หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 31 วันที่ 6 พฤศจิกายน 2559
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 31 วันที่ 6 พฤศจิกายน 2559
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 31
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2559
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมารู้กายของเรารู้ใจของเรา จนกระทั่งถึงเวลานี้แล้วก็เดี๋ยวนี้ เวลาจะขบจะฉันรับประทานอาหารก็พิจารณา ความหิว ความอยาก กายหิวใจเกิดความอยาก ดับความอยาก ละความยาก กายก็เอาอาหารด้วยสติด้วยปัญญา
ทําทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาพิจารณากายของเรา ใจปกติเป็นอย่างไร ใจที่เกิดส่งไปภายนอกเป็นอย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราได้อย่างไร คําว่า ‘ขันธ์ห้า’ มีวิญญาณเข้ามาครอง ในขันธ์ห้านั้นมีอะไรบ้าง ในสภาพร่างกายของคนเรา กายของเราทําหน้าที่อย่างไร ตาก็ทําหน้าที่ดู หูก็ทําหน้าที่ฟัง เรารู้จักแยกรูป รส กลิ่น เสียง ออกจากใจของเราแล้วหรือยัง
กายไม่อยู่ในอํานาจของใจ ทําไมถึงว่าไม่อยู่ในอํานาจของใจของกายของเรา ก็ให้วิเคราะห์ดูดีๆ พิจารณาดูดีๆ ความหิวเราก็หาอาหารมาให้กาย เวลาจะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ เราบังคับไม่ได้ เราก็ต้องไปให้เขา ไปไม่ทันก็ไหลออกมาเพราะว่าใจไปสั่งกายไม่ได้ กายนี่ไม่ได้อยู่ในอํานาจของใจ
กาย คือก้อนทุกข์ มีการเกิดมีการเสื่อมอยู่ตลอดเวลา มีความเสื่อมตั้งแต่เกิด วิญญาณมาสร้างภพของมนุษย์ แล้วก็มายึดมาครอง ถ้าไม่ได้ปัญญาของผู้รู้คือ ปัญญาของพระพุทธองค์ ท่านได้ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผย ว่ากายของเรามีอย่างนี้ๆ มีขันธ์ห้า
คําว่า ‘ขันธ์ห้า’ เป็นกองเป็นขันธ์อย่างไร ท่านให้เจริญสติไปแจง ไปแยก แยกให้รู้ให้เห็นด้วยปัญญา กองวิญญาณ กองสังขาร กองสัญญา กองกุศล กองอกุศล ต้องรู้ด้วยปัญญา ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดําเนิน ถ้าเรายังมาแยกแยะขันธ์ห้าไม่ได้ มันก็มาหลงมาหลงมายึดติดในขันธ์ห้า กายก็เลยหนัก ใจก็เลยหนัก ถึงเราแยกแยะได้ รู้เห็นตามความเป็นจริงได้ แต่เขาก็ยังอาศัยกันอยู่ ถึงเวลาแตกดับ เขาถึงจะแตกดับ ถ้าไม่ถึงเวลาก็ไม่แตกดับ
ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ เราพยายามรีบขวนขวายสร้างคุณงามความดีให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา พยายามรีบขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา คลายความหลงแล้วก็ละกิเลส แล้วก็ดับความเกิดให้มันหมดจด มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
คําว่าอัตตาอนัตตาเป็นอย่างไร สมมติวิมุตติเป็นอย่างไร อีกไม่นาน ไม่นานเดี๋ยวก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน กายก็ต้องได้พลัดพรากจากใจ ถ้าถึงเวลากายเขาก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม คืนไป ยืมดิน น้ํา ลม ไฟ เข้ามาใช้ ยืมโลกเขามาใช้ ถึงเวลาเขาแตกเขาดับ เพราะเขาต้องแตกดับ กายหมดสภาพ ตัวใจก็ยังไปต่อ ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ เขาต้องเกิดไปสร้างภพใหม่ ถ้าสร้างอานิสงส์ดีบุญดีก็ไปสู่สถานที่อยู่ดีๆ ถ้าจิตใจไม่ดีก็ไปที่อยู่สถานที่ไม่ดี
เราพยายามละอกุศล ให้เจริญกุศลเสียให้มากๆ สูงขึ้นไปก็วางหมด วางหมด วางกุศล วางอกุศล แต่สร้างกุศลแต่ไม่หยุด เพื่อให้เกิดประโยชน์ แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรามีความขยันหมั่นเพียร เรามีความรับผิดชอบ เรามีความเสียสละ จิตใจของเรามีความแข็งกร้าวแข็งกระด้าง เราก็รู้จักแก้ไข รู้จักอบรม เจริญสติเข้าไปอบรม จิตใจของเรามีความอ่อนโยนหรือเปล่า จิตใจของเรามีพรหมวิหารหรือไม่ เราก็พยายามหมั่นวิเคราะห์พิจารณาแก้ไขตัวเรา ถ้าเราไม่แก้ไขเรา ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้เลย นอกจากตัวของเรา
แต่การทําบุญให้ทานพวกเรามีโอกาสได้ทําร่วมกัน ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ตรงนี้มี ศรัทธาตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ศรัทธาในการทําบุญ ศรัทธาในการให้ทาน ทํามากก็เป็นของเรา ทําน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทําเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุร่วมเราก็มีโอกาสแห่งบุญ โอกาสเปิด กาลเวลาเปิด สถานที่เปิด เรามีความพร้อมเราก็ได้ทํา บางทีบางคนบางท่านก็มีความพร้อมทั้งทางสมมติ ทั้งสมมติทั้งวิมุตติไม่ได้ลําบาก มีโอกาสก็ยิ่งสนุกในการทําบุญให้ทาน ยิ่งสร้างอานิสงส์บุญบารมีมากขึ้นเป็นทวีคูณ
ส่วนคนที่ไม่มี ยังลําบากอยู่ มีโอกาสเราก็ได้ทํา น้อมกายเข้ามาช่วย น้อมใจเข้ามาช่วย เราก็จะมีส่วนแห่งบุญ ช่วยเหลือเกื้อกูลไปในวันข้างหน้า ยิ่งไม่มีแล้วยิ่งห่างไกลนั้นก็ยิ่งลําบากใหญ่ ยิ่งไม่มีเท่าไรก็น้อมกายน้อมใจเข้ามาทํา ทุ่มเทด้วยกําลังสติ ด้วยกําลังปัญญา ไม่ใช่ว่าไปปิดกั้นตัวเอง ว่าคนอื่นเขาทําแล้วก็แล้ว เห็นคนอื่นเขาทําก็เป็นส่วนของคนอื่น ถ้าจิตใจของเราอนุโมทนาสาธุร่วม เราก็มีส่วนแห่งบุญ ก็ต้องพยายามทํา อย่าพากันทิ้ง
ให้รีบแก้ไขเรา ใจของเราอบรมได้ ใจของเราสอนได้ นี่ถ้ารู้จักการเจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ใจที่สงบเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ตื่นขึ้นมาเราก็รีบสำรวจใจของเรา ไปแสวงหาบุญที่โน่นแสวงหาบุญที่นี่อันนั้นก็เป็นสิ่งที่ดี เป็นการสร้างสะสมคุณงามความดี สร้างสะสมบารมีไปเรื่อยๆ ถึงเวลาเต็มเขาก็เต็ม เหมือนกับเรารับประทานข้าวปลาอาหาร เริ่มทานใหม่ๆ ทานไปเรื่อยๆ ถึงเวลาอิ่มก็อิ่ม
กําลังบุญของเราก็เหมือนกัน เรามีความเสียสละ เรามีศรัทธา เรามีการสนใจฝักใฝ่ เรามีการวิเคราะห์พิจารณา การกระทําของเราก็ให้ถึงพร้อม ถึงเวลาเขาก็เต็มเขาก็อิ่ม ถ้ายังไม่ถึงเวลา เราก็ฝักใฝ่ไปที่โน่นบ้างไปที่นี่บ้าง เพราะวิบากกรรมชักนําพาให้ไป ไปทําบุญที่โน่นไปทําบุญที่นี่ หรือว่าไปเกิดวิบากกรรมที่โน่นวิบากกรรมที่นี่ มันก็เป็นวิบากกรรมที่เราจะต้องได้เผชิญ ถึงเวลามันก็ต้องทำ ข้ามพ้นวิบากกรรมต่างๆ การกระทําของเราก็ให้ถึงพร้อม
ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน ทั้งพระ ทั้งชีก็เยอะ ฆราวาสญาติโยมก็มาเยอะ ให้มีความสมัครสมานสามัคคี อย่าเห็นแก่ตัว อย่าเห็นแก่ความเกียจคร้าน พยายามสร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบ รู้จักสํารวมกาย สํารวมวาจา สํารวมใจของเรา รู้จักละกิเลส ความเกิด ความอยาก อยากไปโน่นไปนี่ ไม่อยากไป ไม่อยากมา ค่อยไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงตัวใจ ใจก่อตัวเมื่อไรก็ดับตั้งแต่ต้นเหตุ เขาก็เข้าถึงตัวของใจ ก็ยังไม่ถึงเวลา มันก็ยากที่จะเข้าถึงได้ เพราะว่าอานิสงส์วิบากกรรมของแต่ละคนสร้างมาไม่เหมือนกัน
แต่ใจทุกดวงปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์หมด บางทีก็เดินหลงทางบ้าง บางทีก็ไปถูกทาง บางทีก็เดินหลงทาง หลงในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง หลงในลาภยศ สรรเสริญ ทุกอย่างเป็นเครื่องกางกั้นไม่ให้ใจของเราเข้าถึงความสงบ ไม่ให้เข้าถึงนิพพานนั่นแหละ นิพพานหมายถึงเย็น เย็น สงบเย็นจากการเกิด สงบเย็นจากกิเลส สงบเย็นจากขันธ์ห้า กายวิเวก ใจวิเวก ปัญญาเข้าไปวิเคราะห์พิจารณา แก้ไขตัวเรา
อยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน คนละทิศละที่ละทางก็มาอยู่ร่วมกัน ก็มีวิบากร่วมกันล่ะถึงได้มาอยู่ร่วมกัน บางทีก็เข้าถึงความหมายนั้นๆ เข้าถึงความหมายของพระพุทธองค์ คําสอนของพระพุทธองค์ บางทีบางท่านก็มาทะเลาะเบาะแว้งกันแล้วก็ไป แทนที่จะได้รับความสงบความสุข บางทีก็มา มาแล้วก็มาอคติเพ่งโทษกัน อคติกัน ว่ากัน ทั้งที่อยู่คนละทิศละที่ มันมีให้อยู่ได้อาศัยก็ดีแล้ว มีที่พักที่อาศัยที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน
กว่าจะมีให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุขก็ต้องอาศัยกาลอาศัยเวลา อาศัยความเพียร อาศัยคนรุ่นก่อนๆ เคยสร้างเคยทําเอาไว้ พวกเรามาก็มาสร้างมาสานต่อ อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ฝากเอาไว้ให้กับสมมติ ฝากเอาไว้ให้กับโลกเขา มีโอกาสเราก็รีบทํา มีโอกาสก็ได้ขอเชิญมาร่วม มาร่วมกันคนละเล็กละน้อย ฝากเอาไว้ ดีกว่าไม่ได้ทํา
ตั้งใจรับพรกัน
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2559
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมารู้กายของเรารู้ใจของเรา จนกระทั่งถึงเวลานี้แล้วก็เดี๋ยวนี้ เวลาจะขบจะฉันรับประทานอาหารก็พิจารณา ความหิว ความอยาก กายหิวใจเกิดความอยาก ดับความอยาก ละความยาก กายก็เอาอาหารด้วยสติด้วยปัญญา
ทําทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาพิจารณากายของเรา ใจปกติเป็นอย่างไร ใจที่เกิดส่งไปภายนอกเป็นอย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราได้อย่างไร คําว่า ‘ขันธ์ห้า’ มีวิญญาณเข้ามาครอง ในขันธ์ห้านั้นมีอะไรบ้าง ในสภาพร่างกายของคนเรา กายของเราทําหน้าที่อย่างไร ตาก็ทําหน้าที่ดู หูก็ทําหน้าที่ฟัง เรารู้จักแยกรูป รส กลิ่น เสียง ออกจากใจของเราแล้วหรือยัง
กายไม่อยู่ในอํานาจของใจ ทําไมถึงว่าไม่อยู่ในอํานาจของใจของกายของเรา ก็ให้วิเคราะห์ดูดีๆ พิจารณาดูดีๆ ความหิวเราก็หาอาหารมาให้กาย เวลาจะเข้าห้องส้วมห้องน้ำ เราบังคับไม่ได้ เราก็ต้องไปให้เขา ไปไม่ทันก็ไหลออกมาเพราะว่าใจไปสั่งกายไม่ได้ กายนี่ไม่ได้อยู่ในอํานาจของใจ
กาย คือก้อนทุกข์ มีการเกิดมีการเสื่อมอยู่ตลอดเวลา มีความเสื่อมตั้งแต่เกิด วิญญาณมาสร้างภพของมนุษย์ แล้วก็มายึดมาครอง ถ้าไม่ได้ปัญญาของผู้รู้คือ ปัญญาของพระพุทธองค์ ท่านได้ค้นพบแล้วก็มาเปิดเผย ว่ากายของเรามีอย่างนี้ๆ มีขันธ์ห้า
คําว่า ‘ขันธ์ห้า’ เป็นกองเป็นขันธ์อย่างไร ท่านให้เจริญสติไปแจง ไปแยก แยกให้รู้ให้เห็นด้วยปัญญา กองวิญญาณ กองสังขาร กองสัญญา กองกุศล กองอกุศล ต้องรู้ด้วยปัญญา ว่าอะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดําเนิน ถ้าเรายังมาแยกแยะขันธ์ห้าไม่ได้ มันก็มาหลงมาหลงมายึดติดในขันธ์ห้า กายก็เลยหนัก ใจก็เลยหนัก ถึงเราแยกแยะได้ รู้เห็นตามความเป็นจริงได้ แต่เขาก็ยังอาศัยกันอยู่ ถึงเวลาแตกดับ เขาถึงจะแตกดับ ถ้าไม่ถึงเวลาก็ไม่แตกดับ
ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ เราพยายามรีบขวนขวายสร้างคุณงามความดีให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา พยายามรีบขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา คลายความหลงแล้วก็ละกิเลส แล้วก็ดับความเกิดให้มันหมดจด มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
คําว่าอัตตาอนัตตาเป็นอย่างไร สมมติวิมุตติเป็นอย่างไร อีกไม่นาน ไม่นานเดี๋ยวก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน กายก็ต้องได้พลัดพรากจากใจ ถ้าถึงเวลากายเขาก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม คืนไป ยืมดิน น้ํา ลม ไฟ เข้ามาใช้ ยืมโลกเขามาใช้ ถึงเวลาเขาแตกเขาดับ เพราะเขาต้องแตกดับ กายหมดสภาพ ตัวใจก็ยังไปต่อ ตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่ เขาต้องเกิดไปสร้างภพใหม่ ถ้าสร้างอานิสงส์ดีบุญดีก็ไปสู่สถานที่อยู่ดีๆ ถ้าจิตใจไม่ดีก็ไปที่อยู่สถานที่ไม่ดี
เราพยายามละอกุศล ให้เจริญกุศลเสียให้มากๆ สูงขึ้นไปก็วางหมด วางหมด วางกุศล วางอกุศล แต่สร้างกุศลแต่ไม่หยุด เพื่อให้เกิดประโยชน์ แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรามีความขยันหมั่นเพียร เรามีความรับผิดชอบ เรามีความเสียสละ จิตใจของเรามีความแข็งกร้าวแข็งกระด้าง เราก็รู้จักแก้ไข รู้จักอบรม เจริญสติเข้าไปอบรม จิตใจของเรามีความอ่อนโยนหรือเปล่า จิตใจของเรามีพรหมวิหารหรือไม่ เราก็พยายามหมั่นวิเคราะห์พิจารณาแก้ไขตัวเรา ถ้าเราไม่แก้ไขเรา ไม่มีใครจะแก้ไขให้เราได้เลย นอกจากตัวของเรา
แต่การทําบุญให้ทานพวกเรามีโอกาสได้ทําร่วมกัน ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ตรงนี้มี ศรัทธาตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ศรัทธาในการทําบุญ ศรัทธาในการให้ทาน ทํามากก็เป็นของเรา ทําน้อยก็เป็นของเรา เห็นคนอื่นทําเราก็พลอยอนุโมทนาสาธุร่วมเราก็มีโอกาสแห่งบุญ โอกาสเปิด กาลเวลาเปิด สถานที่เปิด เรามีความพร้อมเราก็ได้ทํา บางทีบางคนบางท่านก็มีความพร้อมทั้งทางสมมติ ทั้งสมมติทั้งวิมุตติไม่ได้ลําบาก มีโอกาสก็ยิ่งสนุกในการทําบุญให้ทาน ยิ่งสร้างอานิสงส์บุญบารมีมากขึ้นเป็นทวีคูณ
ส่วนคนที่ไม่มี ยังลําบากอยู่ มีโอกาสเราก็ได้ทํา น้อมกายเข้ามาช่วย น้อมใจเข้ามาช่วย เราก็จะมีส่วนแห่งบุญ ช่วยเหลือเกื้อกูลไปในวันข้างหน้า ยิ่งไม่มีแล้วยิ่งห่างไกลนั้นก็ยิ่งลําบากใหญ่ ยิ่งไม่มีเท่าไรก็น้อมกายน้อมใจเข้ามาทํา ทุ่มเทด้วยกําลังสติ ด้วยกําลังปัญญา ไม่ใช่ว่าไปปิดกั้นตัวเอง ว่าคนอื่นเขาทําแล้วก็แล้ว เห็นคนอื่นเขาทําก็เป็นส่วนของคนอื่น ถ้าจิตใจของเราอนุโมทนาสาธุร่วม เราก็มีส่วนแห่งบุญ ก็ต้องพยายามทํา อย่าพากันทิ้ง
ให้รีบแก้ไขเรา ใจของเราอบรมได้ ใจของเราสอนได้ นี่ถ้ารู้จักการเจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผล เห็นเหตุเห็นผล ใจที่สงบเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ตื่นขึ้นมาเราก็รีบสำรวจใจของเรา ไปแสวงหาบุญที่โน่นแสวงหาบุญที่นี่อันนั้นก็เป็นสิ่งที่ดี เป็นการสร้างสะสมคุณงามความดี สร้างสะสมบารมีไปเรื่อยๆ ถึงเวลาเต็มเขาก็เต็ม เหมือนกับเรารับประทานข้าวปลาอาหาร เริ่มทานใหม่ๆ ทานไปเรื่อยๆ ถึงเวลาอิ่มก็อิ่ม
กําลังบุญของเราก็เหมือนกัน เรามีความเสียสละ เรามีศรัทธา เรามีการสนใจฝักใฝ่ เรามีการวิเคราะห์พิจารณา การกระทําของเราก็ให้ถึงพร้อม ถึงเวลาเขาก็เต็มเขาก็อิ่ม ถ้ายังไม่ถึงเวลา เราก็ฝักใฝ่ไปที่โน่นบ้างไปที่นี่บ้าง เพราะวิบากกรรมชักนําพาให้ไป ไปทําบุญที่โน่นไปทําบุญที่นี่ หรือว่าไปเกิดวิบากกรรมที่โน่นวิบากกรรมที่นี่ มันก็เป็นวิบากกรรมที่เราจะต้องได้เผชิญ ถึงเวลามันก็ต้องทำ ข้ามพ้นวิบากกรรมต่างๆ การกระทําของเราก็ให้ถึงพร้อม
ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน ทั้งพระ ทั้งชีก็เยอะ ฆราวาสญาติโยมก็มาเยอะ ให้มีความสมัครสมานสามัคคี อย่าเห็นแก่ตัว อย่าเห็นแก่ความเกียจคร้าน พยายามสร้างความขยันหมั่นเพียร สร้างความรับผิดชอบ รู้จักสํารวมกาย สํารวมวาจา สํารวมใจของเรา รู้จักละกิเลส ความเกิด ความอยาก อยากไปโน่นไปนี่ ไม่อยากไป ไม่อยากมา ค่อยไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ ไล่เรียงลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงตัวใจ ใจก่อตัวเมื่อไรก็ดับตั้งแต่ต้นเหตุ เขาก็เข้าถึงตัวของใจ ก็ยังไม่ถึงเวลา มันก็ยากที่จะเข้าถึงได้ เพราะว่าอานิสงส์วิบากกรรมของแต่ละคนสร้างมาไม่เหมือนกัน
แต่ใจทุกดวงปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์หมด บางทีก็เดินหลงทางบ้าง บางทีก็ไปถูกทาง บางทีก็เดินหลงทาง หลงในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง หลงในลาภยศ สรรเสริญ ทุกอย่างเป็นเครื่องกางกั้นไม่ให้ใจของเราเข้าถึงความสงบ ไม่ให้เข้าถึงนิพพานนั่นแหละ นิพพานหมายถึงเย็น เย็น สงบเย็นจากการเกิด สงบเย็นจากกิเลส สงบเย็นจากขันธ์ห้า กายวิเวก ใจวิเวก ปัญญาเข้าไปวิเคราะห์พิจารณา แก้ไขตัวเรา
อยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน คนละทิศละที่ละทางก็มาอยู่ร่วมกัน ก็มีวิบากร่วมกันล่ะถึงได้มาอยู่ร่วมกัน บางทีก็เข้าถึงความหมายนั้นๆ เข้าถึงความหมายของพระพุทธองค์ คําสอนของพระพุทธองค์ บางทีบางท่านก็มาทะเลาะเบาะแว้งกันแล้วก็ไป แทนที่จะได้รับความสงบความสุข บางทีก็มา มาแล้วก็มาอคติเพ่งโทษกัน อคติกัน ว่ากัน ทั้งที่อยู่คนละทิศละที่ มันมีให้อยู่ได้อาศัยก็ดีแล้ว มีที่พักที่อาศัยที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน
กว่าจะมีให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุขก็ต้องอาศัยกาลอาศัยเวลา อาศัยความเพียร อาศัยคนรุ่นก่อนๆ เคยสร้างเคยทําเอาไว้ พวกเรามาก็มาสร้างมาสานต่อ อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ ฝากเอาไว้ให้กับสมมติ ฝากเอาไว้ให้กับโลกเขา มีโอกาสเราก็รีบทํา มีโอกาสก็ได้ขอเชิญมาร่วม มาร่วมกันคนละเล็กละน้อย ฝากเอาไว้ ดีกว่าไม่ได้ทํา
ตั้งใจรับพรกัน