หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 41 วันที่ 25 เมษายน 2560
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 41 วันที่ 25 เมษายน 2560
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 41
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 25 เมษายน 2560
มีความสุขกันทุกคน ดูดีๆ นะทั้งพระทั้งชี พิจารณาปฏิสังขาโย พิจารณาใจของตัวเรา ขณะกำลังจะกะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง เราต้องดูรู้ให้เท่าทันว่ากายเกิดความหิว ใจของเราเกิดความอยาก เราต้องพยายามรู้จักดับ รู้จักหยุด รู้จักอบรมพิจารณากะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมาอย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ทุกอย่าง
กายกระทบรูปเป็นอย่างไร ตากระทบรูปเป็นอย่างไร หูกระทบเสียงเป็นอย่างไร เราต้องมีปัญญารู้เท่าทันใจ ปัญญาเราต้องสร้างขึ้นมาหรือสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง อดทนเอาถึงจะลำบากต้องอดทน จนกระทั่งถึงเวลานี้เดี๋ยวนี้เวลาจะขบกับฉัน ก็รู้จักกะประมาณในการขบฉันของตัวเรา ใจของเราเกิดความอยากเราก็จะรู้จักหยุดรู้จักดับ สิ่งไหนที่เราชอบเราก็พยายามดู อย่าให้ใจเกิดความอยาก ถ้าใจเกิดความอยากแล้วเราไม่ต้องเอาให้ผ่านไปเลย ผ่านเลยไปแล้วใจจะเกิดความอาลัยอาวรณ์อีกหรือไม่ เราก็ต้องดูทุกเรื่อง ทุกเรื่องเลยทีเดียว
สามเณรตัวเล็กๆ ก็พยายามสร้างความขยันมันเพียรสร้างความรับผิดชอบ เห็นว่าเล่นกันแรง อย่าไปเล่น ทะเลาะเล่นกันแรง บางทีก็ร้องห่มร้องไห้ เรามาฝึกฝนตัวเราแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา ไม่ใช่ว่ามาเล่นสนุกสนานกัน เล่นก็อย่าไปเล่นกันแรง เห็นว่าเล่นกันแรงร้องห่มร้องไห้ก็หลายคน เราก็ต้องพยายามแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา สร้างความขยัน สร้างความรับผิดชอบถึงจะถูก แต่ละวันๆ เอาการเอางานเป็นการปฏิบัติ ทำงานทำนู่นทำนี่ละความเกียจคร้าน สร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้นจะได้เป็นทรัพย์ภายในติดตามตัวเราไป
ถ้าเรามีความเกียจคร้านให้เราพยายามละความเกียจคร้านออกไปเสีย สร้างความขยันทำนู่นทำนี่ โดยที่ละความเกียจคร้านออกจากจิตจากใจของเรา เรามาฝึกฝนตัวเราไม่ใช่ว่ามาแล้วก็มาทะเลาะบอกแว้งกัน เล่นกันสนุกสนานกัน อย่างนั้นใช้การไม่ได้ ถ้ามีอยู่ที่ใครพยายามแก้ไขปรับปรุงตัวเรา พระเราก็เยอะชีก็เยอะ เคยทำบุญร่วมกันนั่นแหละถึงได้มาอยู่ร่วมกัน อยู่ร่วมกันอยู่คนละทิศละที่ต่างสถานที่มาอยู่ร่วมกัน บางคนก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์หาทางหลุดพ้น ดับทุกข์ทั้งทางด้านสมมติ ทางด้านวิมุตติ ทางด้านสติปัญญาเราต้องมาเจริญมาแก้ไขปรับปรุงตัวเราให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน
แนวทางนั้นมีมาตั้งนาน พระพุทธองค์ได้ค้นพบหลักของการดำเนินชีวิตตั้งแต่ตื่นขึ้นมาโน่น ตื่นขึ้นมาแล้วก็พยายามเจริญสติเข้าไปอบรมใจของเรา จนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า ขันธ์ห้ามีอะไรบ้างที่ว่าเป็นกองเป็นขันธ์ มีหนังห่อหุ้มอยู่นี่แล้วก็มีวิญญาณเข้ามาครอง ร่างกายของเรานั่นแหละ ส่วนรูปส่วนนาม ทำอย่างไรหรือเราถึงจะเข้าถึงตรงนี้ เราก็ต้องรู้จักวิธีการเจริญสติ เจริญพรหมวิหาร เจริญความเมตตาให้มีให้เกิดขึ้น ทำใจของเราให้อ่อนน้อม มีความกตัญญู มีความเสียสละ มีความอดทน รู้จักให้อภัยอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน
ถ้าตัวเราไม่สอนตัวเราได้แล้ว ไม่มีใครสามารถสอนตัวเราได้เลยนอกจากตัวเราเอง ตัวของเรา ตนเป็นที่พึ่งของตน ตนก็คือตัวสติตัวแรกที่เราสร้างขึ้นมา แล้วก็ตนตัวที่สองก็คือตัวใจ แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเกิดทั้งหลง ความคิดนั่นแหละความเกิด ความคิดนั่นแหละทั้งหลงทั้งเกิด ทั้งอาการของขันธ์ห้า ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดผุดขึ้นมาใจเคลื่อนไปรวมตั้งแต่เมื่อไร เรารู้ไม่ทันเพราะว่ากำลังสติของเราไม่ค่อยจะต่อเนื่อง บางคนบางท่านก็สร้างได้กะปริดกะปรอย เพียงแค่สร้างให้ต่อเนื่องก็ทั้งยาก ไปดับไปละกิเลส ไปคลายกิเลสก็ยากยังขึ้นไปอีก
การพูดง่าย แต่การลงมือการทำความเข้าใจต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ รู้จักสร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมี การให้ การเอาออก การคลาย ให้ระดับสมมติ ให้ระดับวิมุตติ อยู่ในกายของเราหมด รู้จักควบคุมกาย ควบคุมวาจา ควบคุมใจ จนเป็นธรรมชาติหมด ธรรมชาติของใจที่ไม่มีกิเลส ใจที่ปราศจากกิเลสเขาก็บริสุทธ์ ใจที่ไม่เกิดเขาก็นิ่ง แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเกิดทั้งวิ่ง ทั้งหลงเป็นทาสของกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียดมีหมด พระพุทธองค์ท่านถึงให้มาค้นคว้าอยู่ในกายของเราให้รู้ให้เห็น กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกจากการเกิด วิเวกจากความคิด วิเวกจากขันธ์ห้า มีสติคอยดูรู้อยู่ตลอดเวลา
การเกิดเป็นทุกข์เขาก็จะไม่เกิด แต่เวลานี้ทั้งเกิด ทั้งวิ่ง ทั้งเป็นทาสของกิเลส เพียงแค่ระดับสมมติก็ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยจะได้เท่าไร คำว่า สมมติ ก็คือเครื่องอาศัยความเป็นอยู่ของเรานั่นแหละ โลกธรรมนั่นแหละ มีปัจจัยสี่เป็นตัวหนุน มีโลกธรรม ปัจจัยสี่ ความเป็นอยู่ ความเป็นอยู่ก็ให้อยู่ดีมีความสุขถึงไม่ร่ำไม่รวยก็ไม่ให้ลำบาก ยารักษาโรค ความเป็นอยู่ โลกธรรม วัตถุต่างๆ ที่เราอิงอาศัยอยู่ในระดับของสมมติ บางท่านก็สมบูรณ์ บางท่านก็ไม่สมบูรณ์ บางท่านก็ยังลำบาก เพียงแค่สมมติก็ทำให้สมบูรณ์อยู่ในระดับความปกติไม่ให้ได้ลำบาก บางท่านก็มีสมมติเพียบพร้อมแต่ทางด้านจิตใจก็มีแต่ความทุกข์ก็ต้องมาแก้ไขมาปรับปรุงตัวเราเอง
ไม่ว่าอยู่ที่ไหนถ้าเราเข้าใจก็ทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ อดทนอดกลั้น ความอด ความทน ความกลั้น นั่นแหละเรียกว่า ตบะ และให้อภัย อโหสิกรรม มองโลกในแง่ดี คิดดีทำดี เราพยายามเจาะให้ถึงแก่นแท้ของใจของเรา ความเกิดของใจเป็นอย่างไร ทำไมใจถึงเกิด ใจ ใจปรุงแต่งส่งไปภายนอกได้อย่างไร ความคิดขันธ์ห้าผุดขึ้นมาใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร แล้วส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร มันมีอยู่ในกายของเราหมด ถ้าเรายังไม่รู้ไม่เห็นเราก็ไปหมั้นหมายว่าเป็นตัวเป็นตนจริงๆ
ในหลักธรรมนั้นท่านให้เจริญสติเข้าไปดูรู้เท่าทัน มองเห็นตามความเป็นจริง เข้าใจในเรื่องหลักของอัตตาของอนัตตา อัตตาคำว่าตัวตนเป็นอย่างไร อนัตตาความว่างเปล่าเป็นลักษณะอย่างใร เราต้องดูรู้ให้เท่าทัน อันนั้นก็ของกู อันนี้ก็ของกู บอกว่าอย่างนั้นนะ อัตตาเพียงแค่ภายนอกก็วางไม่ได้ เราคลายจากภายใน ละภายในแล้วถ้าข้างนอกจะมีมากมายเท่าไรก็มีด้วยสติมีด้วยปัญญา มีด้วยความขยันหมั่นเพียร ยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ว่าจะไปพึ่งเอาตั้งแต่น้ำบ่อหน้า พึ่งที่โน่นพึ่งที่นี่ ไม่พึ่งตัวเราแล้ว สร้างที่พึ่งให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา ถึงจะเข้มแข็ง ก็ค่อยให้พัฒนาไปเรื่อยๆ
ใจของมนุษย์ ใจของคนเรานี่พัฒนาได้ แก้ไขได้ ปรับปรุงได้ตามแนวทางของพระพุทธองค์ มาศึกษามาค้นคว้ามาทำให้มีให้เกิดขึ้นจนปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ท่านถึงบอกให้เชื่อ มาขัดเกลาความตระหนี่เหนียวแน่นของเรามีหรือไม่ มีก็พยายามขัดเกลาเอาออก ความขยันหมันเพียรของเรามีหรือเปล่า ความรับผิดชอบ ความเสียสละ ความอดทน การให้การเข้าออก การเจริญสติปัญญา ต้องมีบริบูรณ์พร้อมหมด
สมมติก็ไม่ได้ลำบาก วิมุตติส่วนทางด้านปัญญาเราก็จะเจริญสติเข้าไปดูรู้เท่าทัน แล้วก็รู้จักละ รู้จักขัด รู้จักเกลา รู้จักเอาออก พึ่งให้ตัวเอง ตนเป็นที่พึ่งของตนได้แล้วก็เป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ ไปไหนมาไหนก็มีความสุข ขณะที่เรายังมีลมหายใจอีกสักหน่อยก็จะต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย ทุกวันความตายมาเยือน ความตายวิ่งเข้ามาหาเราทุกคน ทุกคนเกิดมาเท่าไรก็ตายหมดไม่ตายช้าก็ตายเร็ว
ร่างกายของคนเราเป็นรังแห่งโรค เราก็ดูแลรักษาเขาไปจนกว่าจะถึงวาระเวลาจริงๆ หมดลมหายใจจริงๆ ถ้าความเสื่อมความตายเนี่ยมันต้านทานไม่ได้หรอก เราต้องมาทำความเข้าใจ เพียงแค่ยืด ยืดอายุยืดเวลาให้ได้สร้างอานิสงส์สร้างบุญ ถึงวาระเวลาแล้วอะไรจะมาฉุดมารั้งก็ไม่อยู่ แม้แต่พระราชา ยาจก ตายหมด เกิดมาในโลกนี้เท่าไรก็ตายหมด ขณะที่ยังมีลมหายใจนี่แหละ เราพยายามหมั่นสร้างบุญสร้างกุศล สร้างเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราจะได้ไม่เสียทีเสียเที่ยว
ตามแนวทางของพระพุทธองค์ การทำบุญการให้ทาน ทีนี้การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร การแยก การคลายเป็นอย่างไร คำว่า สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกเป็นอย่างไร เห็นถูกเห็นอะไรล่ะเห็นถูก แต่เห็นถูกตั้งแต่ภายนอกมันตัดสินกันตั้งแต่ภายนอก เห็นถูกในหลักธรรมนั้นเห็นถูกทั้งสองอย่าง ถูกทั้งภายในถูกทั้งภายนอก รู้จักบริหารกายบริหารใจของเราให้อยู่ในคุณงามความดีจนไม่ยึดไม่ติดอะไร จนมองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน
การเกิดอยู่ในภพมนุษย์นี่เขาสร้างขึ้นมาอยู่ในภพของมนุษย์ ในหลักธรรมท่านให้ลึกลงไปอีก เกิดทางด้านจิตวิญญาณ เราคลายกิเลส ละกิเลสออก ดับความเกิดทางวิญญาณของเราอีก มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่ได้กลับมาเกิดกัน อันนี้ก็ต้องพยายามศึกษา การนึกการคิดนี่ไม่รู้ไม่เห็นไม่ถึง ต้องสร้างความรู้ตัวจนเป็นอัตโนมัติ และหมั่นขัดเกลากิเลสออกจากใจของเราจนละกิเลสได้ ดับความเกิดได้ ยืน เดิน นั่ง นอน ก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ
บุคคลที่เข้าถึง รู้ความเป็นจริงก็มองเห็นการเดินทางได้ง่าย แต่คนที่ไม่เข้าใจปิดกั้นไปหมดยากไปหมด ท่านว่าสมมติยังไม่เปิด เราต้องมาศึกษามาค้นคว้าจนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้าได้นั่นแหละ ท่านเรียกว่า สมมติเปิด สัมมาทิฏฐิเพียงแค่เดินทางเท่านั้นเอง เราแยกแยะได้ตามดูได้ เราละได้หรือไม่ เหมือนกับขึ้นเรือนต้องอาศัยบันได อาศัยราวบันได การที่จะถึงจุดหมายปลายทางได้เราก็ต้องอาศัยความเสียสละความอดทน อาศัยคำว่าศีลเป็นอย่างไร สมาธิเป็นอย่างไร ปัญญาเป็นอย่างไร ต้องรู้แจ้งเห็นจริงหมดทุกอย่าง ไม่ใช่ว่าเรารู้ใจของเราตัวเดียวเท่านั้น เราจะรอบรู้ไปได้หมดเลย ไม่ต้องไปรู้อะไรมากมาย ก่อนที่เราจะรู้ใจตัวเองเราต้องถอนรากถอนโคนกิเลสออกให้มันหมด ดับความเกิดให้มันได้ใช้ตัวเองให้มันเป็น
คนทั่วไปก็เพียงแค่ปฏิบัติธรรมก็เด็ดยอด เหมือนกับต้นไม้เราเด็ดยอดเท่าไรก็แตกออกๆๆ ปิดกั้นดวงใจตัวเองเอาไว้ ไม่เจริญสติลึกเข้าไปถอนรากถอนโคน เราถอนรากถอนโคนได้ตัวข้างบนก็ตายหมด กิเลสก็เหมือนกัน เราไปจัดการต้นเหตุของกิเลสท่านถึงบอกมีเหตุ เห็นเหตุเห็นผล รู้เหตุรู้ผล ถึงจะเอามันอยู่ ก็ต้องพยายามกัน ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่
อันนี้บุญสมมติเราก็ช่วยกันทำให้เต็มเปี่ยมไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่บ้านเราก็ทำสมมติของเราให้ดีให้ขยันหมั่นเพียร อยู่ที่วัดเราก็ยังประโยชน์ของสมมติของเราให้เต็มเปี่ยม อย่างที่หลวงพ่อพาทำ จากความไม่มีก็พาทำให้มี ทำสถานที่ให้น่าอยู่ให้น่าอาศัยน่ารื่นรมย์ ทำที่พักที่อาศัยให้กับทุกคนนี่แหละ เราอย่าพากันเกียจคร้าน ถ้าเรามีความเกียจคร้านช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ใช้ตัวเองไม่เป็น ก็ไปไหนไม่ได้ ไปที่ไหนก็มีตั้งแต่ความลำบากมีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ถ้าความขยันหมั่นเพียรความรับผิดชอบไม่มี อะไรไม่ดีเราก็ทำให้ดีเสีย มันก็ดี อะไรไม่มีเราก็พากันสร้างขึ้นมาให้ได้ ก็พอได้อนุเคราะห์ทางสมมติ อย่างที่พักที่หลับที่นอน ห้องส้วมห้องน้ำ ถ้าไม่มีปัจจัยพวกนี้ทางสมมติของเราก็ลำบาก เราก็พยายามช่วยกันทำ
ตั้งใจรับพรกัน
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 25 เมษายน 2560
มีความสุขกันทุกคน ดูดีๆ นะทั้งพระทั้งชี พิจารณาปฏิสังขาโย พิจารณาใจของตัวเรา ขณะกำลังจะกะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง เราต้องดูรู้ให้เท่าทันว่ากายเกิดความหิว ใจของเราเกิดความอยาก เราต้องพยายามรู้จักดับ รู้จักหยุด รู้จักอบรมพิจารณากะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง ทุกเรื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมาอย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ทุกอย่าง
กายกระทบรูปเป็นอย่างไร ตากระทบรูปเป็นอย่างไร หูกระทบเสียงเป็นอย่างไร เราต้องมีปัญญารู้เท่าทันใจ ปัญญาเราต้องสร้างขึ้นมาหรือสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง อดทนเอาถึงจะลำบากต้องอดทน จนกระทั่งถึงเวลานี้เดี๋ยวนี้เวลาจะขบกับฉัน ก็รู้จักกะประมาณในการขบฉันของตัวเรา ใจของเราเกิดความอยากเราก็จะรู้จักหยุดรู้จักดับ สิ่งไหนที่เราชอบเราก็พยายามดู อย่าให้ใจเกิดความอยาก ถ้าใจเกิดความอยากแล้วเราไม่ต้องเอาให้ผ่านไปเลย ผ่านเลยไปแล้วใจจะเกิดความอาลัยอาวรณ์อีกหรือไม่ เราก็ต้องดูทุกเรื่อง ทุกเรื่องเลยทีเดียว
สามเณรตัวเล็กๆ ก็พยายามสร้างความขยันมันเพียรสร้างความรับผิดชอบ เห็นว่าเล่นกันแรง อย่าไปเล่น ทะเลาะเล่นกันแรง บางทีก็ร้องห่มร้องไห้ เรามาฝึกฝนตัวเราแก้ไขตัวเราปรับปรุงตัวเรา ไม่ใช่ว่ามาเล่นสนุกสนานกัน เล่นก็อย่าไปเล่นกันแรง เห็นว่าเล่นกันแรงร้องห่มร้องไห้ก็หลายคน เราก็ต้องพยายามแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา สร้างความขยัน สร้างความรับผิดชอบถึงจะถูก แต่ละวันๆ เอาการเอางานเป็นการปฏิบัติ ทำงานทำนู่นทำนี่ละความเกียจคร้าน สร้างความขยันหมั่นเพียรให้มีให้เกิดขึ้นจะได้เป็นทรัพย์ภายในติดตามตัวเราไป
ถ้าเรามีความเกียจคร้านให้เราพยายามละความเกียจคร้านออกไปเสีย สร้างความขยันทำนู่นทำนี่ โดยที่ละความเกียจคร้านออกจากจิตจากใจของเรา เรามาฝึกฝนตัวเราไม่ใช่ว่ามาแล้วก็มาทะเลาะบอกแว้งกัน เล่นกันสนุกสนานกัน อย่างนั้นใช้การไม่ได้ ถ้ามีอยู่ที่ใครพยายามแก้ไขปรับปรุงตัวเรา พระเราก็เยอะชีก็เยอะ เคยทำบุญร่วมกันนั่นแหละถึงได้มาอยู่ร่วมกัน อยู่ร่วมกันอยู่คนละทิศละที่ต่างสถานที่มาอยู่ร่วมกัน บางคนก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์หาทางหลุดพ้น ดับทุกข์ทั้งทางด้านสมมติ ทางด้านวิมุตติ ทางด้านสติปัญญาเราต้องมาเจริญมาแก้ไขปรับปรุงตัวเราให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน
แนวทางนั้นมีมาตั้งนาน พระพุทธองค์ได้ค้นพบหลักของการดำเนินชีวิตตั้งแต่ตื่นขึ้นมาโน่น ตื่นขึ้นมาแล้วก็พยายามเจริญสติเข้าไปอบรมใจของเรา จนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า ขันธ์ห้ามีอะไรบ้างที่ว่าเป็นกองเป็นขันธ์ มีหนังห่อหุ้มอยู่นี่แล้วก็มีวิญญาณเข้ามาครอง ร่างกายของเรานั่นแหละ ส่วนรูปส่วนนาม ทำอย่างไรหรือเราถึงจะเข้าถึงตรงนี้ เราก็ต้องรู้จักวิธีการเจริญสติ เจริญพรหมวิหาร เจริญความเมตตาให้มีให้เกิดขึ้น ทำใจของเราให้อ่อนน้อม มีความกตัญญู มีความเสียสละ มีความอดทน รู้จักให้อภัยอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน
ถ้าตัวเราไม่สอนตัวเราได้แล้ว ไม่มีใครสามารถสอนตัวเราได้เลยนอกจากตัวเราเอง ตัวของเรา ตนเป็นที่พึ่งของตน ตนก็คือตัวสติตัวแรกที่เราสร้างขึ้นมา แล้วก็ตนตัวที่สองก็คือตัวใจ แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเกิดทั้งหลง ความคิดนั่นแหละความเกิด ความคิดนั่นแหละทั้งหลงทั้งเกิด ทั้งอาการของขันธ์ห้า ความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดผุดขึ้นมาใจเคลื่อนไปรวมตั้งแต่เมื่อไร เรารู้ไม่ทันเพราะว่ากำลังสติของเราไม่ค่อยจะต่อเนื่อง บางคนบางท่านก็สร้างได้กะปริดกะปรอย เพียงแค่สร้างให้ต่อเนื่องก็ทั้งยาก ไปดับไปละกิเลส ไปคลายกิเลสก็ยากยังขึ้นไปอีก
การพูดง่าย แต่การลงมือการทำความเข้าใจต้องเป็นบุคคลที่มีความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ รู้จักสร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมี การให้ การเอาออก การคลาย ให้ระดับสมมติ ให้ระดับวิมุตติ อยู่ในกายของเราหมด รู้จักควบคุมกาย ควบคุมวาจา ควบคุมใจ จนเป็นธรรมชาติหมด ธรรมชาติของใจที่ไม่มีกิเลส ใจที่ปราศจากกิเลสเขาก็บริสุทธ์ ใจที่ไม่เกิดเขาก็นิ่ง แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเกิดทั้งวิ่ง ทั้งหลงเป็นทาสของกิเลส กิเลสหยาบกิเลสละเอียดมีหมด พระพุทธองค์ท่านถึงให้มาค้นคว้าอยู่ในกายของเราให้รู้ให้เห็น กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกจากการเกิด วิเวกจากความคิด วิเวกจากขันธ์ห้า มีสติคอยดูรู้อยู่ตลอดเวลา
การเกิดเป็นทุกข์เขาก็จะไม่เกิด แต่เวลานี้ทั้งเกิด ทั้งวิ่ง ทั้งเป็นทาสของกิเลส เพียงแค่ระดับสมมติก็ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยจะได้เท่าไร คำว่า สมมติ ก็คือเครื่องอาศัยความเป็นอยู่ของเรานั่นแหละ โลกธรรมนั่นแหละ มีปัจจัยสี่เป็นตัวหนุน มีโลกธรรม ปัจจัยสี่ ความเป็นอยู่ ความเป็นอยู่ก็ให้อยู่ดีมีความสุขถึงไม่ร่ำไม่รวยก็ไม่ให้ลำบาก ยารักษาโรค ความเป็นอยู่ โลกธรรม วัตถุต่างๆ ที่เราอิงอาศัยอยู่ในระดับของสมมติ บางท่านก็สมบูรณ์ บางท่านก็ไม่สมบูรณ์ บางท่านก็ยังลำบาก เพียงแค่สมมติก็ทำให้สมบูรณ์อยู่ในระดับความปกติไม่ให้ได้ลำบาก บางท่านก็มีสมมติเพียบพร้อมแต่ทางด้านจิตใจก็มีแต่ความทุกข์ก็ต้องมาแก้ไขมาปรับปรุงตัวเราเอง
ไม่ว่าอยู่ที่ไหนถ้าเราเข้าใจก็ทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระอยู่บ่อยๆ อดทนอดกลั้น ความอด ความทน ความกลั้น นั่นแหละเรียกว่า ตบะ และให้อภัย อโหสิกรรม มองโลกในแง่ดี คิดดีทำดี เราพยายามเจาะให้ถึงแก่นแท้ของใจของเรา ความเกิดของใจเป็นอย่างไร ทำไมใจถึงเกิด ใจ ใจปรุงแต่งส่งไปภายนอกได้อย่างไร ความคิดขันธ์ห้าผุดขึ้นมาใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร แล้วส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร มันมีอยู่ในกายของเราหมด ถ้าเรายังไม่รู้ไม่เห็นเราก็ไปหมั้นหมายว่าเป็นตัวเป็นตนจริงๆ
ในหลักธรรมนั้นท่านให้เจริญสติเข้าไปดูรู้เท่าทัน มองเห็นตามความเป็นจริง เข้าใจในเรื่องหลักของอัตตาของอนัตตา อัตตาคำว่าตัวตนเป็นอย่างไร อนัตตาความว่างเปล่าเป็นลักษณะอย่างใร เราต้องดูรู้ให้เท่าทัน อันนั้นก็ของกู อันนี้ก็ของกู บอกว่าอย่างนั้นนะ อัตตาเพียงแค่ภายนอกก็วางไม่ได้ เราคลายจากภายใน ละภายในแล้วถ้าข้างนอกจะมีมากมายเท่าไรก็มีด้วยสติมีด้วยปัญญา มีด้วยความขยันหมั่นเพียร ยังสมมติของเราให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ว่าจะไปพึ่งเอาตั้งแต่น้ำบ่อหน้า พึ่งที่โน่นพึ่งที่นี่ ไม่พึ่งตัวเราแล้ว สร้างที่พึ่งให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา ถึงจะเข้มแข็ง ก็ค่อยให้พัฒนาไปเรื่อยๆ
ใจของมนุษย์ ใจของคนเรานี่พัฒนาได้ แก้ไขได้ ปรับปรุงได้ตามแนวทางของพระพุทธองค์ มาศึกษามาค้นคว้ามาทำให้มีให้เกิดขึ้นจนปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ท่านถึงบอกให้เชื่อ มาขัดเกลาความตระหนี่เหนียวแน่นของเรามีหรือไม่ มีก็พยายามขัดเกลาเอาออก ความขยันหมันเพียรของเรามีหรือเปล่า ความรับผิดชอบ ความเสียสละ ความอดทน การให้การเข้าออก การเจริญสติปัญญา ต้องมีบริบูรณ์พร้อมหมด
สมมติก็ไม่ได้ลำบาก วิมุตติส่วนทางด้านปัญญาเราก็จะเจริญสติเข้าไปดูรู้เท่าทัน แล้วก็รู้จักละ รู้จักขัด รู้จักเกลา รู้จักเอาออก พึ่งให้ตัวเอง ตนเป็นที่พึ่งของตนได้แล้วก็เป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ ไปไหนมาไหนก็มีความสุข ขณะที่เรายังมีลมหายใจอีกสักหน่อยก็จะต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย ทุกวันความตายมาเยือน ความตายวิ่งเข้ามาหาเราทุกคน ทุกคนเกิดมาเท่าไรก็ตายหมดไม่ตายช้าก็ตายเร็ว
ร่างกายของคนเราเป็นรังแห่งโรค เราก็ดูแลรักษาเขาไปจนกว่าจะถึงวาระเวลาจริงๆ หมดลมหายใจจริงๆ ถ้าความเสื่อมความตายเนี่ยมันต้านทานไม่ได้หรอก เราต้องมาทำความเข้าใจ เพียงแค่ยืด ยืดอายุยืดเวลาให้ได้สร้างอานิสงส์สร้างบุญ ถึงวาระเวลาแล้วอะไรจะมาฉุดมารั้งก็ไม่อยู่ แม้แต่พระราชา ยาจก ตายหมด เกิดมาในโลกนี้เท่าไรก็ตายหมด ขณะที่ยังมีลมหายใจนี่แหละ เราพยายามหมั่นสร้างบุญสร้างกุศล สร้างเข้าพกเข้าห่อติดตามตัวเราจะได้ไม่เสียทีเสียเที่ยว
ตามแนวทางของพระพุทธองค์ การทำบุญการให้ทาน ทีนี้การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร การแยก การคลายเป็นอย่างไร คำว่า สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกเป็นอย่างไร เห็นถูกเห็นอะไรล่ะเห็นถูก แต่เห็นถูกตั้งแต่ภายนอกมันตัดสินกันตั้งแต่ภายนอก เห็นถูกในหลักธรรมนั้นเห็นถูกทั้งสองอย่าง ถูกทั้งภายในถูกทั้งภายนอก รู้จักบริหารกายบริหารใจของเราให้อยู่ในคุณงามความดีจนไม่ยึดไม่ติดอะไร จนมองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิด หรือไม่กลับมาเกิดกัน
การเกิดอยู่ในภพมนุษย์นี่เขาสร้างขึ้นมาอยู่ในภพของมนุษย์ ในหลักธรรมท่านให้ลึกลงไปอีก เกิดทางด้านจิตวิญญาณ เราคลายกิเลส ละกิเลสออก ดับความเกิดทางวิญญาณของเราอีก มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่ได้กลับมาเกิดกัน อันนี้ก็ต้องพยายามศึกษา การนึกการคิดนี่ไม่รู้ไม่เห็นไม่ถึง ต้องสร้างความรู้ตัวจนเป็นอัตโนมัติ และหมั่นขัดเกลากิเลสออกจากใจของเราจนละกิเลสได้ ดับความเกิดได้ ยืน เดิน นั่ง นอน ก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ
บุคคลที่เข้าถึง รู้ความเป็นจริงก็มองเห็นการเดินทางได้ง่าย แต่คนที่ไม่เข้าใจปิดกั้นไปหมดยากไปหมด ท่านว่าสมมติยังไม่เปิด เราต้องมาศึกษามาค้นคว้าจนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้าได้นั่นแหละ ท่านเรียกว่า สมมติเปิด สัมมาทิฏฐิเพียงแค่เดินทางเท่านั้นเอง เราแยกแยะได้ตามดูได้ เราละได้หรือไม่ เหมือนกับขึ้นเรือนต้องอาศัยบันได อาศัยราวบันได การที่จะถึงจุดหมายปลายทางได้เราก็ต้องอาศัยความเสียสละความอดทน อาศัยคำว่าศีลเป็นอย่างไร สมาธิเป็นอย่างไร ปัญญาเป็นอย่างไร ต้องรู้แจ้งเห็นจริงหมดทุกอย่าง ไม่ใช่ว่าเรารู้ใจของเราตัวเดียวเท่านั้น เราจะรอบรู้ไปได้หมดเลย ไม่ต้องไปรู้อะไรมากมาย ก่อนที่เราจะรู้ใจตัวเองเราต้องถอนรากถอนโคนกิเลสออกให้มันหมด ดับความเกิดให้มันได้ใช้ตัวเองให้มันเป็น
คนทั่วไปก็เพียงแค่ปฏิบัติธรรมก็เด็ดยอด เหมือนกับต้นไม้เราเด็ดยอดเท่าไรก็แตกออกๆๆ ปิดกั้นดวงใจตัวเองเอาไว้ ไม่เจริญสติลึกเข้าไปถอนรากถอนโคน เราถอนรากถอนโคนได้ตัวข้างบนก็ตายหมด กิเลสก็เหมือนกัน เราไปจัดการต้นเหตุของกิเลสท่านถึงบอกมีเหตุ เห็นเหตุเห็นผล รู้เหตุรู้ผล ถึงจะเอามันอยู่ ก็ต้องพยายามกัน ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวเราใหม่
อันนี้บุญสมมติเราก็ช่วยกันทำให้เต็มเปี่ยมไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่บ้านเราก็ทำสมมติของเราให้ดีให้ขยันหมั่นเพียร อยู่ที่วัดเราก็ยังประโยชน์ของสมมติของเราให้เต็มเปี่ยม อย่างที่หลวงพ่อพาทำ จากความไม่มีก็พาทำให้มี ทำสถานที่ให้น่าอยู่ให้น่าอาศัยน่ารื่นรมย์ ทำที่พักที่อาศัยให้กับทุกคนนี่แหละ เราอย่าพากันเกียจคร้าน ถ้าเรามีความเกียจคร้านช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ใช้ตัวเองไม่เป็น ก็ไปไหนไม่ได้ ไปที่ไหนก็มีตั้งแต่ความลำบากมีแต่ความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ถ้าความขยันหมั่นเพียรความรับผิดชอบไม่มี อะไรไม่ดีเราก็ทำให้ดีเสีย มันก็ดี อะไรไม่มีเราก็พากันสร้างขึ้นมาให้ได้ ก็พอได้อนุเคราะห์ทางสมมติ อย่างที่พักที่หลับที่นอน ห้องส้วมห้องน้ำ ถ้าไม่มีปัจจัยพวกนี้ทางสมมติของเราก็ลำบาก เราก็พยายามช่วยกันทำ
ตั้งใจรับพรกัน