารู้กายรู้ใจของเรา มันไม่เหลือวิสัย ใจของคนเรานี้ฝึกได้ ถ้าเรารู้จักฝึกตัวเราเอง ถ้าเราเข้าใจแล้ว ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ใจเกิดสักกี่เที่ยว ความคิดหรือว่าขันธ์ห้าผุดขึ้นมาปรุงแต่งกายของเราสักกี่ครั้ง เหตุจากภายนอกทําให้เกิดหรือเกิดจากข้างใน เราต้องดู รู้ให้ละเอียด ส่วนมากเราก็รู้อยู่ตั้งแต่เมื่อเขาเกิดแล้ว ทําอย่างไรเราถึงจะรู้ตั้งแต่ต้นเหตุ เรารู้จักแก้ รู้จักอบรมใจอยู่ตลอดเวลา ให้ใจของเราอยู่ในความว่าง ความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้นจากสิ่งต่างๆ ก็พยายามนะ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา

หลวงพ่อก็ขอขอบใจทุกคน ขอบใจทุกคนที่ได้มาช่วยการช่วยงานในวัด พยายามเปิดใจให้กว้าง มาทําอานิสงส์มาสร้างบุญใหญ่ให้กับสถานที่ ให้กับแผ่นดิน ฝากเอาไว้ให้กับคนรุ่นหลังของเรา พวกเราจากไปคนรุ่นหลังก็จะได้มาสร้างมาสานต่อ การทําบุญ การสร้างตบะสร้างบารมี เราสร้างได้ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ทําบุญให้กับตัวเรา แก้ไขตัวเรา จนล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะ สู่พี่สู่น้อง สู่เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน

แต่หลักสําคัญเราต้องสํารวจใจของเราให้ได้เสียก่อน รู้จักแก้ไขใจของเรา รู้จักสร้างตบะสร้างบารมี ใจของเรามีความเกียจคร้าน ใจของเรามีกิเลส ใจของเราเกิดกิเลส เราก็รู้จักละ รู้จักดับ ให้อยู่ด้วยปัญญา มีด้วยปัญญา ทําด้วยปัญญา ขยันหมั่นเพียร ทุกเรื่อง สักวันหนึ่งเราก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน สิ่งที่พวกเราทําไม่ได้สูญหายไปไหน นี่คือเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราไป ตราบใดที่ใจยังไม่หลุดพ้น ก็อานิสงส์แห่งบุญนี่แหละจะช่วยเกื้อหนุนทุกภพทุกชาติไป

ขอให้ทุกคนจงเจริญสติให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่ง ถ้าไม่ต่อเนื่องกันจริงๆ ก็ขอให้ต่อเนื่องขณะที่กําลังนั่งฟังอยู่นี่แหละ ทําใจให้ว่าง สมองให้โล่ง ทํากายให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนนะ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทําความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง