หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 39 วันที่ 19 พฤศจิกายน 2559

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 39 วันที่ 19 พฤศจิกายน 2559
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ผู้บรรยาย
พระธรรมเทศนา พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 39 วันที่ 19 พฤศจิกายน 2559
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 39
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2559

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา รู้จักทําความเข้าใจ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่จนกระทั่งถึงเวลานี้ แล้วก็เดี๋ยวนี้ เราได้วิเคราะห์กายของเราแล้วหรือยัง เราได้วิเคราะห์ใจของเราแล้วหรือยัง ได้อบรมใจ หมั่นพร่ำสอนใจของเราแล้วหรือยัง ตื่นขึ้นมาใจของเราสงบ ใจของเราปกติ หรือว่าใจของเราส่งไปภายนอก

การเจริญสติ ลักษณะของคําว่าสติระลึกรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน รู้กายแล้วก็รู้ใจ รู้กายคือรู้ส่วนรูปธรรม รู้สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา อันนี้ก็เป็นการรู้กาย รู้กายแล้วก็รู้ใจ แต่เราอาจจะรู้อยู่ในภาพรวม เรายังไม่ได้เห็นลักษณะของตัวใจจริงๆ

ตัวใจจริงๆ นั้นเขาอยู่ในความว่าง อยู่ในความว่าง อยู่ในความสงบ อยู่ในความสะอาด อยู่ในความบริสุทธิ์ แต่เวลานี้เขายังหลงอยู่ ก็หลงเกิด หลงเกิด หลงคิด หลงปรุง หลงแต่ง ทําอย่างไรเราถึงจะควบคุมใจของเราได้ เราก็ต้องเจริญสติลงที่กายของเรา หมั่นอบรมใจของเราบ่อยๆ รู้จักแยกแยะว่าอันนี้เป็นส่วนของสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา อันนี้เป็นส่วนใจ ใจที่ปกติเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่สงบ ใจที่ไม่เกิด ใจที่คลายจากขันธ์ห้า ใจที่ละกิเลสจนเหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์เป็นอย่างไร เราต้องศึกษาทําความเข้าใจให้ละเอียด ไม่ใช่ว่าปล่อยเลยตามเลย

กายของเรานี้ประกอบขึ้นมาด้วยธาตุสี่ขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างไร วิญญาณในกายขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างไร ที่ท่านว่าเป็นกองเป็นขันธ์มีกันทุกคน มีกันทุกคน จิตของแต่ละคนนี้สอนได้ ไม่ใช่ว่าสอนไม่ได้ สอนได้หมด ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็ปรารถนาหาทางดับทุกข์ บางคนก็ช้า บางคนก็เร็ว บางคนก็สร้างบุญมาดี บางคนก็ห่างไกลจากธรรมเลยก็มี ก็ต้องพยายามน้อมนําเอาคําสอนของพระพุทธองค์มาประพฤติมาปฏิบัติ แล้วก็ทําใจของเราให้เข้าถึงว่าท่านสอนเรื่องอะไร

การเจริญสติ ความหมายของการเจริญสติก็เพื่อที่จะคลายความหลง แล้วก็ละกิเลส อบรมใจของเราให้ได้ อยู่ด้วยปัญญาล้วนๆ ไม่ใช่ปล่อยวันเวลาทิ้ง เรามีศรัทธา ศรัทธามีเต็มเปี่ยมแต่ให้เป็นศรัทธาที่เกิดจากการเจริญภาวนาด้วย ไม่ใช่ว่าศรัทธาแบบหลงงมงาย ใครว่าอย่างไรก็หลงไปตามเขาหมด ต้องปฏิบัติให้รู้แจ้งเห็นจริงปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนอยู่ที่กายที่ใจของเรา

กายของเรานี่แหละ สนามรบอย่างดีเลย เรามาเจริญสติเข้าไปอบรมใจของเรา อยู่คนเดียวรู้กายรู้ใจของเรา หมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราสอนใจของเราไม่ได้ก็อย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาสอน ไม่เกิดประโยชน์ เราพยายามหมั่นพร่ำสอนตัวเรา การเกิดก็เป็นทุกข์ การเป็นทาสของกิเลส กิเลสหยาบเป็นอย่างไร กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร ทวารทั้งหกทําหน้าที่อย่างไร ภาษาธรรมภาษาโลกเป็นอย่างไร บุคคลที่มีบุญ มีอานิสงส์ มีปัญญาฟังนิดเดียว รู้จักวิธีการแนวทางแล้วก็ไปปฏิบัติ ไปสร้างให้มีให้เกิดขึ้น

แต่ละวันใจของเรามีความอ่อนน้อมถ่อมตน หรือว่ามีความเกียจคร้านหรือว่ามีความแข็งกร้าว เราจะแก้ไขใจของเราอย่างไรถึงจะให้อยู่ดีมีความสุข ถึงจะให้สะอาดบริสุทธิ์ หลุดพ้นจากการเป็นทาสของกิเลส สิ่งพวกนี้จะไปบังคับกันไม่ได้เลย ไปด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม ได้แค่บอกแค่กล่าว แค่พูดให้ฟังเท่านั้น พวกเราจงไปทําให้มี ให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดิน นั่งนอน กินอยู่ ขับถ่าย ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ เพียงแค่ระดับสมมติ เราก็พยายามทําหน้าที่ของเราให้ดี

พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องสมมติ เรื่องวิมุตติ สมมติวิมุตติของท่านเป็นอย่างไร อัตตาอนัตตาเป็นอย่างไร อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในกายในใจของเราเป็นอย่างไร มีไม่มากหรอก อยู่ในกายของเรานี้แหละ ถ้ารู้จักค้นหาค้นคว้าย่อมจะเข้าถึง แต่ส่วนมากก็มีตั้งแต่ส่งใจออกไปภายนอก ไปวิ่งหาตั้งแต่ข้างนอก หลอกตัวเองอยู่ตลอดเวลา

การเกิดของใจนั่นแหละคือความหลงอย่างละเอียด เราถึงได้มาเจริญสติเข้าไปอบรมใจ จนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า ทําความเข้าใจละขันธ์ห้า มาละกิเลส แล้วก็มาดับความเกิด แต่กายสมมติก็ยังมีอยู่ พูดง่ายอยู่หรอกนะ แต่การกระทําการนั่นจริงๆ แล้วก็ต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ มีความทําความเข้าใจเป็นเลิศ ต้องพยายามไม่เหลือวิสัย ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่ ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน ก็ต้องพยายามเพิ่มความสมัครสมานสามัคคี ระวังกาย ระวังใจ ระวังวาจาของตัวเรา ไม่ให้กระทบกระทั่งกัน ไม่ให้ว่ากันให้อภัยซึ่งกันและกัน ก็อยู่ด้วยกันมีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่น้อยคนก็มีความสุข พระเราก็เหมือนกัน ชีเราก็เหมือนกัน มีอะไรก็ให้ช่วยกัน จากหนักก็เป็นเบา จากเบาก็จะได้รับความสะดวกสบาย

พระเราส่วนหนึ่ง วันนี้พากันช่วยกันไปย้อมเหล็กทางของฝั่งมหาเจดีย์หน่อยนะ เหล็กก็สั่งมาเมื่อวาน ก็มีไม่มากหรอก ก็ช่วยกันหรือว่าย้อมเสร็จแล้ว ช่วยกันย้อมช่วยกันทํา พวกเรานั่นแหละได้อาศัย ไม่ใช่ใครหรอก พวกเราจากไปรุ่นหลังก็จะได้มาอาศัยต่อ มาดูแลสร้างสรรค์ต่อ เรามาวางรากฐานกองบุญเอาไว้ พวกเราจากไป คนรุ่นหลังก็จะได้ไม่ได้ลําบาก เราหวังรากฐานบุญให้เป็นกองมหึมาฝากเอาไว้ให้กับแผ่นดิน ฝากเอาไว้ให้กับส่วนรวม ให้เป็นสมบัติของส่วนกลาง พวกเรามีโอกาสมาก โอกาสเปิดกาลเวลาเปิด อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา บุญภายนอกเราก็ทําให้เต็มเปี่ยม ส่วนการขัดเกลากิเลสเราก็พยายามขัดเกลาเอาออกอยู่ตลอดเวลา สักวันหนึ่งก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทาง

สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดีนะ ดีกว่าไม่ได้ทํา

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทําความเข้าใจต่อให้รู้ทุกอิริยาบถ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง