หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 29 วันที่ 4 พฤศจิกายน 2559
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 29 วันที่ 4 พฤศจิกายน 2559
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2559 ลำดับที่ 29
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2559
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง ฟังไปด้วยน้อมสําเหนียกไปด้วย นั่งตามสบาย อย่าไปเกร็งร่างกาย วางกายให้สบาย และก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งเอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้เด็ดขาด ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน การสูดลมหายใจยาวๆ ผ่อนลมหายใจยาวๆ กายก็จะสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน
เราพยายามสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง เราอย่าไปนึกเอาอย่าไปคิดเอา การนึกการคิด การปรุงการแต่งที่เกิดจากใจ เกิดจากขันธ์ห้า อันนั้นเป็นปัญญาที่ใจยังเกิดอยู่ ใจยังหลงอยู่ เราถึงได้มาเจริญสติหรือว่ามาสร้างผู้รู้ ‘ผู้รู้’ คือสติ รู้ให้ต่อเนื่อง รู้ความเป็นจริง รู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่คลายจากความคิดคลายจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนามเป็นลักษณะอย่างไร เรารู้ตั้งแต่ต้นเหตุ ถ้ารู้ไม่ทันต้นเหตุก็ใช้สมถะเข้าไปดับ หรือว่าตั้งสติอยู่กับลมหายใจเข้าออกใหม่
หายใจก็อย่าไปบังคับลมหายใจ อย่าไปเพ่ง เราหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ดู ถ้าเราเอาสมองส่วนบนไปเพ่งที่ปลายจมูกของเรา สมองก็จะตึง ถ้าเราเอาตัวใจหรือว่าจิตไปเพ่งที่ปลายจมูก หน้าอกก็จะแน่น เราหัดสังเกตบ่อยๆ หัดทําความเข้าใจบ่อยๆ หายใจธรรมชาติเป็นลักษณะอย่างนี้ หายใจออกยาว หายใจเข้ายาว หายใจสั้น หายใจออกสั้น หายใจเข้าสั้นให้เป็นธรรมชาติ หายใจที่ต่อเนื่องเชื่อมโยง
ถ้าเราหายใจต่อเนื่องเชื่อมโยงแล้ว ใจจะเกิดส่งปรุงแต่งไปภายนอกเราก็จะเห็น เห็นลักษณะของใจ อาการของความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ เมื่อใจเคลื่อนเข้าไปรวม ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมาก็จะเห็น ถ้าเราเห็นการเกิดการเคลื่อนเข้าไปรวม ใจก็จะหงายออกมาซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ใจก็จะพลิก เหมือนกับพลิกจากของที่คว่ำ ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา ความรู้ตัวก็ตามเห็นการเกิดการดับของความคิดของอารมณ์ ซึ่งเรียกว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า เห็นว่าเป็นเรื่องอะไร ใจของเราก็ว่างรับรู้อยู่
แต่เวลานี้กําลังสติของพวกเรามีน้อย มีแต่แรงบุญแรงศรัทธา แต่ยังขาดปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนาเข้าไปทําความเข้าใจให้ปรากฏ บุคคลใดมีความเพียรอยู่ตลอดเวลา การสร้างบุญสร้างอานิสงส์ ทุกคนสร้างกันมาดี อย่าว่าเราไม่ได้ปฏิบัติ ทุกคนปฏิบัติกันมาดีถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ การได้ทําหน้าที่ ความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี การสร้างสติ สร้างปัญญา ละกิเลส ละความตระหนี่เหนียวแน่น มีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ อันนั้นเป็นการสร้างบารมีอยู่ระดับของสมมติ
แต่การเจริญสติที่ต่อเนื่องที่เชื่อมโยงเอาไปใช้ เอาไปสังเกต เอาไปวิเคราะห์ กําลังตรงนี้ยังมีน้อย เราก็ต้องพยายาม ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่อยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สักวันหนึ่งเราก็จะมองเห็นหนทาง มองเห็นหนทางเดินที่ทะลุปรุโปร่ง
แต่เวลานี้พวกเราก็ยังเดินอยู่ ยังเดินอยู่ในกองสัมมาทิฏฐิ ฝักใฝ่ในบุญ มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดีอยู่ในระดับของสมมติ แต่ระดับของวิมุตติ คือการที่จะคลายใจออกจากขันธ์ห้า ละกิเลสจากกิเลสละเอียดให้หมดจด ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ มีความเพียรที่ต่อเนื่องเชื่อมโยง เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล ซึ่งเป็นส่วนนามธรรม
ส่วนรูปธรรมเขาก็มีเหตุมีผล ส่วนนามธรรมเขาก็มีเหตุมีผล กิเลสหยาบเป็นอย่างไร กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร ความทะเยอทะยานอยาก ทั้งความอยาก ทั้งความไม่อยาก เราก็ต้องพยายามละ พยายามดับ เราละไม่ได้เด็ดขาด ก็ขอให้น้อมใจอยู่ในกองบุญของกุศล ถึงละได้ก็น้อมใจอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ เป็นเสบียง เป็นเข้าพกเข้าห่อ ติดตามตัวเราไป
อย่าพากันมองข้ามบุญเล็กๆ น้อยๆ เราก็ทํา ตั้งแต่คิดดี ทําดี การกระทําของเราให้ถึงพร้อม ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย อันนี้ต้องมาที่หนึ่ง ไม่ว่าอยู่ที่ไหน อยู่ใกล้อยู่ไกล สะอาดทั้งภายนอกทั้งภายใน เป็นระเบียบทั้งภายนอกภายใน มีความสุขในการสร้างอานิสงส์ สร้างบุญ สร้างตบะบารมีกัน เราก็พยายาม พยายามสร้างกันให้ทะลุปรุโปร่ง ไม่สําเร็จวันนี้ก็ต้องสําเร็จวันพรุ่งนี้ ไม่สําเร็จวันพรุ่งนี้ เดือนหน้า ปีหน้า ไม่สําเร็จจริงๆ สิ่งที่พวกเราทําก็จะไปต่อกันในภพหน้า
เพราะว่าตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่เขาก็ต้องเกิด วันนี้มี พรุ่งนี้มี เดือนหน้ามี ปีหน้ามี เขาก็จะมาเป็นวันนี้ ภพนี้มี คือภพมนุษย์เรามาอยู่ในภพของมนุษย์ ชาติของมนุษย์ถ้าหมด ภพหมด กายเนื้อแตกดับ เราก็จะไปสู่ภพใหม่ ถ้าสร้างอานิสงส์สร้างบุญมาดี ก็จิตใจก็สูงขึ้นไป จนกว่าจะขึ้นสวรรค์เข้าพรหมเข้านิพพาน ก็ต้องพยายาม อย่าทําใจของเราให้ตกต่ำ พยายามพิจารณาให้รอบ บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น มองเห็นหนทางเดิน
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันสักนาทีสองนาทีก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทํานะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทําความเข้าใจกันนะ
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2559
ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง ฟังไปด้วยน้อมสําเหนียกไปด้วย นั่งตามสบาย อย่าไปเกร็งร่างกาย วางกายให้สบาย และก็วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งเอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ถึงเราหยุดไม่ได้เด็ดขาด ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน การสูดลมหายใจยาวๆ ผ่อนลมหายใจยาวๆ กายก็จะสบายขึ้นเยอะ ใจของเราก็จะสงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็จะชัดเจน
เราพยายามสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง เราอย่าไปนึกเอาอย่าไปคิดเอา การนึกการคิด การปรุงการแต่งที่เกิดจากใจ เกิดจากขันธ์ห้า อันนั้นเป็นปัญญาที่ใจยังเกิดอยู่ ใจยังหลงอยู่ เราถึงได้มาเจริญสติหรือว่ามาสร้างผู้รู้ ‘ผู้รู้’ คือสติ รู้ให้ต่อเนื่อง รู้ความเป็นจริง รู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่คลายจากความคิดคลายจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่าแยกรูปแยกนามเป็นลักษณะอย่างไร เรารู้ตั้งแต่ต้นเหตุ ถ้ารู้ไม่ทันต้นเหตุก็ใช้สมถะเข้าไปดับ หรือว่าตั้งสติอยู่กับลมหายใจเข้าออกใหม่
หายใจก็อย่าไปบังคับลมหายใจ อย่าไปเพ่ง เราหัดสังเกตหัดวิเคราะห์ดู ถ้าเราเอาสมองส่วนบนไปเพ่งที่ปลายจมูกของเรา สมองก็จะตึง ถ้าเราเอาตัวใจหรือว่าจิตไปเพ่งที่ปลายจมูก หน้าอกก็จะแน่น เราหัดสังเกตบ่อยๆ หัดทําความเข้าใจบ่อยๆ หายใจธรรมชาติเป็นลักษณะอย่างนี้ หายใจออกยาว หายใจเข้ายาว หายใจสั้น หายใจออกสั้น หายใจเข้าสั้นให้เป็นธรรมชาติ หายใจที่ต่อเนื่องเชื่อมโยง
ถ้าเราหายใจต่อเนื่องเชื่อมโยงแล้ว ใจจะเกิดส่งปรุงแต่งไปภายนอกเราก็จะเห็น เห็นลักษณะของใจ อาการของความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ เมื่อใจเคลื่อนเข้าไปรวม ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมาก็จะเห็น ถ้าเราเห็นการเกิดการเคลื่อนเข้าไปรวม ใจก็จะหงายออกมาซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ใจก็จะพลิก เหมือนกับพลิกจากของที่คว่ำ ใจก็จะว่าง กายก็จะเบา ความรู้ตัวก็ตามเห็นการเกิดการดับของความคิดของอารมณ์ ซึ่งเรียกว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า เห็นว่าเป็นเรื่องอะไร ใจของเราก็ว่างรับรู้อยู่
แต่เวลานี้กําลังสติของพวกเรามีน้อย มีแต่แรงบุญแรงศรัทธา แต่ยังขาดปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนาเข้าไปทําความเข้าใจให้ปรากฏ บุคคลใดมีความเพียรอยู่ตลอดเวลา การสร้างบุญสร้างอานิสงส์ ทุกคนสร้างกันมาดี อย่าว่าเราไม่ได้ปฏิบัติ ทุกคนปฏิบัติกันมาดีถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ การได้ทําหน้าที่ ความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี การสร้างสติ สร้างปัญญา ละกิเลส ละความตระหนี่เหนียวแน่น มีความขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ อันนั้นเป็นการสร้างบารมีอยู่ระดับของสมมติ
แต่การเจริญสติที่ต่อเนื่องที่เชื่อมโยงเอาไปใช้ เอาไปสังเกต เอาไปวิเคราะห์ กําลังตรงนี้ยังมีน้อย เราก็ต้องพยายาม ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่อยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา สักวันหนึ่งเราก็จะมองเห็นหนทาง มองเห็นหนทางเดินที่ทะลุปรุโปร่ง
แต่เวลานี้พวกเราก็ยังเดินอยู่ ยังเดินอยู่ในกองสัมมาทิฏฐิ ฝักใฝ่ในบุญ มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป มีความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดีอยู่ในระดับของสมมติ แต่ระดับของวิมุตติ คือการที่จะคลายใจออกจากขันธ์ห้า ละกิเลสจากกิเลสละเอียดให้หมดจด ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียรเป็นเลิศ มีความเพียรที่ต่อเนื่องเชื่อมโยง เห็นเหตุเห็นผล ชี้เหตุชี้ผล ซึ่งเป็นส่วนนามธรรม
ส่วนรูปธรรมเขาก็มีเหตุมีผล ส่วนนามธรรมเขาก็มีเหตุมีผล กิเลสหยาบเป็นอย่างไร กิเลสละเอียดเป็นอย่างไร ความทะเยอทะยานอยาก ทั้งความอยาก ทั้งความไม่อยาก เราก็ต้องพยายามละ พยายามดับ เราละไม่ได้เด็ดขาด ก็ขอให้น้อมใจอยู่ในกองบุญของกุศล ถึงละได้ก็น้อมใจอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้ เป็นเสบียง เป็นเข้าพกเข้าห่อ ติดตามตัวเราไป
อย่าพากันมองข้ามบุญเล็กๆ น้อยๆ เราก็ทํา ตั้งแต่คิดดี ทําดี การกระทําของเราให้ถึงพร้อม ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย อันนี้ต้องมาที่หนึ่ง ไม่ว่าอยู่ที่ไหน อยู่ใกล้อยู่ไกล สะอาดทั้งภายนอกทั้งภายใน เป็นระเบียบทั้งภายนอกภายใน มีความสุขในการสร้างอานิสงส์ สร้างบุญ สร้างตบะบารมีกัน เราก็พยายาม พยายามสร้างกันให้ทะลุปรุโปร่ง ไม่สําเร็จวันนี้ก็ต้องสําเร็จวันพรุ่งนี้ ไม่สําเร็จวันพรุ่งนี้ เดือนหน้า ปีหน้า ไม่สําเร็จจริงๆ สิ่งที่พวกเราทําก็จะไปต่อกันในภพหน้า
เพราะว่าตราบใดที่ใจยังเกิดอยู่เขาก็ต้องเกิด วันนี้มี พรุ่งนี้มี เดือนหน้ามี ปีหน้ามี เขาก็จะมาเป็นวันนี้ ภพนี้มี คือภพมนุษย์เรามาอยู่ในภพของมนุษย์ ชาติของมนุษย์ถ้าหมด ภพหมด กายเนื้อแตกดับ เราก็จะไปสู่ภพใหม่ ถ้าสร้างอานิสงส์สร้างบุญมาดี ก็จิตใจก็สูงขึ้นไป จนกว่าจะขึ้นสวรรค์เข้าพรหมเข้านิพพาน ก็ต้องพยายาม อย่าทําใจของเราให้ตกต่ำ พยายามพิจารณาให้รอบ บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น มองเห็นหนทางเดิน
สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องกันสักนาทีสองนาทีก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทํานะ
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทําความเข้าใจกันนะ